สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 410
บทที่ 410 การพิสูจน์ของเซิ่งเจ๋อเฉิง
มองเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงเม้มริมฝีปากบางแน่นไม่ยอมพูดจา เสิ่นอีเวยจึงเข้าใจว่าการอธิบายของตนเองนั้นไม่ได้ช่วยอะไรไปโดยปริยาย หัวใจของเธอเต้นแรง รู้สึกว่าคืนนี้ผู้ชายคนนี้ต้องไม่ยอมแพ้แน่นอน
เมื่อคิดแล้วคิดอีก เสิ่นอีเวยจึงพูดออกมาหนึ่งประโยค:“หลังจากนี้ฉันจะไม่รับบุหรี่จากใครอีก โอเคไหมคะ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงชะงักเล็กน้อย ผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าช่างมีเสน่ห์เลยเกิน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ดีๆก็อยากดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และจูบเธอให้หนำใจ เพื่อเป็นการลงโทษ
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันไปพยักหน้าเบาๆให้หลินอวี้ ทันทีที่ได้รับสัญญาณจากเจ้านายของตนเอง จึงถอยหลังกลับมาเงียบๆจากประตูห้องจัดงานของเสิ่นอีเวย
เสิ่นอีเวยถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเรื่องนี้ก็ไม่บานปลาย ขอบคุณพระเจ้า
ทันใดนั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกครั้ง:“อย่าให้ผมเห็นบุหรี่ในมือคุณอีก ถ้าหากมีอีกครั้ง ผมจะไม่ปล่อยคุณแน่”
เสิ่นอีเวยรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรตนเองก็เป็นคนประเภทที่ชอบคว้าโอกาสไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อท่านประธานคนนี้ได้ให้โอกาสตนเอง เธอก็ควรรับมันทันทีถึงจะดีที่สุด
หลังจากพูดประโยคนั้นจบ เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงโอบเอวบางของเสิ่นอีเวย พาเธอหันตัวและเดินออกไปข้างนอก
เสิ่นอีเวยอึ้งไปสักพัก เธอเงยหน้าถาม :“พวกเราจะไปไหนกัน?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่มองหน้าเธอ เขาเพียงแค่พูดอย่างเย็นชาว่า:“ไปกับผมซะ ผมไม่อยากให้คุณอยู่ที่นี่ต่อ”
เสิ่นอีเวยหยุดก้าวไปข้างหน้า เธอยื่นมือออกไปคว้ากำแพงด้านข้างไว้แน่น พูดว่า:“แต่ทุกคนในบริษัทของฉันยังอยู่ที่นี่!”
“ช่างพวกเขาสิ”
เสิ่นอีเวย:“……”
เมื่อหันหลังกลับ ทันใดนั้นเองเสิ่นอีเวยมองเห็นกลุ่มผู้หญิงที่ใส่ร้ายป้ายสีตนเองยังคงยื่นตะลึงอยู่ที่เดิม พวกเธอมองดูท่าทางของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่คอยปกป้องตนเองอย่างใกล้ชิด บางคนจ้องมองด้วยความโกรธ แต่ในที่สุดกลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา
มองเห็นสายตาน่าหวาดกลัวของผู้หญิงกลุ่มนั้น เสิ่นอีเวยดูเหมือนจะคิดคำถามสำคัญข้อหนึ่งได้ เธอเงยหน้ามองเซิ่งเจ๋อเฉิงและถามว่า:“คุณจะทำอย่างไรกับพวกเธอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหยุดก้าวไปข้างหน้า แต่ไม่หันไปเหลียวมองคนกลุ่มนั้น เขาไม่แม้แต่แยแสเลยสักนิด
“พวกเธอหรอ?ผมไม่ทำอะไรพวกเธอหรอก เพียงแค่มุ่งเป้าไปที่บริษัทของครอบครัวพวกเธอแทน”เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดอย่างสบายๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
เสิ่นอีเวยเงียบกริบ ก็ใช่ ท่าทางที่ไร้ความปรานีแบบนี้ ถึงจะเป็นท่าทางที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้
“ช่างมันเถอะนะคะ”เสิ่นอีเวยพูดออกมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้มลงมองหน้าเธอ แทนที่พูดว่ามอง น่าจะใช้คำว่าจ้องมองอย่างละเอียดมากกว่า
“ทำไมล่ะ ?พวกเธอรังแกคุณ คุณทนได้ แต่ผมทนไม่ได้” ฝ่ายชายเริ่มแสดงสิทธิ์ขาดในการปกครอง
เสิ่นอีเวยเงียบไปสักพัก และพูดว่า:“ พวกเธอแค่เป็นพวกปากไม่ดี แต่ไม่ใช่คนไม่ดี อีกอย่าง ฉันก็ไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ช่างมันเถอะนะ เห็นแก่ฉันได้ไหม?”
