สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 392
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 392 เธอตายแน่
เสิ่นอีเวยเธอยกเท้าของเธอขึ้นแล้วเตะเข้าหว่างขาเซิ่งเจ๋อเฉิงตอนที่เขาเผลออย่างไม่ต้องคิดเลย เขาส่งเสียงร้องโอดโอยทำท่าทาง…ประมาณว่าเจ็บปวดแล้วล้มลงบนเตียงนอน
เสิ่นอีเวยเป่าลมหายใจออกทางปากแล้วจัดการลงมือต่ออย่างไม่ลดละ เธอเตะเขาซ้ำ ส่วนท่านประธานกลิ้งหลุนๆลงไปใต้เตียง
เสิ่นอีเวยกลัวว่าเหมียนเหมียนจะมาเจอร่องรอยเข้า เธอจึงรีบเอาผ้าห่มโยนลงไปคลุมร่างกายของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่นอนเจ็บยังไม่หายอยู่ที่พื้น
ช่วงนี้เป็นหน้าฤดูร้อน ทว่าผ้าห่มของเธอเป็นผ้าห่มที่ใช้ในห้องแอร์แต่ไม่หนามากนัก เซิ่งเจ๋อเฉิงที่รูปร่างเก้ๆกังๆมือเท้ายาวเหยียด ผ้าห่มแทบจะคลุมเขาไม่มิดเลย แต่ในเวลาที่สำคัญแบบนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
เสิ่นอีเวยรีบปีนขึ้นเตียงนอนพร้อมจ้องมองใบหน้าโกรธเอาเป็นเอาตายของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วเอ่ยขึ้น : “ขอร้องแหละ คุณอยู่แบบนี้ไปสักพักก่อน เดี่ยวฉันมาจัดการให้ทีหลัง ขอร้องนะได้ไหม? เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว!”
เสิ่นอีเวยจ้องมองเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ไม่พูดไม่จาเลยสักคำ เธอเลยทำปากยื่นปากยาวแล้วเอ่ยขึ้น: “คุณไม่พูดแปลว่าคุณตกลงแล้ว หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเราต่างไม่โบ้ยความผิดกันนะ!”
ภายใต้แสงไฟอันอบอุ่น ดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงมีกองไฟความโกรธที่กำลังลุกโชนอยู่ แต่เสิ่นอีเวยก็เลือกที่จะไม่สนใจสายตาของเขาเลย เธอแทบไม่รู้เลยว่าที่เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ใช่ว่าไม่ยอมตกลง แต่มันเป็นเพราะ….เจ็บจนพูดไม่ออก
เธอตายแน่!
เสิ่นอีเวยคิดว่าตัวเองนั้นจัดการอารมณ์ของเซิ่งเจ๋อเฉิงให้สงบลงได้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ยืนขึ้นเพื่อมุ่งหน้าไปหน้าประตูห้องนอน เมื่อออกไปหน้าประตูก็พบว่าเหมียนเหมียนเดินขึ้นมาเกือบถึงทางเดินหน้าห้องแล้ว
เสิ่นอีเวยที่ยืนอยู่นอกห้องตาไวรีบใช้มือผลักปิดประตูห้องนอนเสียงดังสนั่น “โครม”
เจ้าตัวเล็กถึงกับตกอกตกใจจนตาบ้องแบ๊วเบิกโต แล้วเอ่ยขึ้น: “หม่ามี๊เป็นอะไรหรือคะ? มีคนทำให้หม่ามี๊ไม่มีความสุขหรือคะ?”
เธอได้แต่คิดอยู่ในใจ อืม ใช่ มีคนทำให้แม่ไม่มีความสุขจริงนั่นแหละ แถมคนนั้นยังเป็นพ่อของลูกอีก คนที่เป็นต้นเหตุก่อเรื่องทั้งหมดถูกขังไว้ในห้องนอนของเธอแล้ว ความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในทรวงอก อารมณ์ที่อัดอั้นในใจค่อยดีขึ้น
ใช่สิ ! ต้องล็อคห้อง! เสิ่นอีเวยเกือบลืมไปซะสนิท เธอรีบหันกลับไปดึงกุญแจที่หน้าประตูห้องนอนออก
ใช้ชีวิตนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เธอต้องขอบคุณการออกแบบการล็อคห้องของประตูห้องนอน ประตูอื่นๆหากมีคนอยู่ข้างในยังไงก็ยังสามารถเปิดออกมาได้เสมอ
ทว่าประตูห้องนอนของที่บ้านเธอนั้นกลับไม่เหมือนกัน ขอแค่ด้านนอกล็อคเอากุญแจออก ด้านในก็ไม่สามารถเปิดประตูได้อยู่ดี มันน่าสนุกตรงนี้แหละเพราะผู้ชายทุเรศอย่างเขาวันนี้อยากจะออกมาก็ต้องอาศัยการที่ต้องเชื่อฟังเธออย่างเดียว!
