สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 450
บทที่ 450 เขาเหมือนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทว่าหานฉีเฟิงกลับไม่ได้สนใจอะไร เขาแค่เดินไปยังโต๊ะชงชาแล้วเทน้ำใส่แก้วให้ตัวเอง ยามเมื่อแก้วแตะริมฝีปากเขาถึงได้เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง : “คุณถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้มันไม่มีความหมายอะไรว่าพวกคุณรู้จักหรือไม่รู้จักกัน เคยเป็นอะไรกันมาก่อนแล้วแตอนนี้อยู่ในสถานะไหน มันมีแค่คุณที่รู้ดีอยู่แก่ใจ”
ยามเมื่อหาฉีเฟิงพูดประโยคนั้นออกมา เสิ่นอีเวยถึงกลับตกใจไปชั่วขณะ เธอรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดมาที่เธอเลยหันกลับไปหาหานฉีเฟิงทันทีเพื่อถามเขาในสิ่งที่เธออยากรู้ : “ที่คุณพูดประโยคนั้นเมื่อครู่หมายความว่ายังไง?”
ทำไมผู้ชายคนนี้ทำท่าทางเหมือนพูดออกมาแล้วยังมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ในคำพูดนั้นอีก ทำท่าราวกับรู้เรื่องราวทั้งหมด
หานฉีเฟิงจ้องมองท่าทางของผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเลยนึกอยากจะหยอกเธอขึ้นมาซะงั้น เขาแกล้งทำเป็นหลอกถาม: “เมื่อครู่ผมพูดเยอะแยะ ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงประโยคไหนล่ะ?”
เสิ่นอีเวยใช้ความอดทนอดกลั้นที่จะตอบคำถามเขา: “ก็คือประโยคที่ว่า ‘เคยเป็นอะไรกันมาก่อน’นั่นแหละ”
เมื่อหานฉีเฟิงเห็นท่าทางในการถามเขาของเสิ่นอีเวยดูจริงจังขึ้นมา เขาเริ่มเปลี่ยนท่าทีให้จริงจังขึ้นมาด้วย แต่เขาก็ยังไม่ตอบคำถามของเสิ่นอีเวยอยู่ดี เพียงแต่เอ่ยขึ้นมาว่า : “หากเมื่อครู่เขายอมรับว่าเธอคือผู้หญิงคนที่เขาตามหาอยู่แถมจะพาเธอกลับไปด้วยนั้น ประมาณการได้เลยว่าพรุ่งนี้เธอคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”
เสิ่นอีเวยตกใจ: “ประโยคนี้ที่คุณพูดออกมาหมายความว่ายังไง?”
หานฉีเฟิงเอาแต่ยิ้มให้ตัวเองแต่ก็ไม่ตอบคำถามของเสิ่นอีเวยอยู่ดี ส่วนสีหน้าและจุดสนใจของอีกคนถูกดึงให้ไปคิดเรื่องอื่นแทน แต่ในใจก็ยังคิดตลอดกับความหมายที่หานฉีเฟิงพูดสื่อออกมา
เสิ่นอีเวยจ้องมองผู้ชายที่กำลังดื่มน้ำอย่างสบายอกสบายใจอยู่ตรงหน้า จิตใจของเธอในตอนนี้ช่างสับสนนัก หากตอนนี้พูดว่าผู้ชายคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เธอไม่มีทางเชื่อแน่ๆ
ส่วนสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันเป็นยังไงนั้น? เสิ่นอีเวยก็ดูไม่ออกจริงๆ เธอกลับรู้สึกว่าหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเหมือนมีหมอกสีขาวจางๆคอยคลุมอยู่มันเหมือนกำลังปกปิดข้อมูลความจริงๆอยู่
ความรู้สึกนี้มันทำให้เธอไม่รู้จะทำยังไงดี
เสิ่นอีเวยขมวดหัวคิ้วแน่นแถมจ้องมองใบหน้าของหานฉีเฟิงอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนบุคคลที่สองนั้นยามเมื่อถูกเธอจ้องหน้าเขาถึงกับขนลุกขึ้นมาทันทีพลางเอ่ยถามแทน: “คุณมาจ้องหน้าผมก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี บนหน้าผมก็ไม่มีตัวอักษรอะไรเขียนไว้ แต่จะพูดให้ถูก…ผู้ชายคนเมื่อกี้นี้เป็นแฟนของคุณใช่ป่าว?”
