สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 444
บทที่ 444 ขอแค่เชื่อฟังที่ฉันพูดก็พอ
ในเวลานั้นเอง ริมฝีปากบางๆของหานฉีเฟิงแนบชิดกลับโสตประสาทของหล่อน ระยะลมหายใจใกล้ชิดขนาดนั้นจนเสิ่นอีเวยรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขา
ปลายจมูกของหล่อนได้กลิ่นเหล้าจางๆ
เสิ่นอีเวยที่รู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วกลับกลายเป็นว่าเหมือนเทวดามาดลใจหรือยังไงก็ไม่ทราบกลับเชื่อฟังหานฉีเฟิงจนเธอยอมสงบลงซะงั้น
สติสัมปชัญญะของเสิ่นอีเวยถึงกับหยุดนิ่งจนน้ำตาแทบไหลออกมา เพราะว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของเซิ่งเจ๋อเฉิง
หานฉีเฟิงก้าวเดินไปด้านหน้าหลายก้าวแล้วก็หยุดเท้าลง หล่อยเงยหน้าขึ้นก็พบใบหน้าของท่านฉิน หล่อนถึงกับตกตะลึงพลางเงยหน้าจ้องมองคนที่กำลังกอดตัวหล่อนอยู่ทันที น้ำเสียงของหานฉีเฟิงดังขึ้นมาเหนือศีรษะของหล่อน : “ท่านฉิน ผมทานข้าวเสร็จแล้ว ผมมีเรื่องให้จัดการต่อ ขอตัวก่อนนะครับ หวังว่าท่านฉินจะให้อภัยกับเรื่องนี้ด้วย”
เสิ่นอีเวยได้ฟังแล้วถึงกลับตกตะลึงเพราะว่าใบหน้าที่ท่าทีดูมึนๆงงๆของเขานั้นช่างทำให้คนรู้สึกยอมรับในตัวของเขาจริงๆ ขนาดเมาจนถึงขนาดนี้แล้วยังพูดเป็นทางการได้อีก
ชายที่ยืนอยู่หน้าท่านฉินนั้นครั้งนี้เขาเป็นหลักในการทำงานในภารกิจครั้งนี้ ท่านฉินจะยอมตกลงกับเรื่องนี้ได้ยังไงกันเล่า? เขาถึงกับวางแก้วเหล้าที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ แล้วพูดอย่างสบายอกสบายใจ : “ไปเถอะ ไปเถอะคืนวันเข้าหอมันสำคัญเท่ากับทองพันกิโลกรัม ฉันเข้าใจ ฮ่าๆๆๆ ….. ”
เสิ่นอีเวยฟังที่พวกเขาสนทนากัน ในใจถึงกับรู้สึกขยะแขยงแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา เธออดทนอีกสักพัก เดี๋ยวก็คงดีขึ้น เพราะว่าเดี๋ยวอีกสักพักก็ไม่ต้องทนอยู่ในสภาพที่อัปยศในห้องโถงนี้อีกแล้ว
อีกสักพักไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตามถึงเวลานั้นฝ่ายตรงข้ามก็มีแค่เขาคนเดียว เธอรับมือเขาได้ ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เสิ่นอีเวยกลับรู้สึกมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่ทำร้ายเธอแน่นอน
เมื่อสิ้นสุดคำพูดของท่านฉิน หานฉีเฟิงจ้องมองหัวหน้าของเขาแล้วกระชับเสิ่นอีเวยไว้แน่นแล้วเดินไปทางด้านหลัง สถานที่แห่งนั้นเสิ่นอีเวยจำได้ขึ้นใจ เพราะเมื่อครู่พวกหล่อนต่างถูกผลักให้ไปอาบน้ำที่ทางนั้น ห้องนั้นเป็นห้องถัดไปจากห้องอาบน้ำ ในตอนนั้นห้องพวกนั้นต่างถูกล็อกเอาไว้ ดูท่าแล้วห้องพวกนั้นจะเป็นห้องที่จัดไว้ให้หานฉีเฟิงไว้หลับนอนโดยเฉพาะ
เสิ่นอีเวยใจเต้นแรงแต่ก็พยายามบังคับให้ตัวเองสงบนิ่งเอาไว้
ยามเมื่อหานฉีเฟิงเดินมาถึงทางเดิน เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าเขาไม่มีแรงแรงหรืออย่างไรถึงวางหล่อนลงมาอย่างรวดเร็วจนเสิ่นอีเวยยืนจนเท้าเกือบพลิกอีกนิดก็จะไถลลงกับพื้นแล้ว
เสิ่นอีเวยเพิ่งจะสังเกตว่าทางเดินในเวลานี้เงียบสงบ พอมองออกไปก็พบว่าไม่มีคนคอยเฝ้าดูในทางเดินสักคน ห้องโถงที่อยู่ด้านหน้ากำลังจัดงานเฉลิมฉลอง ระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงทุกคนคงอยู่ในห้องโถงนั่นแหละ
หากเป็นอย่างนี้ ตอนนี้เป็นเวลาในการคุ้มกันที่ปล่อยปะละเลยมาก แถมยังเป็นโอกาสที่ดีในการหลบหนีอีกด้วย!
คิดได้แบบนี้ เสิ่นอีเวยถึงกับใจเต้นขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะว่าในเวลาที่สำคัญขนาดนี้หล่อนกลัวว่าตัวเองจะคิดผิดพลาดไป ทว่าในใจหล่อนต่างรู้ดีว่า หากไม่คว้าโอกาสที่ดีๆนี้เอาไว้ ต่อไปคงไม่มีโอกาสที่จะหนีออกไปได้อีก
เสิ่นอีเวยรีบหันศีรษะไปมองหานฉีเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆตัวเอง กลับพบว่าดวงตาเขาหลุบต่ำลง แสงที่ส่องจ้าลอดผ่านศีรษะลงมานั้น ทำให้ขนตางอนงามยาวของเขาสยายเป็นเงาบางๆทาบลงมา ดวงตาของหานเฟิงสะลึมสะลือแถมบริเวณด้านหลังพิงกับกำแพงพร้อมทั้งสังเกตบรรยากาศโดยรอบอย่างละเอียด ทำท่าทางเหมือนดื่มเหล้าเมาจริงๆแบบนั้น
ทว่าเมื่อครู่ที่หล่อนเห็นว่าเขาพูดกับท่านฉินอย่างชัดถ้อยชัดคำนั้น เธอแทบไม่สามารถตัดสินได้เลยว่าผู้ชายคนนี้กับท่าทีเมามายแบบนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเสแสร้งกันแน่
เสิ่นอีเวยสะบัดแขนหานฉีเฟิงออกทันทีโดยไม่คิดลังเลอะไรอีก แล้วพยายามวิ่งไปยังด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เพราะตอนที่ถูกพามาอาบน้ำนั้น เธอตั้งใจสำรวจโครงสร้างทางเดิน ทางด้านข้างเป็นห้องต่างๆ ไม่มีทางหนีรอดไปได้
ทว่าสุดทางเดิน มีบานประตูไม้แกะสลักสีฟ้าอ่อนอยู่หนึ่งบาน ลักษณะโบราณเอามาก หากเข้าไปทางนั้นบางทีอาจมีทางเดินออกไปยังภายนอกได้
ทว่าแผนที่เสิ่นอีเวยวางไว้กลับล้มครืนเพราะอาการท่าทางที่หานฉีเฟิงแสดงออกมานั้นเขาเสแสร้งทั้งสิ้น
เสิ่นอีเวยที่กำลังวิ่งหนีไปได้เพียงสองถึงสามก้าวนั้น แขนของหล่อนก็ถูกคนคว้าเอาไว้ ปกติอาศัยความคล่องตัวของหล่อนสามารถเอาตัวรอดได้ ทว่าวินาทีต่อมามือของหานฉีเฟิงกลับพาดมาที่หัวไหล่อันบอบบางของหล่อน
เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจเตรียมที่จะกรีดร้องออกมา แต่พลันนึกได้ว่าไม่อยากให้คนในห้องโถงได้ยินเลยกลืนเสียงลงคอไปแทน สายตาเฉียบแหลมของหล่อนหันกลับไปมองฉีหานเฟิงที่มุมปากของเขากำลังยิ้มอย่างอันตรายและพยายามจ้องตาหล่อนไม่ขยับ
เธอถามเขาด้วยความโกรธที่หยุดไม่อยู่: “แกไม่ได้เมานี่?”
