สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 359
บทที่ 359 ผมให้เวลาคุณไม่พอหรอ
เสิ่นอีเวยยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา พบว่าเลยเวลาทำกิจกรรมของเหมียนเหมียนน้อยไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ถ้าตนเองยังไม่ออกเดินทางคงไม่ทันเวลา ดังนั้นจึงลุกขึ้น เธอมองหลุมศพทั้งสองอย่างสงบนิ่งสักพัก จากนั้นจึงโค้งคำนับต่อหน้าหลุมศพสามครั้งด้วยท่าทีเคร่งขรึม
เพียงหมุนตัว ทันใดนั้นกลับมีจุดสีดำปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ นั้นคือรถหนึ่งคัน สองฝั่งของถนนที่คดเคี้ยวเต็มไปด้วยต้นสน ถึงแม้รถจะมีสีดำ แต่เนื่องจากป่าต้นสนค่อนข้างหนาแน่นและเขียวชอุ่ม สีพื้นหลังที่เห็นมีเพียงสีเดียว ดังนั้นเธอจึงสามารถมองเห็นรถยนต์ได้อย่างชัดเจน
เสิ่นอีเวยรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เธอดูเหมือนจะเดาได้ว่าหากรถคันนั้นขับเข้ามาหาตนเองเธอจะได้เจอใคร แต่จิตใต้สำนึกกลับไม่อยากมั่นใจ
เธอหยิบกระเป๋าสะพาย เตรียมตัวเดินไปที่รถของตนเอง แต่รถสีดำคันนั้นยิ่งขับเข้าใกล้เธอมากขึ้น เสิ่นอีเวยค่อยๆมองเลขทะเบียนอย่างชัดเจน ต่อมาจึงมองหน้าคนขับรถคันนั้น
ทันทีที่มองเห็นใบหน้าของคนขับรถชัดเจน เสิ่นอีเวยรู้สึกดวงตาทั้งสองข้างของเธอเหมือนกับโดนแสงแดดจ้าจนแสบตา ถึงกับลืมตาไม่ขึ้น หากพูดอย่างไม่โกหก แท้จริงแล้วตอนนี้เธอต้องการหนีอย่างสุดขีด
แต่เธอกลับรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตนเองไม่ยอมทำตาม เพราะมันไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียว เสิ่นอีเวยคาดไม่คิดว่าตนเองจะบังเอิญเจอเซิ่งเจ๋อเฉิงที่นี่
รถยนต์คันสีดำจอดห่างจากเธอสิบเมตร เซิ่งเจ๋อเฉิงก้าวลงมาจากรถ ผู้ชายอยู่ในชุดสีดำ แม้เพียงมองจากไกลๆ ร่างกายทั้งหมดกลับส่งกลิ่นอายของความลึกลับและความเย่อหยิ่ง
มองเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงเดินเข้ามาหาเธอดั่งแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เสิ่นอีเวยแทบหยุดหายใจทันที ร่างกายเหมือนจะยืนไม่ไหว แต่เธอกลับตัดสินใจบังคับตัวเองให้ต้านทานไว้
ตั้งแต่วินาทีที่เธอจากไปประเทศอังกฤษเมื่อสี่ปีที่แล้ว เธอไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนี้มองเห็นความอ่อนแอของเธอ เสิ่นอีเวยสาบานในใจตนเองเงียบๆ
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้าวเดินอย่างสงบ แต่ในไม่ช้ากลับยืนอยู่ตรงหน้าเสิ่นอีเวย สายตาของเขามีความอ่อนโยน เขาก้มศีรษะลงมองเสิ่นอีเวยอย่างเงียบๆ
แต่น่าเสียดาย ในขณะนี้สิ่งที่เสิ่นอีเวยสนใจกลับไม่ใช่ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่เป็นช่อดอกไม้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
ชุดสูทสีดำสนิทของผู้ชายยิ่งทำให้สีเหลืองจากดอกทานตะวันสดใสมากขึ้น เดิมทีใบหน้าที่แสนเย็นชาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง เสิ่นอีเวยรู้สึกใจลอยขึ้นมาทันที
ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ ถือช่อดอกทานตะวันที่มีสีสันสดใสไว้ในอ้อมแขน เสิ่นอีเวยจ้องมองช่อดอกไม้ที่สวยงามอย่างใจลอย เธอไม่ได้หันหลังกลับ แต่เธอรู้ว่าหลุมศพด้านหลังตนเองก็มีช่อดอกไม้ที่สวยงามแบบนี้เหมือนกัน
มันคือเรื่องบังเอิญหรอ?
อีกทั้ง……ก่อนหน้านี้ผู้ชายคนนี้เป็นคนวางดอกทานตะวันที่หลุมศพด้านหลังด้วยหรอ?
“ทำไมคุณถึงมาที่นี่?”ในที่สุด เสิ่นอีเวยอดไม่ได้ที่จะถาม
ใบหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงไร้ความรู้สึกใดๆ:“คุณสามารถมาเยี่ยมพ่อแม่ของตนเองได้ งั้นผมจะมาเยี่ยมพวกท่านไม่ได้บ้างหรอ?”
เสิ่นอีเวยนิ่งไปสักพัก เธอคิดไม่ถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะตอบตนเองเช่นนี้ เธอตอบคำถามท่ามกลางความเงียบ:“คุณไม่มีสิทธิ์”
เมื่อพูดสี่คำนี้ เสียงของเสิ่นอีเวยนิ่งเบาลงอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงจึงได้ยินไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงถามว่า:“คุณเพิ่งจะพูดว่าอะไรนะ?”