เสิ่นอีเวยใจเต้นโครมครามแล้วขมวดคิ้วแน่นตอบกลับไป: “คุณไม่ใช่รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ แล้วจะพูดต่อความยาวกันทำไม?”
หานฉีเฟิงวางแก้วน้ำในมือลงทำท่าเหมือนไม่ได้ยินคำแขวะของเสิ่นอีเวยแถมยังเดาไปเรื่อยเปื่อยอีกทั้งยังถามเธอกลับ : “ไม่ใช่แฟน หรือว่าเป็นคนที่เธอแอบชอบอยู่?”
เสิ่นอีเวย : “…….”
เธอไม่อยากปฏิเสธเลยว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านเธอถูกผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าล้อเล่นจนตอนนี้หมดอารมณ์แล้ว ท้ายที่สุดก็เธอก็ยอมเอ่ยทั้งปฏิเสธกับคำพูดของเขา: “ไม่ใช่อีกแหละ”
เมื่อหานฉีเฟิงได้ยินคำพูดนั้นถึงกับหัวเราะแห้งๆแล้วพูดต่อ : “จะกี่คำถามก็เอาแต่ปฏิเสธอยู่นั่นแหละ หรือว่าที่ผมพูดมานั้นมันผิดหมดเลยหรอ? งั้นอาการท่าทางที่หมดอาลัยตายอยากแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง? แกล้งทำให้ทุกคนเห็นหรอ?”
เสิ่นอีเวยถูกหานฉีเฟิงพูดถากถางไม่เลิกจนตลอดนี้โมโหขึ้นมาแทน เธอเลยตอบโต้เขาทันที: “คุณคิดว่าใครก็ทำเหมือนคุณได้นะที่ชอบทำเสแสร้งแกล้งทำแบบนั้นหรอ? ต่อหน้าคนอื่นอีกอย่าง ลับหลังคนอื่นอีกอย่าง”
ถึงแม้ว่าปากจะพูดออกไปงั้นก็ตามแต่ในใจของเสิ่นอีเวยยังรู้สึกกังวลอยู่ เธอใช้หางตามองเสิ่นอีเวยแล้วพูดถามโยนทางไปก่อน: “อารมณ์ของฉันที่แสดงออกมาเมื่อครู่นั้นมันแสดงอาการตามที่คุณพูดจริงๆหรอ?”
“ไม่งั้นล่ะ? คุณคิดว่าผมแต่งเรื่องขึ้นมางั้นสิ ผมจะบอกคุณให้นะ สายตาที่แสดงออกมานั้นมันไม่สามารถโกหกใครได้ ถึงแม้ว่าคุณสามารถจัดการท่าทางในการแสดงออกได้ดีก็ตาม แต่ความรู้สึกที่ใจสลายเป็นเสี่ยงๆนั่นมันสามารถปรากฏออกมาจากดวงตาของคุณ ถึงจะปิดบังยังไงมันก็ปิดไม่มิดหรอก”
ความรู้สึกที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจกลับตอบรับคำพูดของหานฉีเฟิงว่าเขาพูดถูก แต่ปากของเธอกลับไม่ยอมแพ้ เพราะเมื่อครู่ที่ผู้ชายคนนี้หันหลังจากไปจนเธอเห็นเงาลางๆด้านหลังของเขามันทำให้ความรู้สึกที่ย่ำแย่อยู่ก่อนหน้านี้นั่นยิ่งย่ำแย่ไปอีก
ดังนั้นเธอจำเป็นต้องหาอะไรบางอย่างมาระบายอารมณ์
“แยกแยะหลักการได้มีสาระจริงๆ ทำไมไม่ไปเป็นนักจิตวิทยาล่ะ? ไหงมาตกอยู่ในวงการการค้ามนุษย์ได้เล่า?”
