สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 339
บทที่ 339 ลูกสาวของฉันถูกคนลักพาตัวไป
ยามเมื่อสบายใจอารมณ์ก็ดีขึ้นตามลำดับ มุมปากของเสิ่นอีเวยเริ่มคลี่ยิ้มออกมา การยิ้มของเธอนั้นเป็นการยิ้มที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร: “คุณเซิ่ง ที่คุณพูดออกมามันหมายความว่ายังไง? ที่ฉันบอกว่าขาของฉันยังมีประโยชน์ในการเอาไปทำอย่างอื่นนั้นมันหมายถึงการเดินเหินต่างหาก แถมตอนนี้คุณยิ้มออกอาการแบบนี้อีก คุณคิดลึกไปหรือเปล่าเนี่ย?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินสิ่งที่เสิ่นอีเวยพูดออกมานั้น สายตาเขากลับมัวหมองลงในทันที
เขาเขยิบเข้าใกล้เธอเข้ามาอีกนิด แล้วเพ่งสายตามอง “สาวผิวเนียนละเอียดลออกลิ่นตัวหอมละมุน” ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา: “ถ้าฉันบอกว่าฉันคิดลึกไปแล้วล่ะ แล้วเธอคิดว่าฉันจะทำยังไงดี?”
น้ำเสียงอันออดอ้อนอันอบอุ่นแบบนี้ เสิ่นอีเวยรับรู้ได้ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างหน้านั้นลมหายใจเขาเริ่มผ่านรดบริเวณบนใบหน้า จมูกของเธอจนมันทำให้เกิดความรู้สึกขนลุกขึ้นมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงสื่อสารกับเธอด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบนี้ จนเธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าใจเธอเริ่มเครียดขึ้นมาอีกครั้ง สาเหตุที่เธอกลัวก็คือ กลัวผู้ชายคนที่จะทำเรื่องพรรค์นี้บนรถคันนี้นะสิ
เสิ่นอีเวยพยายามใช้การสร้างบรรยากาศในรถให้มันดูเหมือนไม่สนิทอะไรกันมากมายนัก เธอแสยะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น : “ก็ไม่ทำยังไงนี่ ต่อหน้าคุณเซิ่งดิฉันจะกล้าทำอะไรได้ยังไงคะ? ก็ได้แต่หวังว่าคุณเซิ่งจะไม่คิดตัดขาทั้งสองข้างทิ้งไปเท่านั้นแหละ”
การยิ้มของเสิ่นอีเวยมันช่างทำลายบรรยากาศความอบอุ่นออกไปจนหมด คำพูดที่เธอพูดออกมาเมื่อครู่นั้นเป็นการพูดให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาแถมยังเหน็บแนมอีก การเหน็บแนมที่ว่าก็คือผู้ชายบ้าบอนั่นพูดออกมาว่าจะตัดขาทั้งสองข้างของเธอทิ้งนั่นแหละ
สภาพอากาศในช่วงนี้คือฤดูร้อน กระจกรถยนต์ก็ปิดสนิททั้งคันแต่ภายในรถก็เปิดแอร์ไว้ ทว่าเสิ่นอี
เวยกลับรู้สึกร้อนระอุ บริเวณหน้าผากของเธอนั้นกลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาประปราย
แถมเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ห่างจากเธอใกล้เพียงนิดเดียวจนเธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มร้อนระอุ หรือบางทีอาจไม่ใช่ก็ได้ ใจเธอคงร้อนรุ่มไปเอง
เสิ่นอีเวยที่ยังคงก้มหัวอยู่นั้นถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองเซิ่งเจ๋อเฉิง พอเงยหน้าขึ้นมากลับเจอริมฝีปากรูปกระจับของเซิ่งเจ๋อเฉิง หนวดเคราก็เพิ่งจะโกนได้ไม่นาน คางนั้นก็เริ่มมีเคราหรอมแหรมเป็นปื้นๆออกมา
เสิ่นอีเวยมองเขาตาไม่กระพริบ…ความจริงแล้ว ปากของผู้ชายคนนี้สวยมาก ยิ่งมองนานเข้าช่างทำให้คนอยากเข้าไปจุมพิตแทบจะในทันที
…จะบ้าหรอ!
