สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 46
บทที่ 46 ทำข้าวซี่โครงหมูตุ๋น
เสิ่นอีเวยได้ข้อมูลบางอย่างมาเซิ่งเจ๋อเฉิงต้องมาถามหล่อนเรื่องนี้แน่นอน หล่อนจึงรีบชิงบอกสิ่งที่หล่อนคิดไว้ในใจออกมาเสียก่อน “ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนคนนั้นของฉันก็ได้นะ เรื่องแบบนี้ปกติแล้วคนนอกไม่น่าจะรู้เห็นอะไรด้วย “หล่อนพูดจบก็มองไปทางเซิ่งเจ๋อเฉิงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย
เซิ่งเจ๋อเฉิงในใจรู้สึกท้อแท้หดหู่ ” ไม่ให้คนนอกรู้เห็น แต่คนอย่างคุณรู้เห็นได้แบบนั้นเหรอ”
“ขอโทษนะ ทนายของจำเลยเป็นเพื่อนของฉัน มีอะไรที่ฉันจะดูไม่ได้บ้าง ฉันยังช่วยเขาออกความเห็นเกี่ยวกับบุคคลที่สามอยู่เลย คุณอยากรู้มากเลยเหรอว่าข้างในเขียนอะไรบ้าง ต้องโทษที่คุณกลับมาเร็วเกินไป เขาเลยยังไม่ทันให้ฉันดู ถ้าคุณอยากรู้จริงให้ฉันโทรไปถามก็ได้นะ”
เสิ่นอีเวยดึงสติกลับมาได้ในตอนนี้ และมั่นใจว่าหล่อนจะไม่หลงเชื่อคำโกหกหลอกลวงนี้ คำพูดแบบนี้พูดออกมาหล่อนเองก็ยังไม่อยากเชื่อ ไม่ต้องพูดถึงคนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิง หล่อนฟังออกว่าคำพูดที่ตัวเองเมื่อสักครู่นั้นมันแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ใช่คนโง่ เขาดูออกแต่แรกว่าคำพูดของผู้หญิงตรงหน้านั้นต้องการที่จะกระแหนะกระแหนเขาแบบอ้อมๆ
สายตาเขาเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย “เสิ่นอีเวย คุณคิดว่าคนอย่างผมนี่หลอกง่ายมากเลยใช่มั้ย”
เสิ่นอีเวยหัวเราะเบาๆ “จะเป็นไปได้ยังไง คนอย่างท่านประธานเซิ่งทั้งฉลาดมีไหวพริบ ฉันจะไปหลอกคุณได้อย่างไร”
พูดจบหล่อนไม่รอให้เซิ่งเจ๋อเฉิงโต้ตอบอะไร ก็รีบยกมือขึ้นมาห้ามก่อน”ไม่พูดแล้วๆ ฉันยังไม่ได้กินอาหารเย็นเลย คุณสามีทำงานมาเหนื่อยๆคงจะได้กินอาหารอร่อยๆจากข้างนอกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ต้องทำอาหารเย็นให้คุณสินะ”
เสิ่นอีเวยสวมรองเท้าที่ใส่เดินในบ้านแล้วฮัมเพลงเดินไปทางห้องครัว เสียงรองเท้ากระทบพื้นเปาะแปะๆ ท่าทางหล่อนมีความสุขสบายใจ
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ด้านหลังกลับยิ่งไม่พอใจ เพราะท่าทีสบายอกสบายใจของหล่อน เขารู้ว่าระหว่างหล่อนกับฉิ่นโม่จะต้องความลับอะไรปิดบังเขาอยู่ ซึ่งความลับนั้นเป็นของฉินโม่หรือหล่อนกันแน่ เขาเองก็ยังไม่รู้
“ทำอาหารเย็นให้ผมด้วย” คำพูดที่ออกมานั้นยังคงฟังไม่ออกว่าเป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน
เสิ่นอีเวยได้ยินเขาพูดอย่างนั้นจึงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง มือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักไป หล่อนหันกลับไปถามเขา “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”
