สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 448
บทที่ 448 ความโกรธที่ไร้เสียง
เธอค่อยๆย่องไปทางประตูแล้วเอาหูแนบกับบานประตู ด้านนอกไม่มีเสียงใดๆ ทางเดินก็เงียบสนิท ไม่มีคนเดินไปเดินมา หานฉีเฟิงคงเดินไปไหนต่อไหนแล้วแหละ
เสิ่นอีเวยคิดได้แบบนี้ก็ยื่นมือขึ้นจับที่ลูกบิดแล้วขยับเปิด มันเปิดไม่ออก ไอ้คนทุเรศ หานฉีเฟิงตอนที่เขาเดินออกจากห้องเขาก็ล็อกห้องจากด้านนอก แถมเมื่อครู่ยังเตือนเธอว่าอย่าออกไปจากห้องจะพูดทำไม?!
เสิ่นอีเวยโมโหอยู่จนจะใกล้บ้าแล้ว เธอจ้องมองลูกบิดที่เปิดยังไงก็ไม่ออกอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอเลยนึกถึงคำพูดของหานฉีเฟิงก่อนที่เดินออกไป บางทีเขาออกจะบอกความหมายทางอ้อมอยู่ก็ได้ว่าให้เธอไม่ต้องคิดหาวิธีอื่น ประตูบานนี้ยังไงเธอก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี
อารมณ์ของเสิ่นอีเวยเปลี่ยนเป็นแย่สุดทันที รู้สึกเหมือนหัวใจกับสมองอื้ออึงตึงเครียดเกือบจะระเบิดขึ้นมาทันที เธอจะทำอย่างไรดี…
ในเวลานั้นเอง ร่างกายก็เกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมา เสิ่นอีเวยนั่งลงบนเตียงด้วยหัวใจและร่างกายที่เหนื่อยล้าหมดแรง แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ สถานที่แห่งนี้ช่างมืดหม่นเสียจริง เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ตลอดไป ที่นี่ยังมีหญิงสาวหลายคนที่ถูกจับมาที่นี่อีก ถึงแม้ว่าเธอเองจะไม่ทราบเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนก็ตามที แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่เสิ่นอีเวยเข้าใจเป็นอย่างดี
หญิงสาวเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แถมในจำนวนนั้นยังมีนักศึกษาอยู่หลายคน ช่วงชีวิตตามอายุก็ไม่ควรมาถูกจองจำตกเป็นเหยื่อให้พวกสัตว์เดรัจฉานภายใต้การดูแลของท่านฉิน
หลังจากการสำรวจหลังจากที่โดนจับตัวมานั้น เสิ่นอีเวยพบว่ามีกลุ่มเด็กสาวอยู่จำนวนหนึ่งไม่ได้โดนลักพาตัวมา พวกหล่อนไม่ได้ออกมาหางานทำข้างนอก มีแค่การโทรศัพท์ไปข่มขู่และก็การโทรศัพท์ไปทวงเงิน ดังนั้นสามารถพูดได้เลยว่าแก๊งของท่านฉินเข้าข่ายการค้ามนุษย์
ส่วนหานฉีเฟิงนั้น…พฤติกรรมที่เขาปฏิบัติต่อเธอนั้น เสิ่นอีเวยรู้ว่าเขาไม่ได้เลวร้ายมากขนาดนั้น บางทีเขาอาจจะยืนอยู่คนละฝั่งกับท่านฉินก็เป็นไปได้
ในเวลานั้นเอง ทางเดินด้านนอกกลับมีเสียงดังลั่นขึ้นมาแทน ราวกับว่ามีลกุ่มขนาดใหญ่กำลังคุยถกเถียงกันไปมาพร้อมเดินมามุ่งหน้ามาด้วย อีกทั้งยังมีเสียงกุญแจที่เสียบเข้ากับรูหนอนตลอดจนเสียงกุญแจเปิดออกจากนั้นประตูค่อยๆเปิดออก เสิ่นอีเวยเกิดอาการตื่นเต้นมากๆอยู่ในใจ
เสียงของหานฉีเฟิงอยู่ดีๆก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู เสิ่นอีเวยทั้งถอยหลังตั้งหลักเข้าขอบเตียงทั้งพยายามฟังคำพูดของหานฉีเฟิงอย่างละเอียด : “ก่อนที่ผมจะออกไปเธอกำลังหลับอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตื่นหรือยัง”
เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินคำพูดของเขา จิตใต้สำนึกหล่อนบอกทันทีว่าหานฉีเฟิงกำลังให้สัญญาณเธออยู่ เธอรีบสอดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วคลุมผ้าห่มให้ตัวเองอย่างรวดเร็วช่างทันเวลาพอดีกับประตูที่เปิดเข้ามา เสิ่นอีเวยรีบหันศีรษะไปทางกำแพงเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคนที่กำลังเข้ามานั้นสามารถเห็นหน้าเธอได้อย่างชัดเจน
เสิ่นอีเวยที่กำลังคลุมโปงตัวเองอยู่ในมุมมืดๆ ภายใต้สถานการณ์ที่นิ่งเงียบขนาดนี้ เธอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดั่งสายฟ้าฟาดโครมคราม เธอพยายามควบคุมลมหายใจเพื่อควบคุมให้ร่างกายให้สงบนิ่งที่สุด
การที่เธอนอนคลุมโปงนั้น ทักษะในการฟังกลับไม่ได้ดีนัก เสียงพูดที่พูดออกมานั้นไม่ค่อยได้ยินถนัดนัก แต่ดีที่ว่าเธอสามารถฟังเนื้อหาที่คนที่อยู่ด้านนอกนั้นพูดอะไรบ้างอย่างชัดเจน
น้ำเสียงพูดห้วนๆดังขึ้นมา เสิ่นอีเวยจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของท่านฉิน : “คุณเซิ่ง เดี๋ยวผมให้หานฉีเฟิงเข้าไปปลุกหล่อนให้ตื่น คุณลองดูสิว่าหล่อนเป็นหญิงสาวที่คุณตามหาตัวอยู่หรือป่าว?”
เมื่อเขาพูดจบ เสิ่นอีเวยก็ได้ยินเสียงเท้าหานฉีเฟิงเดินมุ่งหน้ามาทางตัวเธอ ทว่าในยามนั้น ความคิดของเธอกำลังตีกันพัลวัน เพราะเธอได้ยินคำพูดของท่านฉันชัดเจนว่า คุณเซิ่ง….
เป็นเขาหรือป่าว? เสิ่นอีเวยรู้สึกเหมือนว่ากำลังมีพลุระเบิดอยู่ในสมองเธอในยามนั้น
เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปสะบัดผ้าห่มหนาๆที่คลุมตัวตัวเองออกแล้วลุกนั่งอยู่บนเตียง ทว่าเหตุการณ์ที่อยู่ต่อหน้ามันทำให้เธอหยุดหายใจไปชั่วขณะ
เซิ่งเจ๋อเฉิงสวมใส่ชุดสูทสีดำ ขนาดเสื้อเชิ้ตตัวในยังเป็นสีดำ กระดุมสีทองที่เสื้อสูทขึ้นเงาแวววับ ทว่าแสงแวววาบในยามนั้นมันกลับทำให้ทิ่มแทงตาเสิ่นอีเวย
เซิ่งเจ๋อเฉิงร่างกายสูงโปร่ง ดวงตาเย็นชา เขาใช้สายตาดั่งใบมีดเย็นเฉียบแหลมคมจ้องมองเสิ่นอีเวย รัศมีของเขาช่างแรงกล้า ผู้คนที่ยืนอยู่รายรอบก็เหมือนคนติดตามเท่านั้น
รวมถึงหานฉีเฟิงด้วย
หลินอวี้และเหล่าบอดี้การ์ดผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านหลังเขานั้นสีหน้าต่างเคร่งขรึมและเย็นชาอย่างชัดเจนพร้อมทั้งไม่พูดอะไรเลย นอกจากท่านฉิน
ผ่านไปสักพักเสิ่นอีเวยถึงได้เชื่อว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในเวลานี้ เขาคือคนที่เธอคิดถึงมาโดยตลอด เธอเพิ่งรู้ว่ามือทั้งสองข้างที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อนั้นต่างสั่นไม่หยุด เธอพยายามที่จะบังคับอารมณ์ตัวเองเอาไว้เพื่อทำให้ตัวเองนิ่งสงบที่สุด ถึงแม้ว่าจะยากที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นก็ตาม
ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนเทวดา เพราะเขาสามารถปรากฏตัวต่อหน้าเธอภายใต้สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ทว่าเสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าเขาจะช่วยเธอหรือป่าว….