เสิ่นอีเวยแอบด่าอยู่ในใจ เวลานี้เนี่ยนะตัวเองกับคิดเตลิดไปกับเรื่องพวกนี้เนี่ยนะ เสิ่นอีเวยเอ๋ย ต้องจำเอาไว้สิอย่าไปผูกคอตายใต้ต้นไม้ต้นเดิมอีก!
เธอเตือนตัวเองอยู่ในใจ จนพบว่าในสมองของตัวเองได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว
ทว่า ตอนที่เธอเตรียมคำพูดเพื่อจะหาทางให้ตัวเองรอดจากสถานการณ์ตอนนี้นั้น เสียงนิ่งๆของเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ
“คุณเสิ่นพูดออกมาไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลนะ แต่ฉันอยากจะพูดสักประโยคออกมาก่อนที่ฉันจะตัดขาทั้งสองขาของเธอทิ้ง หวังว่าเธอจะบอกผมได้ซะทีว่าตอนนี้ลูกสาวผมอยู่ที่ไหน?”
เสิ่นอีเวยตกตะลึง ลูกสาว? เหมียนเหมียนหรอ?
อีตานี้ทำไมถึงได้ถามคำถามนี้ในเวลานี้ด้วยล่ะ ไม่ใช่ว่าควรจะพาตัวเธอออกไปจากที่นี่แล้วไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหรอ?
ในตอนนี้เธอไม่แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหมียนเหมียนอยู่ที่ไหน เธอร้อนใจอยู่ตลอด…
ดูเหมือนว่าเธอจะปิดบังเขาได้ดีเกินคาดจนทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงดูอารมณ์ของเธอแทบไม่ออกว่าอารมณ์ของเธอผิดปกติไป
ถึงแม้ร่างกายของเธอที่ตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายในเวลานี้ก็ตาม ทว่าในใจของเสิ่นอีเวยกลับรู้เรื่องมีสติอย่างชัดเจนทีเดียว ที่หล่อนกำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็คือยื้อเวลาเอาไว้เท่านั้น เพราะเธอไม่อยากให้เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ว่าเหมียนเหมียนถูกลักพาตัว เพราะเขาต้องไปตามหาเหมียนเหมียนแน่ๆ เธอรู้ดีว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นคนที่มีอำนาจมากมายเพียงใด ถึงเวลานั้นจริง เหมียนเหมียนคงตกอยู่ในมือเขาแล้ว
แต่…ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าเหมียนเหมียนตกอยู่ในสถานการณ์ไหนกันแน่ หากผู้ชายคนนี้รู้เรื่องเข้า หากให้เขาตามหาคงตามได้เร็วกว่าแน่ๆ
คำตอบของปัญหานี้เสิ่นอีเวยไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ แต่ท้ายสุดแล้วในใจเธอก็มีคำตอบอยู่แล้ว คำตอบนั่นมันตอบว่าใช่
อำนาจของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นมีอำนาจมากกว่าบริษัทการบันเทิงเฟิงสิงซะอีก หรือว่าตัวเอง…จะฝากความหวังในการค้นหาตัวเหมียนเหมียนไว้ที่เขาดี?
รอจนกว่าจะหาเหมียนเหมียนจนเจอแล้วถึงเวลานั้นผู้ชายคนนี้จะเอายังไงเวลานั้นค่อยมาพูดกัน ความปลอดภัยของเหมียนเหมียนถือว่าสำคัญที่สุดแล้ว! ต้องรีบหาเจ้าตัวเล็กให้เจอโดยเร็ว!
