สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 445
บทที่ 445 เธอไม่ยอมทำงั้นฉันลงมือเอง
หล่อนหันกลับไปดู หานฉีเฟิงก็ดูทำแสร้งทำเป็นเมาอีกครั้ง คนที่เดินมาจากห้องโถงนั้น คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นลูกน้อง ดูท่าทางแล้วเหมือนดื่มเยอะไปหน่อย เขาเห็นลางๆว่าเป็นคนสองคนเลยรีบก้าวผ่านอย่างไม่สนใจเท่าไหร่
อารมณ์ความรู้สึกในใจที่กำลังวุ่นวายของเสิ่นอีเวย จนเธอยอมเปิดปากถาม: “ตอนนี้เราจะไปไหน?”
หานฉีเฟิงใช้เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูของเธอ น้ำเสียงพร่าที่เล็ดลอดออกมาจากไรฟันช่างเหมือนกับอาการของคนเมาหัวราน้ำ: “ห้องที่สองด้านซ้ายมืออยู่ด้านหน้า กุญแจอยู่ในเสื้อโค้ต”
เสิ่นอีเวยทำได้แต่พยุงเขาไปยังห้องที่อยู่ด้านหน้า เธอหยิบกุญแจเปิดห้อง พอปิดประตูกลับพบว่าหานฉีเฟิงกลับสภาพมาเป็นคนสร่างเมาอย่างที่หาไหนไม่ได้
เสิ่นอีเวยถึงกับตกตะลึงกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าทำไมสีหน้าเปลี่ยนได้ไวปานจรวดขนาดนี้ น้ำเสียงของเธอแทรกอารมณ์เยาะเย้ยล้อเขาเล่น : “ไม่รู้เลยนะว่าการแสดงของคุณจะแสดงได้ขนาดนี้ ไม่ไปเป็นนักแสดงล่ะออกจะน่าเสียดาย”
ห้องนี้ไม่ถือว่าเป็นห้องหรูหรามากนัก การตกแต่งเหมือนโรงแรมหรูหราอยู่บ้าง ผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดไม่มีฝุ่นเกาะ
หานฉีเฟิงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ บริเวณบนหน้าผากที่มีเส้นผมยังมีน้ำเกาะเป็นเม็ดๆอยู่ ที่คอของเขายังพาดผ้าขนหนูสีขาวเอาไว้แล้วพยายามเช็ดหน้าซับน้ำที่เกาะอยู่บนใบหน้าของตัวเอง แล้วมุ่งหน้าเดินมาทางขอบเตียงเพื่อพูดคุยกับเสิ่นอีเวย : “เธอใช้มือหยิกคอตัวเองให้เป็นรอยช้ำหลายๆรอย”
ในเวลานั้นเอง เสิ่นอีเวยนึกว่าตัวเองฟังผิดไป เลยมองหน้าหานฉีเฟิงอย่างตกตะลึง : “คุณพูดอะไรนะ?”
หานฉีเฟิงเดาได้ตั้งแต่แรกว่าเธอจะมีอาการอย่างไร เขารีบอธิบายด้วยสีหน้าเดิม: “คุณรู้จักรอยสตรอว์เบอรี่ไหม นั่นแหละมันเป็นรอยของการจูบเม้มดูด คล้ายคลึงกับรอยช้ำ เธอทำให้เป็นรอยช้ำที่คอหลายที่หน่อย รีบๆเข้า”
หานฉีเฟิงพยายามเร่งเธอ เสิ่นอีเวยตกใจจนอ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้..น่าจะไม่ใช่มีแผนอะไรที่พิเศษอีกใช่ไหม?
ในเวลานั้นเอง หลังของเสิ่นอีเวยถึงกับเย็นวาบ ขนลุกไปทั้งตัว ความรู้สึกนี้มันช่างน่ากลัวกว่าที่ยืนรออยู่ในห้องโถงเมื่อครู่อีก
ใบหน้าของเสิ่นอีเวยแดงแจ๋รวมทั้งหูด้วย ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนกัน เรื่องลับๆในมุ้งแบบนี้เป็นเรื่องที่รุนแรงอยู่ ทว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากับพูดไม่รู้ร้อนรู้หนาวออกมา ช่างคนเป็นคนที่ทำให้หล่อนเห็นภาพเบื้องลึกมากขึ้น….