มือของหานฉีเฟิงถึงกลับค้างอยู่ในอากาศ เขาจ้องมองเสิ่นอีเวย ตอนแรกก็อยากจะอธิบายให้เข้าใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เอ่ยอีกประโยคแทน: “แล้วแต่คุณจะคิด”
พูดจบ หานฉีเฟิงก็เดินไปพูดไปมุ่งหน้าไปที่ประตู “อยู่ที่นี่ดีๆนะ อย่าออกไปไหน——”
เมื่อพูดประโยคนั้นออกไป เขาก็ค้างอยู่สักพักแล้วก็หันศีรษะกลับมามองเสิ่นอีเวย แถมมีรอยยิ้มที่เหมือนทุกข์นิดๆที่มุมปาก : “อีกอย่าง คุณฉลาดกว่าที่ผมคิดไว้อีก”
“คุณหมายความว่ายังไง?”
“ถึงกับรู้ว่าต้องรื้อค้นทุกซอกทุกมุมในห้องนี้เพื่อหาของอะไรบางอย่างมาทุบกระจกให้แตกได้ แต่ผมขอแนะนำ อย่าเสียแรงเลย ในห้องนี้ไม่มีของที่คุณต้องการหรอก มองไม่ออกหรอ? หือ——”
หานฉีเฟิงใช้คางที่ไปที่เก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆเตียงนอนแล้วเอ่ยต่อ: “ไม่เห็นหรอ? ขนาดเบาะที่นั่งของเก้าอี้ยังบุนวมหนาซะขนาดนั้น ถ้าคิดจะเอามันมาทุบกระจกให้แตกก็ต้องคิดเลย มันไม่ทางเกิดขึ้นได้แน่”
เสิ่นอีเวยที่ถูกเขาเตือนสติถึงได้เอะใจตอนเข้าห้องนี้ตั้งแต่แรกว่าเก้าอี้ตัวนั้นมันบุนวมไว้ทั้งตัว ที่แท้เธอก็ว่ามันแปลกอยู่ที่เก้าอี้อะไรจะรูปร่างแปลกพิกลได้ขนาดนี้ มันแปลกจนเธอลืมนึกถึงมันตอนที่เธอพยายามหาสิ่งของอะไรมาทุบหน้าต่างให้แตก
ยิ่งตอนที่เธอเห็นหานฉีเฟิงเตรียมเปิดประตูห้องออกไปนั้น เสิ่นอีเวยรีบหันกลับมาเรียกเขาให้หยุดไว้ก่อน : “หานฉีเฟิง”
หานฉีเฟิงถึงกับหยุดเท้าทันทีแล้วรีบหันกลับมาจ้องมองหล่อน: “อะไรล่ะ?”
เสิ่นอีเวยนิ่งอยู่แวบเดียว แววตาของเธอดูจริงๆมาจากนั้นเธอก็พูดวิธีคิดของเธอจริงๆออกมา: “คุณอยากช่วยคนใช่ไหม? ฉันสามารถช่วยคุณได้——”
“หุบปาก” หานฉีเฟิงโต้ตอบด้วยเสียงเบาๆ
หานฉีเฟิงสาวเท้าเดินตรงไปหาเสิ่นอีเวย สายตาฉายแววอันตรายแหลมคม : “ฉันอยากจะช่วยใคร?”
เสิ่นอีเวยกล้าบ้าบิ่นพอที่จะสบตาเขาแล้วตอบกลับ : “เหล่าหญิงสาวและนักศึกษาหญิงหลายคนที่ถูกจับมาที่นี่ ”
หานฉีเฟิงยิ้มหัวเราะอย่างเย็นยะเยือกพยายามขยับไปใกล้ชิดเสิ่นอีเวยจนเธอได้กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆบนตัวเขา
“ฉันขอเตือนว่าเธอควรเก็บคำพูดเมื่อครู่นั้นไว้ซะ หากคนของท่านฉินได้ยินเข้า เธอรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรกับตัวเอง?” เขาใช้น้ำเสียงตักเตือนอยู่เนืองๆ
ใบหน้าเสิ่นอีเวยสงบนิ่ง : “อย่าเสแสร้งไปหน่อยเลย คุณไม่กลัวพวกท่านฉินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฉันไม่เคยเห็นลูกน้องคนไหนจะหยิ่งจองหองได้ขนาดนี้ คุณไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขาไม่ใช่หรอ?”
หานฉีเฟิงโกรธขึ้นมาจริงๆ: “คุณเอาที่ไหนมาพูดแบบนี้? คุณก็แค่ผู้หญิงที่เหมือนนกปีกหัก เอาตรงไหนขึ้นมาพูดเรื่องแบบนี้ได้?”
เสิ่นอีเวยโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว