สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 395
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 395 คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่กับเธอ
ตอนที่เสิ่นอีเวยเปิดประตูห้องน้ำในวินาทีนั้น เหมียนเหมียนที่ถอดเสื้อผ้าเสร็จแล้วกำลังใส่เสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปหาเธอ เหงื่อบริเวณหน้าผากของเธอผุดขึ้นมาเป็นแถบ ถือว่าโชคดี…ที่เธอเร็วพอ ขอบคุณเทวดาฟ้าดินจริงๆ
เหมียนเหมียนที่ได้ยินเสียงประตูรีบหันกลับไปดู ปากเบะเล็กน้อย: “ถ้าหม่ามี๊ไม่ยอมออกมา เมื่อกี้หนูจะออกไปตามหาหม่ามี๊แล้วนะ!”
น้ำเสียงเหมียนเหมียนเง้างอดใส่ หัวใจเสิ่นอีเวยถึงกับละลายทันที เธอนั่งยองๆลงแล้วเริ่มใช้น้ำอุ่นค่อยๆรดฟองสบู่รอบตัวเหมียนเหมียนออก: “ขอโทษค่ะ หม่ามี๊มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ”
รอยยิ้มกลับมาอยู่บนหน้าเหมียนเหมียนดังเดิม: “หม่ามี๊ไปทำอะไรมาหรอ ทำไมไปนานจังคะ?”
สีหน้าเสิ่นอีเวยดูปกติทุกอย่าง หน้าก็ไม่ได้แดงใจก็ไม่เต้น เพราะเธอมีคำตอบที่ดีที่คิดเอาไว้
“หม่ามี๊ติดคุยโทรศัพท์อยู่ค่ะ เลยช้าถึงขนาดนี้”
เหมียนเหมียนผู้น่ารักดูไม่มีความสงสัยใดๆได้แต่สนใจหม่ามี๊ที่กำลังล้างสบู่บนตัวเธออยู่ เสิ่นอีเวยสังเกตเห็นว่าเหมียนเหมียนดูเหมือนไม่มีความรู้สึกตอบกลับเธอ ในใจเธอเริ่มเครียดเพราะไม่รู้ว่าเหมียนเหมียนจับความรู้สึกอะไรขึ้นมาได้
เสิ่นอีเวยเป็นห่วงเหมียนเหมียนเลยถาม: “ลูกสาวที่น่ารักเป็นอะไรไปหรือป่าวคะ? ไม่สบายใจหรือคะ?”
เหมียนเหมียนรับรู้ว่าหม่ามี๊กำลังถามเธอเลยเงยหน้าใช้ตากลมโตมองแล้วเอ่ยปากพูด: “ตอนที่อยู่ในห้องรับแขก หม่ามี๊กับน้าอานพูดคุยกันอยู่ หนูเข้าใจความหมายทั้งหมดค่ะ”
เสิ่นอีเวยหัวใจเต้น “โครมคราม”ตกใจจนเกือบจะสิ้นสติ แค่เด็กห้าขวบ ทำไมถึงได้…
มือเสิ่นอีเวยที่กำลังวุ่นวายอยู่ถึงกับหยุดชะงัก ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา ปัญหานี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอธิบายกับเหมียนเหมียนว่ายังไง
เธอครุ่นคิดอยู่ในใจอยู่นานจนเธอได้คำตอบแล้วเตรียมตัวที่จะพูด ทว่าเหมียนเหมียนกับพูดแทรกขึ้นมาแทน :“หม่ามี๊คะ หนูมีพ่อใช่ไหมคะ?”
เสิ่นอีเวยจ้องมองดวงตาเปล่งประกายของเหมียนเหมียน ในใจกลับมีความรู้สึกต่างๆถาโถมเข้ามาในจิตใจมากมาย เธอเงียบไปอยู่นาน ทว่าเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วอีกทั้งตามอายุของเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกับเหมียนเหมียนนั้นย่อมคิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจตามวัย
เธอปิดบังลูกตั้งแต่เริ่มต้นแต่โตแล้วก็ไม่มีทางที่จะปิดบังไว้ได้อีก เหมียนเหมียนก็โตขึ้นทุกวัน ยังไงวันหนึ่งเธอก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี
เสิ่นอีเวยตัดสินใจดีแล้วเลยพยักหน้าตอบรับ: “ใช่ค่ะ”
“พ่อทำงานอยู่ในเมืองนี้ใช่ไหมคะ?” เหมียนเหมียนถามต่อ บริเวณต้นคอของเธอกลับมีฟองสบู่เกาะอยู่
“ใช่จ๊ะ”
“งั้น… เหมียนเหมียนมีคำถามสุดท้ายค่ะ”
เสิ่นอีเวยนิ่งเงียบไปสักพักจนมีรอยยิ้มที่มุมปากแล้วพูดปลอบโยนเธอออกมา : “ไม่เป็นไรค่ะ ถามมาได้เลย เหมียนเหมียนอยากรู้เรื่องอะไรคะ คืนนี้หม่ามี๊จะบอกทุกเรื่องเลยค่ะ”
เหมียนเหมียนพยักหน้าด้วยท่าทางที่บอกว่าเข้าใจแล้วพลางเอ่ยถามต่อ : “ใช่คุณอาที่หนูเคยเจอคนนั้นหรือป่าวคะ อ้อ ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าคุณพ่อ”
เหมียนเหมียนรีบแก้คำผิดทันทีที่เธอรับรู้ความเป็นมาทั้งหมด
เสิ่นอีเวยถึงกับตะลึงไม่คิดเลยว่าความรู้สึกของเหมียนเหมียนจะหวั่นไหวได้ขนาดนี้ ได้แต่ตอบเธอกลับ: “ใช่ ครั้งก่อนที่เขาให้คนไปช่วยลูกตอนที่ลูกโดนลักพาตัวนั่นแหละ”
เหมียนเหมียนพยักหน้าแล้วถามคำถามอีกคำถามซึ่งเสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าจะตอบยังไงด้วยซ้ำ: “งั้น เขาถือว่าเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งไหมคะ?”
ในห้องน้ำนั้นมีแต่ละอองน้ำจากน้ำร้อนที่พวยพุ่งออกมาเป็นกลุ่มละอองเป็นชั้นๆ เสิ่นอีเวยมองใบหน้ารูปไข่ของเหมียนเหมียนผู้น่ารักผ่านละอองน้ำ มันดูมัวๆตามละอองน้ำ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเวลานั้นพอเห็นหน้าเหมียนเหมียนแล้ว เธอถึงอยากร้องไห้ขึ้นมาแทน
เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า เธออุ้มท้องมา10 เดือน หลังจากคลอดก็ใช้ชีวิตลำบากแสนเข็ญถึงจะโตได้ขนาดนี้ พูดเรื่องจริงเลยเสิ่นอีเวยแทบไม่เคยคิดเลยว่ารู้สาวของตัวเองจะฉลาดได้ขนาดนี้
ภาพการเลี้ยงดูเหมียนเหมียนในวันก่อนก็โผล่ขึ้นมาจนน้ำตาคลอเบ้า ท้ายสุดน้ำตาอุ่นๆไหลพรั่งพรูทั่วใบหน้า
ในเวลานั้นเอง เหมียนเหมียนก็ยื่นมืออวบๆขึ้นมาเช็ดน้ำตาของเสิ่นอีเวยที่ไหลออกมา แล้วทำปากจู๋พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ : “หนูเดาว่าเขาคงไม่ใช่ผู้ชายที่ดีสักเท่าไหร่”
เหมียนเหมียนใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างหนักแน่น เสิ่นอีเวยถึงกับหยุดร้องแล้วหัวเราะขึ้นมาแทน : “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ?”