เธอแต่งงานมีลูกแล้วทำไมจะไม่รู้ถึงรอยจูบนั่นล่ะ? ทว่าการที่หานฉีเฟิงให้เธอทำแบบนี้มีสาเหตุมาจากอะไร เธอต้องรู้ให้ชัดเจน
“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ?” เสิ่นอีเวยตอบกลับอย่างแข้งกร้าว น้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจเหมือนถูกลิดรอนสิทธิ์ของตัวเอง
หานฉีเฟิงพยายามเช็ดหน้าไม่หยุดแล้วมองเธอด้วยสายตานิ่งๆ : “เพราะว่าฉันต้องการให้เธอช่วยแสดงละครเป็นเพื่อนฉัน”
เสิ่นอีเวยยังคงทำหน้าเดิม : “ละครอะไร? ทำไม?”
หานฉีเฟิงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร: “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาอธิบายให้เธอเข้าใจมากนัก เมื่อครู่ฉันก็พูดไปจนหมดแล้ว แค่เชื่อฟังคำสั่งของฉันก็พอ”
จิตใจของเสิ่นอีเวยนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกนี้มาก ยิ่งท่าทีโอ้อวดของฝ่ายตรงข้ามนั้นมันยิ่งทำให้ความไม่พอใจมากๆที่อยู่ในใจนั้นระเบิดขึ้นมาแทน
เธอเควี้ยงกุญแจที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะข้างเตียงเสียงดัง “ครืด” ปลายกุญแจที่แหลมคมกรีดบนโต๊ะเสียงดังแหลมแสบแก้วหูยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งเครียดหนักมากกว่าเดิมอีก
สายตาของเสิ่นอีเวยที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้นช่างเย็นยะเยือก: “หานฉีเฟิง ฉันจะบอกคุณให้นะ ระหว่างเราสองคนต่างก็ไม่รู้จักกัน ฉันถูกคุณจับมาที่นี่แล้วตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายร้ายแรงขนาดนี้ คุณดูเหมือนไม่ใช่พวกเดียวกับท่านฉินเลย แถมคุณยังไม่บอกฉันเรื่องตัวตนที่แท้จริงของคุณให้ฉันรู้ ที่เมื่อครู่ฉันยินยอมให้คุณพาเข้ามาในห้องนี้ แต่มันไม่ได้หมายความว่า ฉันสามารถที่จะฟังสั่งจากคุณตลอด เรื่องนี้ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจอย่างชัดเจน——!”
เสิ่นอีเวยอารมณ์เครียดขึ้นมาจนทำให้เธอพูดประโยคสุดท้ายนั้นอย่างเสียงดังฟังชัด
เพราะหล่อนต้องการประกาศกร้าวให้เขาได้รู้ว่าถึงจุดยืนของตัวหล่อนอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นหล่อนเลยไม่ได้สนใจเรื่องระหว่างนั้นที่สีหน้าของหานฉีเฟิงเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แถมเงาดำทะมึนของเขายังกระโจนตัวมุ่งหน้ามาทางเธออีก
เสิ่นอีเวยเพิ่งพูดคำพูดของประโยคนั้นจบก็ถูกหานฉีเฟิงพุ่งพรวดดั่งสายฟาฟาดมาปิดปากทันที ใกล้หูเธอกลับมีเสียงทักเตือนด้วยน้ำเสียงหิวกระหายเลือดอย่างเย็นชา : “หุบปาก!”