สมองของเสิ่นอีเวยวิ่งแล่นไปทั่ว ในเวลาสั้นๆเธอกลับครุ่นคิดกับปัญหาต่างๆมากมายจนทำให้เธอนิ่งราวกลับเหม่อล่อย
แต่การที่เธอนิ่งและเงียบไปนั้นตกอยู่ในสายตาเซิ่งเจ๋อเฉิงทั้งหมดแต่สิ่งที่เขาคิดคือเธอไม่อยากตอบคำถามเขา
ส่วนเขาคงคิดเองเออเองไปตามแนวคิดของเขาจนใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มดูไม่ได้ขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาหนักกว่าเดิมแถมสายตาของเขาเริ่มขู่คุกคามขึ้นมาอีก: “เสิ่นอีเวย ไม่ทราบว่าเธอกำลังหลบเลี่ยงคำถามฉันใช่ไหม? หือ? ”
น้ำเสียงท้ายประโยคที่ยอกย้อนถามเธอกลับอย่างชัดเจนขนาดนั้น เสิ่นอีเวยรู้ดีว่ามันคือการขู่เธอเต็มๆ ขนตาเธอเริ่มสั้นเบาๆ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยอมบอกความจริงกับเขา
ยิ่งในเวลาคับขันยามนี้เธอไม่วิธีที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
ในเวลานั้นเอง เสิ่นอีเวยก็ยื่นมาไปดึงคอเสื้อของเซิ่งเจ๋อเฉิงเอาไว้ แล้วจ้องมองดวงตาเขา น้ำเสียงของเธอแสดงความหมายว่ารีบร้อนอย่างจริงจัง: “คุณเซิ่ง ลูกสาวของเราถูกคนจับตัวไป!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นพูดออกไป บรรยากาศในรถกลับเข้าสู่ความเงียบงันสนิท หากเสิ่นอีเวยรู้สึกไม่ผิดไป อุณหภูมิภายนอกนั้นลดลงไปหลายองศาเซลเซียสเลยทีเดียว
ในเวลานี้ สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงช่างน่ากลัวมากจริงๆ ขนาดร่างกายของเสิ่นอีเวยยังหดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้
“เธอพูดใหม่สิ?” น้ำเสียงของเขามันเจือปนไปด้วยความตกใจและโกรธ แต่ที่เห็นชัดเจนก็คือความโกรธนั้นมันมีมากกว่า
“ฉันพูดว่า ลูกสาวของเราถูกคนจับตัวไป! จะให้ฉันพูดอีกกี่รอบกัน? คุณไม่รีบร้อนอะไรเลยหรอ? รีบให้คนไปหาตัวเหมียนเหมียนสิ!” ช่วงที่หลุดชื่อเหมียนเหมียนออกมานั้น สติอารมณ์ของเสิ่นอีเวยก็ควบคุมมันไว้ไม่อยู่ น้ำเสียงที่ออกมานั้นก็เจือปนไปด้วยน้ำเสียงพร่าของการร้องไห้
ใช่ เธอยอมรับว่าเธอหวาดกลัวเลยได้แต่ตั้งใจหลอกว่าตัวเองเก่งกล้าในตอนนั้น แต่ตอนนี้เธอรับมันไม่ไหวจริงๆ
เอาจริงไม่ได้พูดเกินเลย เหมียนเหมียนก็คือชีวิตของเธอ เมื่อครู่ที่อยู่ที่โรงงานร้างนั่น ในตอนนั้นที่เธอได้ยินสิ่งที่อวี๋มั่นมั่นพูดว่าเหมียนเหมียนถูกจับตัวไป สมองของเธอถึงกับขาดเสียงดัง “พรืด” แต่ในสถานการณ์ที่อยู่กับคนหมู่มากนั้นเธอได้แต่บังคับตัวเองให้สงบนิ่งเข้าไว้ เพราะในใจเธอรู้ดีว่าการนิ่งเข้าไว้นั้นจะหาวิธีการแก้ปัญหาได้ดี
เพราะฉะนั้นการที่เธอพยายามหาวิธีการขึ้นมานั้น เธอจะพยายามบังคับควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ตลอด