หานฉีเฟิงหัวเราะเบาๆแล้วขยับมุมปากพูด: “แค่เหล้านิดหน่อย ถ้ามาเพิ่มอีกสามเท่าก็ไม่คณามือฉันหรอก”
เสิ่นอีเวยถึงกับโมโหปรี๊ดแตก อยากจะต่อยหน้าผู้ชายคนนี้สักทีสองที!
เดิมที่วางแผนเอาไว้ว่าจะคุยหลอกล่อเพื่อให้เขาเบี่ยงเบนความสนใจ ทว่าการที่เขาคอยตอบคำถามเธอแรงที่มือของเขากลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย แถมเพิ่มแรงมากกว่าเดิมอีก ทำอย่างราวกับกลัวว่าเธอจะวิ่งหนีไปอีก
ถึงแม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบก็ตามที ความคิดที่จะหนีก็ยังไม่หายไปอยู่ดี เธอจ้องมองหานฉีเฟิงแล้วสูดลมหายใจเข้าออก แล้วเอ่ยนิ่งๆขึ้นมาแทน : “หานฉีเฟิง คุณฟังฉันพูดนะ ฉันไม่รู้ว่าคุณกับท่านฉิน พวกคุณเป็นคนกลุ่มแก๊งเดียวกันหรือเปล่า ฉันอยากจะตบหัวตัวเองสักหนึ่งฉาดให้แตก ฉันก็นึกไม่ออกถึงสาเหตุที่คุณจับฉันมาที่นี่ ยังไงเราต่างก็ไม่รู้จักกัน เพราะฉะนั้นปล่อยฉันไป”
หานฉีเฟิงมองเห็นว่าเธอกำลังพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนๆบนใบหน้าค่อยๆซ่อนเอาไว้ ท้ายที่สุดถึงได้เอ่ยคำพูดออกมาเบาๆ : “ที่จับเธอมาก็เพราะมีเหตุผลนะสิ แต่ว่าตอนนี้เธอไม่จำเป็นที่ต้องรู้เหตุผล เชื่อฟังคำพูดของฉันก็พอแล้ว”
นิสัยที่ฝังกระดูกมาตั้งแต่เกิดของเสิ่นอีเวยคือการที่ไม่ยอมฟังคำสั่งของใครมาบังคับให้เธอทำนู่นทำนี่ ทว่าคำพูดของหานฉีเฟิงนั้น เธอไม่ได้ยินยอมแต่ในสถานการณ์นี้นั้นเธอก็สามารถประมาณการได้ว่าคืนนี้คงหนีไปไม่ได้แล้ว
ไม่ว่าจะอย่างไร คนอย่างหานฉีเฟิงในสายตาเธอนั้นไม่มีทางทำร้ายตัวเธอแน่นอน ทำตัวราวกับเหมือนจะช่วยเหลือเธออยู่เหมือนกัน แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขาใช้ไม้ไหนกันแน่ แต่ว่าดูจากสถานการณ์ที่อยู่ข้างหน้าแล้ว เธอเลือกที่จะเชื่อใจเขา
เมื่อพวกเขาทั้งสองต่างหยุดนิ่งกันอยู่ในเวลานั้น กลับมีเสียงเท้าย่องเบาๆมาทางด้านหลัง เสิ่นอีเวยยังไม่ทันตั้งสติได้ก็ถูกหานฉีเฟิงล็อกไหล่ของเธอไว้แน่น น้ำหนักของแรงมือของเขาทั้งหมดนั้นทุ่มสุดแรงมาที่ไหล่ของเธอ ขาของเสิ่นอีเวยถึงกับอ่อนจนเกือบจะรับไม่ไหว