ภายใต้แสงไฟ เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองเสิ่นอีเวย โครงหน้าของฝ่ายชายเหมือนดั่งคมมีด อีกทั้งแสงไฟจากเพดานเหนือศีรษะ ทำให้ใครก็ตามที่ได้มอง รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไร้ซึ่งความเมตตา
เสิ่นอีเวยรู้สึกจนปัญญา เธอพูดว่า:“ เมื่อสักครู่ฉันรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจจริงๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่เสิ่นอีเวยคนเมื่อก่อนแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องแย่ๆและคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและชีวิตของตนเอง ในคืนนี้ฉันซาบซึ้งอย่างยิ่งที่คุณปรากฏตัวมาเพื่อกู้หน้าแทนฉัน แต่ฉันไม่อยากทำให้พวกเธอต้องลำบาก”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหรี่ตาลงเบาๆ เขาไม่ตอบคำถามของเสิ่นอีเวยโดยตรง
แต่เนื่องจากตนเองรู้จักผู้ชายคนนี้ดี ดังนั้นเสิ่นอีเวยจึงรู้อยู่แก่ใจว่า ทุกครั้งหากผู้ชายคนนี้ไม่แน่ใจแต่ไม่ปฏิเสธข้อคิดเห็นที่เธอเสนอ นั่นหมายความว่าเขายอมรับมัน
ในที่สุดเสิ่นอีเวยจึงโล่งใจขึ้นมาสักหน่อย
ทันใดนั้นเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงจับข้อมือของเสิ่นอีเวยลากเธอกลับไป เสิ่นอีเวยตกใจ :“คุณจะทำอะไร?”
เสิ่นอีเวยถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงดึงออกไปจากตำแหน่งเดิมที่ทั้งสองยืนด้วยกันกว่าห้าเมตร ซึ่งทั้งสองฝั่ง มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งยืนอยู่ ไม่รอให้เสิ่นอีเวยมีท่าทีโต้ตอบ เสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนดั่งอัญมณีก็ตกลงมากระทบบนศีรษะ
“ถ้าเมื่อสักครู่ผมไม่ได้หูฝาดไป ตอนแรกดูเหมือนพวกเธอจะพูดว่าคุณตั้งใจยั่วผม?”อยู่ดีๆเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ถามคำถามนี้ออกมา
ในสมองของเสิ่นอีเวยมีเสียง“หึ่ง”ขึ้นมา คำพูดใส่ร้ายป้ายสีแบบนั้น มันช่างโหดร้ายและน่าขยะแขยง เดิมทีเธอไม่อยากได้ยินเป็นครั้งที่สอง ผู้ชายคนนี้ทำไมยังอยากถามต่อหน้าเธอ?
เสิ่นอีเวยรู้สึกเยือกเย็น ทันใดนั้นเอง เธอรู้สึกอยากหนีจนแทบบ้า แต่มือและเท้ากลับแข็งจนขยับไม่ได้
คำพูดที่ออกมาจากปากผู้หญิงเหล่านั้น เสิ่นอีเวยยังพอทนได้ แต่เมื่อได้ฟังเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมาจากปาก เสิ่นอีเวยรู้สึกเหมือนฟ้าดินถล่มลงมาใส่ตนเองจริงๆ
“งั้นตอนนี้ผมจะทำให้ทุกคนรวมทั้งคนที่พูดจาใส่ร้ายเห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนยั่วคุณ”
ประโยคนี้ของเซิ่งเจ๋อเฉิง เหมือนกับโยนหยกลงไปในทะเลสาบ เสียงสะท้อนถูกกลืนกิน ทั้งทางเดินเงียบสนิท ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เสิ่นอีเวยเบิกตากว้างต้องการถามเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ยังไม่ทันรอให้เธอมีปฏิกิริยาโต้ตอบ จูบที่ดุเดือดกลับถาโถมเข้ามา
สมองของเสิ่นอีเวยหยุดการทำงานทันที เพราะเธอไม่ลืมว่า รอบข้างของตนเองและเซิ่งเจ๋อเฉิงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ผู้ชายคนนี้กลับจูบลงมาตรงๆ
เธอพยายามดิ้นเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบ เพราะต้องการหลบหนีจากการจองจำของเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่สุดท้ายก็จนปัญญา
จูบของฝ่ายชายทั้งร้อนแรงทั้งหยาบคาย เต็มไปด้วยความรู้สึกอยากที่จะพิสูจน์บางสิ่งบางอย่างแก่ผู้อื่น
ผู้คนทั้งชายและหญิงรอบข้างพากันมอง ต่างพากันตกอกตกใจ ผู้หญิงก่อนหน้านี้ที่พูดจาเสียดสีเสิ่นอีเวย เมื่อเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงจูบกับเสิ่นอีเวยอย่างกระทันหัน ก็ต่างพากันโกรธจนหน้าบึ้ง
ในที่สุด หลังจากผ่านไปสิบวินาที เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงยอมปล่อยเสิ่นอีเวยแต่โดยดี เสิ่นอีเวยสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้ามาเต็มปอดทันที เพื่อทำให้ตนเองโล่งอก
เสิ่นอีเวยร่างกายเย็นเฉียบไปทั่วทั้งตัว เธอไม่สามารถตอบสนองใดๆได้เลย แต่นั่นเป็นเพราะคำพูดเมื่อสักครู่ของเซิ่งเจ๋อเฉิง ไม่ใช่เป็นเพราะจูบของเขา แต่คิดแล้วคิดอีก ก็อาจจะเป็นเพราะสองอย่าง
“เซิ่งเจ๋อเฉิง แท้จริงแล้ว……คุณคิดจะพิสูจน์อะไร?”
มองใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิง ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็ถามคำถามนั้นออกมา ราวกับว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ เขาทำหน้าบึ้ง:“คุณคิดจะพูดอะไร?”
เสิ่นอีเวยหัวเราะบางๆ:“ไม่มีอะไร คุณกลับไปเถอะ ฉันจะไปดื่มเหล้ากับเพื่อนร่วมงาน”