สายตาของเสิ่นอีเวยกลับมาเย็นชาเหมือนปกติ เธอพูดออกมาเบาๆว่า:“ไม่มีอะไร”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นเธอไม่พูดอะไรต่อ จึงไม่ถามต่อไปให้วุ่นวาย วินาทีต่อมา เขาเดินผ่านเสิ่นอีเวยไปอย่างใจเย็น เพื่อนำดอกทานตะวันในมือที่มีสีสันสวยงามวางลงหน้าหลุมศพ
หลังจากนั้นจึงยืนสงบนิ่งสักพัก เขายืนเงียบเหมือนกับรูปปั้นไม่มีผิด
ฉากแบบนี้ มันน่าอึดอัดใจจริงๆ เสิ่นอีเวยหันไปมองเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังโค้งคำนับ เมื่อสายตาปะทะกับดอกทานตะวัน สมองของเธอคล้ายกับเกิดแสงสว่างขึ้นมาแว็บหนึ่ง เธอเกิดความคิดบางอย่างที่ไม่อยากจะคาดเดา
“ดอกไม้พวกนี้ คุณเป็นคนนำมาให้ทั้งหมดหรอ?”เธอถาม
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันกลับมาหลังจากคำนับครั้งสุดท้าย เขามองเข้าไปในดวงตาของเสิ่นอีเวย สีหน้าเรียบเฉย เขาตอบอย่างไม่คิดอะไรว่า:“ ใช่ ทำไมหรอ?”
เสิ่นอีเวยพบว่า หลังจากการคาดเดาของเธอได้รับการยืนยัน เหมือนกับความตึงเครียดในใจก็หายไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เธอไม่มีคำพูดอะไรอีกแล้ว และเธอก็ไม่อยากถาม เพราะยิ่งรู้เยอะ ความวุ่นวายก็จะยิ่งเยอะมากกว่าเดิม
“ไม่มีอะไร”
หลังจากพูดจบ เสิ่นอีเวยจึงหันหลังกลับต้องการเดินจากไป เพราะวันนี้เป้าหมายของเธอคือการมาเยี่ยมพ่อแม่เท่านั้น เธอไม่ควรเสียเวลากับเรื่องอื่นหรือคนอื่น
แต่ก้าวเท้าได้เพียงสองก้าว ข้อมือของเสิ่นอีเวยถูกจับไว้ อุณหภูมิอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากผิวหนัง เธอตกใจรีบสะบัดออกทันที แต่กลับไม่สำเร็จ เธอโดนเซิ่งเจ๋อเฉิงใช้แรงจับไว้อย่างโซเซ
“คุณจะทำอะไร?”เสิ่นอีเวยจ้องมองด้วยความโมโห และถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
เซิ่งเจ๋อเฉิงขยับเข้าใกล้เสิ่นอีเวยอีกหนึ่งก้าว เขาจ้องมองหน้าเธอใกล้ๆ หลังจากนั้นในใจของเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ยังคงทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คิดจะไปก็ไปหรอ?”เซิ่งเจ๋อเฉิงถามเสียงต่ำ
เสียงของผู้ชายคนนี้เหมือนกับยาพิษชั้นดีชนิดหนึ่ง ทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกสั่นสะท้าน เธอสบตาเซิ่งเจ๋อเฉิง พยายามทำให้น้ำเสียงตนเองฟังดูสงบมากที่สุด:“คุณคิดจะทำอะไร?”
รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏที่มุมปากของเซิ่งเจ๋อเฉิง:“ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งก่อนตอนที่พวกเราแยกกัน ผมพูดกับคุณชัดเจนแล้วว่า ถึงอย่างไรสักวันหนึ่งคุณต้องกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง ผมสามารถรอคำตอบของคุณได้ แต่ว่าเสิ่นอีเวย——”
พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นมาทันที เขาหรี่ตาลงและพูดว่า :“นี่มันก็ผ่านมาแล้วสามวัน ทำไมหรอ ยังคิดไม่ออกอีกหรอ?ผมให้เวลาคุณไม่พอหรอ?ว่ายังไง?”
การยิงคำถามเซิ่งเจ๋อเฉิง ทำให้เสิ่นอีเวยทำตัวไม่ถูก อีกทั้งมือของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่รู้ว่าวางอยู่บนเอวของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเธอโดนเซิ่งเจ๋อเฉิงจับกุมไว้ ด้วยท่าทีแบบนี้ยิ่งทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกโดนกดขี่ข้างในใจ
เสิ่นอีเวยรู้สึกไร้คำพูด เธอทำได้เพียงยิ้มมุมปากอย่างเยาะหยัน:“นั้นคงเป็นเพราะการเข้าใจปัญหาของคุณและฉันไม่ตรงกัน คุณพูดว่าให้เวลาฉันตัดสินใจและสงบสติอารมณ์ ฉันก็เข้าใจว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาสักสองสามเดือนขึ้นไป ปรากฏว่าเพียงแค่สองวัน?เซิ่งเจ๋อเฉิง ระหว่างคุณกับฉันเกิดเรื่องราวมากมาย ขอถามหน่อยว่า เวลาสั้นๆเพียงสองวันฉันจะสามารถกลับไปคืนดีกับคุณได้อย่างไร?