ในเวลานั้นเอง เสิ่นอีเวยไม่ทันนึกถึงว่าทำไมเขามาโผล่ที่นี่ได้ ถึงแม้ว่าระยะห่างของทั้งคู่จะไม่ได้ไกลเลยสักนิด แต่เธอกลับรู้สึกว่าระยะห่างของเธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นเหมือนห่างกันคนละขอบฟ้า
ร่างกายของเขาแผ่รัศมีสว่างไสวอย่างชัดเจน ส่วนเธอนั้นกลับอยู่ในนรกที่มืดสลัว
เซิ่งเจ๋อเฉิงยืนไม่ไกลจากเธอมากนัก แต่สายตาที่มองมานั้นราวกับใบมีดมันทิ่มแทงทะลุหัวใจของเสิ่นอีเวยทันที
ตลอดระยะเวลาทุกขั้น ทุกตอนนั้น ไม่มีคนสังเกตสีหน้าของหานฉีเฟิงว่ายิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ในบางครั้ง เขาค่อยๆเงยหน้ามองสันกรามด้านข้างบนใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิง แล้วหันกลับไปประเมินเสิ่นอีเวยที่นั่งอยู่บนเตียง
ท่านฉินที่กำลังทำท่าทีพินอบพิเทาโค้งคำนับอยู่ข้างเขาอยู่นั้น หลังจากที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเข้ามาในห้องนี้นั้นก็เริ่มไม่พูดอะไรขึ้นมาสักคำจนเขาสังเกตได้เลยหันไปหทางเดียวกับสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง เพื่อมองเสิ่นอีเวยให้ถนัด
วินาทีต่อมา ท่านฉินที่ต่อหน้าคนอื่นดูหยิ่งผยองพองขนทว่าในยามนี้บนใบหน้ากลับยิ้มอย่างเสแสร้งถามเซิ่งเจ๋อเฉิง : “คุณเซิ่ง ไม่ทราบว่าหล่อนคือผู้หญิงที่คุณต้องการหาตัวใช่ไหม?”
ใบหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงเย็นชาอย่างชัดเจนแต่ยังไม่มีคำตอบให้ท่านฉินดังเดิม สายตาเขาจับจ้องบริเวณลำคอของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง นั่นคืออะไร? ทำไมมันถึงทิ่มตาเขาได้?
รอยช้ำสีแดงม่วงทั่วทั้งลำคอรวมถึงบนกระดูกไหปลาร้าก็ด้วย
ยามเมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นรอยคิสมาร์กในเวลานั้น คลื่นพายุความโมโหกลับก่อตัวขึ้นในใจทันที ทว่าเขาต้องกล้ำกลืนฝืนทนเก็บอาการนี้ในสถานที่แห่งนี้เอาไว้
เสิ่นอีเวยก็สัมผัสได้ว่าสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ที่ลำคอของตนเอง จนเธอเพิ่งเข้าใจว่าที่ลำคอของตนเองนั้นมีอะไรอยู่ วินาทีต่อมา การมองผ่านสายตาของเขาที่มองมาที่เธอนั้น สายตาเสิ่นอีเวยกลับมีการสื่อความหมายที่อยากจะอธิบายออกไปแทน
แต่บางทีเรื่องนี้เธอเองอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เขาเห็นร่างกายของหล่อนสั่นเทา เซิ่งเจ๋อเฉิงแค่เหลือบมองหล่อนจากนั้นก็พูดเสียงแข็งเน้นย้ำออกมาว่า : “ไม่ใช่”