พอเสิ่นอีเวยคิดได้แบบนี้ในใจกลับสบายสุดๆไปเลย
การที่เห็นเหมียนเหมียนกำลังจ้องมองเธออยู่นั้น เสิ่นอีเวยกลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จับพิรุธอะไรขึ้นมาได้ เธอเลยเข้าสวมกอดเหมียนเหมียนทันทีแล้วอุ้มเธอเดินลงบันไดแทน
หยางอันหรานกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกพลางกินผลไม้ไปด้วย โทรทัศน์ก็เปิดเรียบร้อยแล้ว
หยางอันหรานได้ยินเสียงเสิ่นอีเวยที่กำลังลงบันไดเลยหันกลับไปทักทายแต่กลับตกใจสภาพของเสิ่นอีเวยแทน
“ทำไมเธอถึงได้สภาพยังเยินซะขนาดนี้ล่ะ? ไปทะเลาะกับใครมาหรอ?” หยางอันหรานตกใจจนตาเบิกโต
เสิ่นอีเวยถึงกับสงสัยว่าเธอเป็นแบบนั้นหรอ จากนั้นก็วางเหมียนเหมียนที่อยู่ในอ้อมอกลงแล้วเดินตรงไปที่กระจกที่อยู่ข้างๆ หากไม่ดูก็ไม่เห็นตัวเอง พอส่องกระจกเท่านั้นถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะว่าคนในกระจกนั้นสภาพผมยุ่งเหยิงพัลวัน ใบหน้ากับริมฝีปากของสาวที่อยู่ในกระจกก็แดงแปร๊ด สรุปว่าสาวคนนี้คือใครกันเนี่ย?
เมื่อครู่เซิ่งเจ๋อเฉิงพยายามต่อสู้กับเธอรุนแรงไปหน่อยเลยทำให้ใบหน้าเธอแดงแจ๋ไม่ยอมจางสักที ส่วนริมฝีปากที่บวมอยู่นั้น…ต้นเหตุก็มาจากไอ้คนทุเรศเซิ่งเจ๋อเฉิงนั่นแหละที่จูบเธอ!
เสิ่นอีเวยไม่อยากจะดูใบหน้าที่สวยจนน่ากลัวแบบนี้ในกระจกอีก เธอเลยรีบหันออกทันที
ในเวลานั้นเอง เธอได้ยินเสียงของเหมียนเหมียนดังขึ้นมา : “เอ๋ นี่มันคืออะไรอ่ะ? หม่ามี๊เปลี่ยนรถคันใหม่หรือคะ?”
เสิ่นอีเวยถึงกับตะลึงแล้วเดินไปดูเพราะในมืออวบอ้วนของเหมียนเหมียนนั้นมีกุญแจรถหนังสีดำกับสีเงินผสมอยู่ด้วยกันอยู่ในมือ แค่กุญแจรถก็ช่างดูหรูหราโอ่อ่าซะจริงๆ
บริเวณตรงกลางหนังสีดำนั้นมีหลุมยุบลงแถมยังสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษเอาไว้อีก เมื่อเอามารวมกันมันคือ“BUGATTI” เสิ่นอีเวยจำได้ว่านี่คือกุญแจรถ Bugatti Veyron ส่วนเจ้าของกุญแจก็ถูกเธอขังอยู่ในห้องนอนชั้นสองนั่นไง
น่าจะเป็นตอนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงนั่งอยู่บนโซฟาแล้วก็คงเผลอร่วงหล่นออกมาตอนนั้นแหละ
น่าจะตายไปซะให้สิ้นเรื่อง! ทำไมมาให้เหมียนเหมียนเจอจนได้นะ….
