สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 39
ตอนที่ 39 รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้
เสิ่นอีเวยยิ้มแย้ม”ตอนนี้คุณคงอยู่ระหว่างทางสินะ? แต่ตอนนี้ฉันอยู่ห่างจากเธอแค่ยี่สิบเซนติเมตรเอง พวกเรามาดูกันสิว่าคุณจะฆ่าฉันให้ตายก่อนหรือว่าฉันจะทำร้ายเธอก่อนกัน”
เสิ่นอีเวยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องของเสิ่นหุ่ย เขาจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เขาจะตะคอกใส่โทรศัพท์โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ว่า”รีบไสหัวออกไปจากที่นั้นเดี๋ยวนี้!”
เสิ่นอีเวยไม่สนใจเขาอีก แต่วางสายโทรศัพท์เขาทันที ถึงยังไงตัวเองก็เป็นโรคร้านแล้ว หากจะมีเรื่องลำบากใจอีกสักหน่อย เธอก็ไม่หวาดกลัว
เธอยืนขึ้น และจ้องมองเสิ่นหุ้ย ก่อนจะเดินออกไป
เมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่ง เสิ่นอีเวยก็ชนเข้ากับหน้าอกของผู้ชายคนหนึ่ง ใบรายงานในมือแบะโทรศัพท์มือถือร่วงตกลงบนพื้น เสิ่นอีเวยกลัวว่าเรื่องอาการป่วยของตัวเองจะมีคนรู้ เลยรีบนั่งยองลงเก็บทันที
เสิ่นอีเวยถือใบรายงานในมือไว้ จากนั้นก็เดินตรงไปที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง มีเท้าข้างหนึ่งกระทืบลงบนพื้นอย่างแรงหนึ่งที
เสิ่นอีเวยใจสั่น เมื่อเงยหน้ามองกลับไปก็พบว่าในรูม่านตาปรากฏใบหน้าโมโหของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนปีศาจ
คอเสื้อของคนที่อยู่บนพื้นถูกดึงอย่างแรง ทำให้เสิ่นอีเวยต้องฝืนลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงขยับเข้าใกล้เธอ”เป็นอะไรไปหรอ ทำผิดแล้วคิดจะหนีหรอ?”
เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะมาโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้ได้ เธอขาดสติไปชั่วขณะ เพราะคอเสื้อของเธอถูกดึงแน่น จนทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
เมื่อเห็นใบหน้าผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ ในหัวสมองของเสิ่นอีเวยก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองทำเพื่อเขาขึ้น สองปีมานี้เธอถูกความจริงจังทรยศ วินาทีนี้ดูเหมือนทุกอย่างพังถลายอีกครั้ง
เสิ่นหุ้ยเว่ยไม่อยากทะเลาะกับเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่เธออยากทำคือถือใบรายงานของตัวเองไว้ให้แน่นที่สุด เหมือนกับอยากให้กระดาษเล็กๆนั้นซึมเข้าไปในร่างกาย และหลวมรวมเป็นหนึ่งในร่างกายของตัวเอง
ไม่ว่าอย่างไรต้องไม่ให้เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้เรื่องโรคมะเร็งในตับของตัวเอง เขาเกลียดชังตัวเองขนาดนี้ แถมยังอยากให้ชดเชยชีวิตของตัวเองให้เสิ่นหุ้ยขนาดนั้นอีก ถ้าหากเขารู้คงดีอกดีใจมากแน่
”
เสิ่นอีเวยไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีสุดท้ายของตัวเองถูกเหยียบย่ำ! จู่ๆบอดี้การ์ดที่โทรศัพท์หาเซิ่งเจ๋อเฉิงมาหาได้พูดขึ้นว่า”รายงานท่านประธานเซิ่ง คุณเสิ่นไม่ได้ทำร้ายอะไรคุณเสิ่นหุ้ยเลยครับ”
ขนตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงกะพริบเล็กน้อย
จากนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงก็คลายมือที่จับคอเสื้อของเสิ่นอีเวยออก ทันใดนั้นอากาศก็เข้าในคอ เสิ่นอีเวยไอออกมาอย่างรุนแรง จนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา หลังจากที่เซิ่งเจ๋อเฉิงปล่อยเสิ่นอีเวยก็รีบเดินตรงเข้าไปในห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ยทันที และทิ้งเสิ่นอีเวยนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เดิม เมื่อค่อยๆเรียกสติกลับมาได้ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือ และเดินจากไป
“อีเว่ย?”
เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็รีบหันหน้าตามซุ่มเสียง คิดไม่ถึงจะเป็นฉินโม่
เสิ่นอีเวยนิ่งอึ้งชั่วขณะ เมื่อได้สติก็รีบจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผากของตัวเองให้เรียบร้อย เธอคิดไม่ถึงว่าจะพบกับฉินโม่ที่นี้ได้ โชคดีที่มาช้าไม่กี่นาที ไม่เช่นนั้นคงเห็นเหตุการณ์ที่ตัวเองกับเซิ่งเจ๋อเฉิงต่อกรกันแน่
ฉินโม่เดินเข้ามาถามว่า”ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี้ได้ล่ะ? ป่วยอีกแล้วหรอ?”
เสิ่นอีเวยลังเลชั่วขณะ ก่อนจะฉีกยิ้มด้วยสีหน้าขาวซีด”ฉันมาเยี่ยมพี่สาวที่โรงพยาบาลค่ะ คิดไม่ถึงเหมือนกันจะพบคุณที่นี้”
ฉินโม่มองออกถึงความหมายของรอยยิ้มแข็งทื่อของเสิ่นอีเวย แต่เพราะตัวเองเป็นคนมีมารยาท เขาเลยไม่คิดจะเปิดโปงเธอ เขายิ้มและพูดว่า”บังเอิญมาก ผมเองก็มาเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งเหมือนกัน” อันที่จริงเสิ่นอีเวยไม่อยากอยู่ที่นี้นานเกินไป เพราะกลัวว่าเดี่ยวเซิ่งเจ๋อเฉิงจะออกมาอีก เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์เผชิญหน้ากันสามคน เสิ่นอีเวยจินตนาการไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อีกอย่างเสิ่นอีเวยไม่ได้รักฉินโม่อย่างหนุ่มสาว และทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีต่อกัน ดังนั้นเสิ่นอีเวยไม่อยากให้ตัวเองต้องมาขายหน้าต่อหน้าเขา
ฉินโม่มองเห็นความรู้สึกเหนื่อยล้าบนสีหน้าของเสิ่นอีเวยออก เลยพูดขึ้นว่า”ผมรู้สึกว่าสีหน้าของคุณดูมนหม่องไปนะ ร่างกายของคุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? หลังจากผ่านการตรวจสอบครั้งที่แล้ว ไปตรวจสอบอีกครั้งหรือยัง?”
เสิ่นอีเวยรู้ว่าฉินโม่เป็นผู้ชายสุภาพบุรุษที่ละเอียดอ่อน เธอกังวลว่าฉินโม่จะมองออก เธอเลยพูดอย่างรีบร้อนว่า”เปล่า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หลังจากผ่านการตรวจสอบครั้งที่แล้ว ฉันก็กินยาตามที่คุณหมอกำชับไว้ และอาการป่วยก็ค่อยๆเริ่มดีขึ้นแล้ว”
ฉินโม่ยิ้มพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย”ดีแล้ว มีเรื่องอะไรอยากให้ช่วยเหลือก็บอกผมได้เลย”
ในดวงตาของฉินโม่เผยแววตาอ่อนโยนเหมือนดั่งสายน้ำ สำหรับเสิ่นอีเวยแล้ว เธอรู้เสมอว่าฉินโม่คิดยังไงกับตัวเองมาโดยตลอด แต่การมีชีวิตบนโลกของคน และเรื่องราวที่ต้องประสบพบเจอทั้งหมดล้วนไม่มีอะไรสมปราณนา
เธอเป็นแบบนี้ ฉินโม่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เสิ่นอีเวยถินลมหายใจแรงๆในใจหนึ่งเฮือก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณก็รีบกลับบ้าไปพักผ่อนเถอะ มีเวลาพวกเราค่อยนัดพบกัน”
เสิ่นอีเวยพยักหน้าเล็กน้อย”โอเค เจอกันครั้งหน้านะ”
หลังจากที่ทั้งสองคนกล่าวคำอำลาต่อกัน และเสิ่นอีเวยออกจากโรงพยาบาล แล้วมาถึงห้องโถง เธอก็พบว่าใบรายงานอาการป่วยที่ตัวเองถือไว้ในมือเปียกชื้นด้วยเหงื่อหมดแล้ว
เสิ่นอีเวยทิ้งใบรายงานอาการป่วยที่อยู่ในมือลงในถังขยะด้านข้าง
แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ มีร่างเงาผู้ชายคนหนึ่งเดินติดตามเธออยู่ข้างหลัง หลังจากที่เสิ่นอีเวยขึ้นรถและจากไปไกล กองกระดาษที่เธอทิ้งไว้นั้นก็ได้ถูกหยิบขึ้นมา วินาทีที่ผู้ชายเปิดอ่าน ของเหลวในร่างกายทั้งหมดก็แข็งทื่อทันที…
ขณะที่เสิ่นอีเวยเดินบนถนนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนที่คุณหมอลู่บอกผลการวินิจฉัยให้เธอนั้น เธอมั่วแต่ตกใจ และลืมถามเขาเกี่ยวกับอาการป่วยของตัวเอง
เธอหยิบโทรศัพท์และโทรหาคุณหมอลู่
“ฮาโหล คุณหมอลู่ใช่ไหมค่ะ? ฉันเสิ่นอีเวยเองนะค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ตอนนี้คุณคงยังไม่เลิกงานใช่ไหมค่ะ? เป็นอย่างนี้ค่ะ เมื่อสักครู่ฉันลืมถามคำถามที่คำสัญกับคุณค่ะ ถ้าหากในช่วงเวลาสั่นๆฉันหาตับที่เหมาะสมโอนถ่ายตับ ฉัน…จะมีชีวิตเหลืออีกนานเท่าไหร่ค่ะ?”
เมื่อเสิ่นอีเวยรับรู้ได้ว่าคุณหมอลู่กำลังนิ่งอึ้งชั่วขณะอยู่ สำหรับคุณหมอที่มีประสบการณ์โชกโชนอย่างลู่หวี่หมิงได้ยินคนไข้ถามคำถามแบบนี้มาจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขาคุ้นชินแล้ว แต่การเผชิญหน้ากับเสิ่นอีเวย เขากลับไม่กล้าบอกความจริงกับเธอ
เสิ่นอีเวยเข้าใจการลังเลของคุณหมอลู่”คุณหมอลู่ค่ะ ฉันซาบซึ้งในน้ำใจของคุณค่ะ แต่ไม่ต้องลังเลก็ได้ค่ะ สามารถบอกฉันได้เลย ในฐานะคนไข้ต้องเข้าใจสถานการณ์อาการของร่างกายตัวเอง”
หลังจากผ่านไปสองวินาที เสิ่นอีเวยก็ได้ยินเสียงของคุณหมอลู่ว่า”ถ้าหากสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี คุณก็น่าจะมีเวลา…เหลืออยู่สองปีกว่า”
หัวใจเหมือนถูกคนกำไว้อย่างแน่น เสิ่นอีเวยรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
เธอพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้สงบนิ่ง”โอเคค่ะ ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณคุณหมอลู่มากๆนะค่ะ”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เสิ่นอีเวยก็กลับไปคฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง
อัพเดทครั้งหน้า วันที่1 พ.ย.2019
จะมาในเร็วๆนี้ โปรดอดใจรอก่อน