เซิ้งเจ๋อเฉิงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา จึงหันหน้าไปตอบเสิ่นอีเวยอย่างรำคาญว่า “ไม่เข้าใจที่ผมพูดเหรอ ผมบอกว่าผมยังไม่ได้กินข้าวเย็น ทำเผื่อผมด้วย เย็นนี้ผมจะกินข้าวกับคุณ”
เสิ่นอีเวยแน่ใจแล้วว่าหล่อนไม่ได้ฟังผิดแต่ว่าผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แต่งงานกันมาสองปีไม่เคยยอมกินอาหารฝีมือหล่อนเลยแม้แต่มื้อเดียว วันนี้กลับเป็นฝ่ายยอมพูดว่าจะกินอาหารฝีมือหล่อนเอง
เสิ่นอีเวยนึกถึงตัวเองในอดีตที่หล่อนทุ่มเทเสียเวลามากมายเพื่อศึกษาทำความเข้าใจกับอาหารและ
พฤติกรรมการกินดื่มของเขา เพราะเมื่อก่อนตอนที่แม่ของเธอยังอยู่นั้น เคยสอนเอาไว้ว่า ถ้าคิดจะจับผู้ชายคนหนึ่งให้อยู่หมัดก็ต้องจัดการเรื่องปากท้องให้อยู่เสียก่อนความจริงแล้วมันก็ไม่ได้ฟังดูไร้เหตุผลสักทีเดียว
หล่อนเชื่อในความคิดของแม่ แต่ชีวิตหลังแต่งงานกับเซิ่งเจ๋อเฉิง มันทำให้หล่อนรู้สึกหมดความเชื่อมั่นในความคิดนี้ไปเสียแล้วเพราะต่อให้หล่อนจะพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจแค่ไหนอาหารที่หล่อนทำก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากเขา
บ่อยครั้งที่เขายอมกินอาหารที่แม่บ้านทำ แต่ไม่ยอมแตะอาหารที่หล่อนทำแม้แต่น้อย
ตอนแรกหล่อนคิดว่าเซิ้งเจ๋อเฉิงเป็นคนเลือกมากทานยาก ตอนหลังจึงรู้ว่า เป็นเพราะเขาเกลียดหล่อน ลองคิดดูขนาดตัวหล่อนเขายังไม่เคยแตะแล้วจะยอมกินอาหารฝีมือหล่อนเหรอ
เสิ่นอีเวยมองเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ก้หน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ แล้วค่อยหันศีรษะกลับมา นัยน์ตาร้อนผ่าวหล่อนรู้ตัวดีว่าตอนนี้หล่อนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
ความดีใจและปวดใจก่อตัวอยู่ลึกๆข้างในใจ เสิ่นอีเวยบอกไม่ถูกว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน หล่อนรู้ตัวอีกที มีดที่หั่นผักในมือก็ทำงานอย่างรวดเร็ว
เย็นนี้หล่อนจะทำอาหารที่เคยถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงมองข้ามและเป็นอาหารที่พ่อชอบมากที่สุดในบรรดาอาหารที่แม่ชอบทำบ่อยๆ
หั่นผัก ใส่ลงในหม้อ ปรุงรส ยกขึ้นทุกขั้นตอนทำอย่างพิถีพิถัน ในขณะที่หล่อนกำลังยุ่งอยู่ในครัวนั้น หล่อนรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ที่ด้านหลังไม่ไกลจากหล่อนนัก ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกถึงความเป็นบ้านขึ้นมา
เมื่อเสิ่นอีเวยทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วนำอาหารวางลงบนโต๊ะอาหาร เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รีบวางหนังสือพิมพ์ในมือลง แล้วตามกลิ่นอาหารมาทันที
อันที่จริงแล้วหล่อนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงชอบกินอาหารอะไรมากที่สุด แต่ที่สังเกตเห็นมาโดยตลอดคือเขาไม่ชอบอาหารที่รสจัดจ้าน