ฟังดูแล้วหานฉีเฟิงเหมือนไม่ชอบเสียงดังขนาดคำขู่ยังพยายามกดเสียงพูดให้เบาลง
เสิ่นอีเวยตกใจกลับปฏิกิริยาของเขา เดิมทีอยากเปิดปากสอบถามแต่ว่าปากที่ถูกปิดสนิทขนาดคอหอยยังถูกเขาใช้มือบีบไว้ ในใจตอนนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกจะหมดลมหายใจ
ฝ่ามือของเขามีขนาดใหญ่ทั้งมีความรู้สึกที่อบอุ่นแถมหยาบกร้านนิดๆบนมือ ปลายจมูกของเสิ่นอีเวยได้กลิ่นอ่อนๆ เธอพร่ำบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าต้องสงบสติอารมณ์ไว้ให้ดี หานฉีเฟิงเริมพูดข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอีกเช่นเคย : “อยากให้ผมปล่อยก็ต้องคอยเชื่อฟังผมเอาไว้ ไม่งั้นผมจะทำแบบนี้กับเธอเหมือนเดิม เข้าใจแล้วก็พยักหน้าซะ”
เสิ่นอีเวยพยายามกล้ำกลืนฝืนทนกับความโกรธ ทว่าในเวลานี้ชั่วโมงนี้เธอจำเป็นต้องฟังหานฉีเฟิงเพราะนอกจากนั้นแล้วไม่มีทางอื่น ทางที่ดีที่สุดคือการหลับตาแล้วพยักหน้าตอบตกลงถึงแม้ว่าจะไม่ยินยอมก็ตาม
หานฉีเฟิงค่อยๆหัวเราะเบาๆข้างหูเธอ : “ดีมาก”
หลังจากปล่อยมือแล้ว เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาแค่ได้แต่จ้องมองดวงตาแวววาวงดงามของหานฉีเฟิงที่เคร่งขรึมอยู่
หานฉีเฟิงมองเธอที่พยายามยับยั้งสติอารมณ์อยู่ ถึงกับอดหัวเราะเบาๆแกล้งหล่อนไม่ได้ : “ดูเหมือนเธอก็จะมีมุมอ่อนเหมือนกัน ทำตามที่พูดนะ เชื่อฟังผมต่อไป ตอนนี้ก็หยิกคอของคุณให้เป็นรอยช้ำต่อไปซะ”
น้ำเสียงหานฉีเฟิงที่เอ่ยขึ้นมานั้นกลับแอบซ่อนความตลกอยู่สามสิบเปอร์เซ็นต์ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์คือความตั้งใจ เสิ่นอีเวยไม่คิดเลยว่าหลังจากเบี่ยงเบนหัวข้อประเด็นแล้วยังวกกลับมาที่เดิมอีก เธอจ้องมองหานฉีเฟิงแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ
การแสดงออกด้วยอารมณ์พยายามนึกคิดทบทวนตลอดของหานฉีเฟิง ในใจเขาเหมือนคิดกำลังทำอะไรอยู่จนเดินไปยังหน้าประตูแล้วเอาหูแนบชิดกับบานประตูแล้วพยายามตั้งอกตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวที่อยู่ภายนอก
แล้วเขาก็เดินกลับมา เสิ่นอีเวยก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน หานฉีเฟิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัวกว่าเดิมแล้วพยายามพูดข่มขู่เธออีกครั้ง : “คุณยังไม่ขยับอีกหรอ? ผมจะบอกคุณให้นะ ผมให้เกียรติคุณเพราะฉะนั้นเลยอยากให้คุณเป็นคนทำมันขึ้นมาเอง ผมยื่นสิ่งดีๆให้แต่คุณกลับยอมลดตัวไปคลุกเคล้าสิ่งไม่ดี งั้นผมคงต้องลงมือเองแล้วแหละ”
น้ำเสียงของหานฉีเฟิงที่พูดออกมานั้นช่างดูตั้งอกตั้งใจเอามาก แต่ว่าเสิ่นอีเวยกลับไม่กลัวเลยสักนิด เธอยิ้มอย่างเย้ยหยันและพูดจาต่อปากต่อคำแทน : “คุณหาน หากคุณให้เกียรติฉันจริงๆ ก็คงไม่ทำเรื่องพรรค์นี้ต่อหน้าฉัน อีกอย่างคงไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนผิดๆ”
เมื่อเสิ่นอีเวยพูดจบ หานฉีเฟิงจ้องตาเธอแล้วโยนผ้าขนหนูที่เช็ดหน้าในมือลง แถมพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “เรื่องนี้คุณเป็นคนบังคับให้ผมทำเองนะ”
เขาไม่รอเสิ่นอีเวยปฏิเสธ ตัวเธอก็ถูกหานฉีเฟิงคว้าแขนทั้งสองข้างไว้แน่นแล้วเดินตรงดิ่งไปทางขอบเตียง