เสิ่นอีเวยเตรียมหยิบกุญแจในมือของเหมียนเหมียนเอามาเก็บ ทว่าหยางอันหรานรีบยื่นมือเข้าไปแย่งกุญแจไว้ก่อน
“กุญแจ Bugatti Veyron นี่มันของคนรวยนี่หน่า! อีเวย——”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หยางอันหรานใช้สายตาสงสัยหันมาทางเสิ่นอีเวยแทนแล้วพูดไปเรื่อยๆ: “เธอไม่ใช่ว่าหักหลังฉันกับเหมียนเหมียนแอบอยู่กับผู้ชายสองต่อสองแล้วหรอ?”
เสิ่นอีเวยรีบปฏิเสธทันควัน: “ไม่มีนี่? เธออย่าพูดมั่วๆนะ!”
“แล้วของสิ่งนี้มันมาได้ยังไงกัน? รถเธอก็ไม่ใช่ Bugatti Veyronสักหน่อย อย่าคิดว่าฉันจำไม่ได้นะ” หยางอันหรานแสดงท่าทีพูดชัดถ้อยชัดคำตามความเชื่อของตัวเอง
เสิ่นอีเวยกำลังครุ่นคิดว่าจะอธิบายให้หยางอันหรานเข้าใจว่ายังดี แต่กลับไม่คิดเลยว่า หยางอันหรานจะพุ่งเป้าไปที่ชามกับตะเกียบบนโต๊ะอาหารที่ยังไม่ทันได้เก็บให้เรียบร้อย
หยางอันหรานเดินตรงดิ่งไปที่โต๊ะ แล้วทำท่าทางเป็น Sherlock Holmes ที่กำลังพยายามสืบคดีอยู่: “บนโต๊ะมีตะเกียบสองคู่ ชามสองใบ แถมยังทำกับข้าวเยอะขนาดนี้ อีเวย เมื่อครู่มีคนมาที่นี่ใช่ไหม?”
เสิ่นอีเวยถึงกับสั่นแล้วพยายามปฏิเสธทันที : “ฉันชอบอะไรที่พิเศษนี่หน่า คนเดียวใช้ตะเกียบสองคู่ใช้ชามสองใบกินข้าวมันไม่ได้หรอ?”
หยางอันหรานฟังแล้วถึงกับขำกลิ้ง: “อีเวย เธอโกหกได้แย่เข้าทุกวัน เธอคิดว่าฉันโง่หรือเธอโง่กันแน่เนี่ย? ข้ออ้างบ้าบอคอแตกของเธอ เธอคิดว่าฉันจะเชื่อเธอไหม? ”
เมื่อพูดจบ หยางอันหรานก็เอาแต่กระแซะด้านข้างเสิ่นอีเวยถามเรื่องที่ตนเองสนใจมาขึ้นทันที: “พูดมาเถอะ เจ้าของกุญแจรถคันนี้ใครกันนะ?”
เสิ่นอีเวยกัดริมฝีปากแน่นแล้วกรอกตาไปมา ทำท่าทำทางไม่สนใจหยางอันหราน
ทว่าในเวลานั้นเอง กลับมีเสียงดังฟังชัดดังขึ้นมาแทน: “หนูรู้ค่ะ เป็นรถของคุณอาเซิ่ง!”
เสิ่นอีเวยกับหยางอันกรานถึงกับตกใจแล้วหันกลับมาพร้อมกัน หยางอันหรานถึงกับถามซ้ำ : “คุณอาเซิ่งคนไหนหรอ?”
“ก็คนที่คุณแม่เกลียดแสนเกลียดคนนั้นไง ที่คุณแม่ไม่ให้หนูไปสนใจคุณอาเซิ่งคนนั้นอ่ะ!” เด็กน้อยผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆมีอะไรก็พูดออกมาทั้งหมด
เสิ่นอีเวยถึงกับยิ้มหน้าบ้าน
ทว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ในห้องนอนชั้นสองนั้น กลับหน้าดำคร่ำเครียดผิดหูผิดตาแทน
คุณอาเซิ่งหรอ? ฉันเป็นพ่อของเธอนะ!
การที่ทำให้ลูกสาวของเขาไม่สนใจในตัวเขา เสิ่นอีเวย เธอทำได้ยอดเยี่ยมใจริงๆ!
หยางอันหรานที่ยังทำหน้าสงสัยอยู่แบบนั้นถึงกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาข้อมูล เธอป้อนคำว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงลงไปยังหน้าเวบไซต์
ปรากฏว่ามีประวัติความเป็นมาของเขาเยอะมาก หยางอันหรานยื่นโทรศัพท์ไปด้านหน้าเสิ่นอีเวยและถามหล่อนทันที: “คือเขาหรอ?