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองข้าวสองถ้วยที่หน้าตาดีมีกลิ่นหอมยั่วน้ำลายบนโต๊ะ สายตาของเขาเหมือนส่องแสงบางอย่างออกมาได้ เสิ่นอีเวยเห็นสายตามองเขาพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดูพอใจในอาหารฝีมือหล่อน
เสิ่นอีเวยส่งตะเกียบในมือให้เขา พร้อมพูดว่า “ฝีมือการทำอาหารของฉันก็ไม่ได้เลิศเลออะไร ถ้าไม่อร่อย ท่านประธานก็อย่าถือสาแล้วกัน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงกรอกตา ไม่สนใจคำพูดกระแนะกระแหนของหล่อน นั่งลงบนเก้าอี้หยิบชามขึ้นมาแล้วลงมือกินอย่างรวดเร็ว
เสิ่นอีเวยกินอย่างช้าๆ ข้าวในชามเหลือครึ่งหนึ่งหล่อนเงยหน้าขึ้นมา ในชามของเซิ่งเจ๋อเฉิงแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว หล่อนได้แต่มองไปที่เขาตาปริบๆ
ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกเย็นเยือก หล่อนไม่เคยคิดว่าคนที่หยิ่งยโสมุทะลุดุดันอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิง ตอนนี้กลับทำตัวเหมือนเด็ก
“ข้าวนี้มันเรียกว่าอะไร แล้วมันทำยังไง”
มองเขาที่ถามออกมาอย่างไม่เขินอายแบบนี้ ทำให้หล่อนรู้สึกดีใจไม่น้อย จริงๆแล้วหล่อนชอบทำอาหารมาก แต่เขาไม่เคยให้โอกาสหล่อนได้แสดงฝีมือเลย
“มันเรียกว่า ข้าวซี่โครงหมูตุ๋น จริงๆแล้ววิธีทำมันง่ายมาก เอาซี่โครงหมู มันฝรั่ง หัวหอม แครอทหรือผักอื่นใส่รวมกัน ใช้วิธีการทำเดียวกับซี่โครงหมูน้ำแดงตุ๋นข้าวในหม้อข้าวให้สุก นำต้นหอมไปลวกในน้ำร้อน แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ รอให้ข้าวสุกแล้วเทส่วนผสมต่างๆลงไปคลุกให้เข้ากัน จากนั้นโรยต้นหอมไว้ด้านบนก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย”
เสิ่นอีเวยอธิบายวิธีทำอย่างรวดเร็ว เซิ่งเจ๋อเฉิงเองก็นั่งฟังอย่างเงียบๆ เมื่อหล่อนพูดจบ หล่อนก็พบว่าเขากำลังมองหล่อนด้วยสายตาที่แฝงด้วยความอบอุ่น
หล่อนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก ก้มหน้ากินข้าวต่อ ตอนนั้นเองที่ชามอันว่างเปล่าปรากฏขึ้นตรงหน้าหล่อน หล่อนเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังมองที่หล่อนสายตาเว้าวอนเหมือนเด็กๆ
หล่อนอึ้งไปสักพัก ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขา “อยากกินอีกเหรอ”
ชายหนุ่มตรงข้ามรีบพยักหน้าตอบรับ
เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดอะไร หยิบชามเขาไปตักข้าวที่เหลือในหม้อ
จริงๆแล้วหล่อนรู้สึกแปลกใจมาก เพราะเมื่อสักครู่เพิ่งจะเกิดเรื่องของฉินโม่ขึ้น ดังนั้นหล่อนจึงคิดว่าเย็นนี้ระหว่างหล่อนกับเขาคงจะต้องเกิดความบาดหมาง ทะเลาะกันอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เวลานี้กลับเป็นภาพที่ดูอบอุ่นปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทำให้หล่อนรู้สึกคาดไม่ถึง
อัพเดทคร้งหน้า:22 พ.ย. 2019
จะมาในเร็วๆนี้ โปรดอดใจรอก่อน~