เจ้าตัวเล็กพูดอธิบายพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาให้หม่ามี๊ของเธอ: “หากเป็นคุณพ่อที่ดีจริงๆ หม่ามี๊คงไม่ร้องไห้ออกมาตอนที่หนูพูดขึ้นมาหรอกค่ะ”
ในเวลานั้นเอง หัวใจที่อ่อนแอของเธอเหมือนถูกใครต่อยเข้าอย่างแรง ถึงแม้ว่ามันเจ็บแสนเจ็บ ในหัวใจมันมีทั้งความเจ็บปวดและซาบซึ้งปะปนผสมกัน
“ถ้าหม่ามี๊ยังรักคุณพ่ออยู่ก็กลับไปหาคุณพ่อแล้วอยู่ด้วยกันสิคะ ถ้าหม่ามี๊ไม่รักคุณพ่องั้นเราสองคนก็ไม่ต้องไปสนใจเขา ยังไงหนูจะทำให้หม่ามี๊มีความสุขที่ได้อยู่กับหนูทุกวันอยู่แล้วค่ะ!”
พอเสิ่นอีเวยได้ฟังที่เหมียนเหมียนพูดถึงกับร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ แถมเหมียนเหมียนยังเป็นคนเช็ดน้ำตาให้เธออีก อีกทั้งเหมียนเหมียนยังต้องพูดเรื่องตลกขำขันเพื่อปลอบใจเสิ่นอีเวยอีกด้วย
บางครั้งเสิ่นอีเวยก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เสียจริง แถมยังให้ลูกสาวสุดที่รักของเธอเป็นห่วงเธอขึ้นมาอีก โดยเฉพาะเวลาที่ตัวเองไม่สบายใจต้องให้เหมียนเหมียนมาปลอบใจเธออีก…เหมือนบุคลิกของแต่ละคนมันเหมือนจะกลับด้านกันไปนิด
หลังจากอาบน้ำเหมียนเหมียนเสร็จ เธอก็พาเหมียนเหมียนเข้านอน เหมียนเหมียนนอนเอนหลังบนเตียง เสิ่นอีเวยเล่านิทานก่อนนอนให้เธอฟังจนเธอหลับสนิท
จากนั้นเธอก็ห่มผ้าห่มให้เหมียนเหมียน และบรรจงจูบหน้าผากน้อยอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ปิดโคมไฟหัวเตียวถึงได้เดินออกมาจากห้องของเหมียนเหมียน
ยามเธอเดินบริเวณทางเดินหน้าห้องเหมียนเหมียน เสิ่นอีเวยเห็นแสงจันทร์นวลผ่องส่องแสงเข้ามาในบ้านทางกระจกมันช่างสวยงามทั้งอบอุ่น เธอถึงกับถอนหายใจจากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของตัวเอง
พอเปิดประตูห้องนอนก็เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องเธอตาเขม็ง เขาถอดเสื้อสูทตัวนอกออกเรียบร้อย พลางวางพาดไว้กับหัวเตียง ส่วนในมือก็กำลังพลิกเปิดหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง
ถ้าเสิ่นอีเวยมองไม่ผิดพลาดไป ตอนที่เธอกำลังเปิดประตูเพื่อเข้าห้องนอน จังหวะที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นเธอนั้น สายตาของเขาถึงกับทอประกายความยินดีออกมาแวบหนึ่ง
เขาใช้สายตาอันอบอุ่นมองมายังเธอ: “หล่อนนอนแล้วหรอ?”
คำว่า“หล่อน”ที่ซิ่งเจ๋อเฉิงเรียกนั้นหมายถึงเหมียนเหมียน ความเจ็บปวดลึกๆของตัวเองที่อยู่ในใจ จนกลัวว่าตัวเองไม่สามารถเรียกตัวเองว่าพ่อได้เต็มปาก เพราะฉะนั้นตอนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เคยแทนตัวหล่อนว่า “ลูกสาว” มาก่อนเลย
เขาได้แต่ข่มขื่นอยู่ในใจ ใครจะไปคิดว่าท่านประธานสูงส่งที่คนมากมายต่างนับหน้าถือตาซะขนาดนี้ จะเปลี่ยนเป็นคนระมัดระวังตัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ก้นบึ้งหัวใจของเขานั้นรับรู้ความรู้สึกว่าความระมัดระวังที่กำลังเกิดขึ้นนั้น เขายอมทำแถมมีความสุขอีกต่างหาก