สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 468
บทที่ 468 เพราะเป็นเรื่องของฉันไง
แววตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงไร้อารมณ์ ใบหน้าที่หล่อเหลาแสดงให้เห็นถึงการเอาคืน เขามองเจียงเฉิงหวินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า :”ประธานเจียง คุณรู้มั้ยว่าทำไมเล่าจื่อถึงเขียน
คำถามนี้เมื่อถูกถามออกไป คนที่อยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินก็ต่างประหลาดใจ
เสิ่นอีเวยเองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า นี่คือคำถามอะไรกัน
ความสนใจของทุกคนจึงถูกดึงดูดมาทั้งหมด คนที่ยืนรุมล้อมอยู่ข้างๆต่างอยากรู้ว่าเรื่องสนุกๆนี้จะจบอย่างไร
แน่นอนว่าเจียงเฉิงหวินถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงถามจนมึน แม้จะรู้ว่าคำถามนี้เป็นกับดัก แต่ในใจเขาก็เกิดความสงสัยอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ จึงลองถามว่า : “ทะ ทำไมล่ะ”
แต่เห็นแค่เซิ่งเจ๋อเฉิงยื่นมืออกมาดึงเสิ่นอีเวยที่อยู่ข้างๆเข้าไปในอ้อมกอดเบาๆ ใบหน้านิ่งเฉยก่อนจะพูดออกมาหกคำ: “เพราะว่ามันเป็นเรื่องของฉันไง”
เจียงเฉิงหวิน: “…….”
เสิ่นอีเวย :”…….”
ทุกคน: “……..”
ท่านประธานเซิ่ง คุณยังกล้าปัญญาอ่อนกว่านี้อีกมั้ย เสิ่นอีเวยคิดในใจ หล่อนเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มที่กำลังโอบเอวตัวเองอยู่ หล่อนมองเห็นเพียงนัยน์ตาดำคู่นั้นที่ซ่อนความสะใจ กำลังมองเจียงเฉิงหวินอย่างท้าทาย
อีกฝ่ายเมื่อเจอท่าทีและการท้าทายของเขาแบบนี้ก็แทบจะสำลักตาย ทนแทบไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่บอกลาเสิ่นอีเวยตามมารยาทแล้วเดินจากไป
ในเมื่อเป็นถึงเจ้าชายแห่งบริษัทการบันเทิงเฟิงสิง แต่ทำไมถึงถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงข่ม นั่นเพราะว่าก่อนหน้านั้นหลังจากที่เซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวย เสิ่นเหมียนได้ประกาศความสัมพันธ์ออกมาให้ทุกคนรู้ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เข้าไปลงทุนในบริษัทเฟิงสิงด้วยเงินก้อนใหญ่
และตอนนี้ถึงแม้ว่าเจียงเฉิงหวินจะเป็นประธานบริหารก็ตามแต่เงินลงทุนและอำนาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆก็คงอยู่ที่พ่อของเขา ท่านประธานกรรมการเจียง เงินลงทุนก้อนนี้ของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นไม่ได้ผ่านมือเจียงเฉิงหวินแต่เป็นท่านประธานกรรมการเจียงเป็นผู้เซ็นรับรู้โดยตรง
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องรู้จากปากพ่อของเขา เขาจึงไม่ได้เป็นฝ่ายบอกเอง เจียงเฉิงหวินเองก็รู้ดีว่าเป้าหมายของเซิ่งเจ๋อเฉิงคือตนเอง เขาไม่อยากให้ตนเองใกล้ชิดสนิทสนมกับเสิ่นอีเวยมากเกินไป จึงถือโอกาสใช้เรื่องนี้มาปิดทางเขา
เจียงเฉิงหวินนั้นชอบวางอำนาจอยู่เป็นนิสัย แต่ตัวตนที่แท้จริงแล้วเขาเขานั้นไม่มีความมั่นใจอะไรเลย ยิ่งเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเสิ่นอีเวย เขาจึงเลือกที่จะไม่งัดข้อกับเซิ่งเจ๋อเฉิง เลือกที่จะเดินจากไปแทน
เข้าสู่ขั้นตอนต่อไปของการถ่ายทำ พนักงานทุกคนเริ่มงานยุ่งขึ้นเสิ่น อีเวยมองเซิ่งเจ๋อเฉิง ในใจรู้สึกดีใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า หล่อนถามเขาว่า: “ทำไมวันนี้ถึงได้มาได้ งานไม่ยุ่งเหรอ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว “ยุ่งแล้วมาไม่ได้เหรอ”
เสิ่นอีเวยเบะปาก ไม่ได้พูดอะไร หล่อนยังไม่ชินกับการสนิทสนมกับเขาด้วยระยะใกล้ๆในที่ๆมีคนจำนวนมากแบบนี้
เซิ่งเจ๋อเฉิงดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอใจกับท่าทีเพิกเฉยของหล่อน จึงพูดด้วยเสียงเบาๆว่า :”ทีกับเจียงเฉิงหวินยิ้มอย่างมีความสุข พอเห็นผมมาหน้าก็เป็นแบบนี้คุณหมายความว่ายังไงห๊ะ”
เสิ่นอีเวยชะงัก หันไปมองเซิ่งเจ๋อเฉิง สีหน้าของเคร่งขรึมตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกหล่อนก็คิดจะอธิบาย แต่เสิ่นอีเวยก็ยังคิดแล้วคิดอีก หันไปมองผู้คนรอบๆตัว ยังดีที่ทุกคนต่างกำลังยุ่งกับงานในมือของตน ไม่มีใครมองมาทางพวกเขา
เธอจึงยอมข่มใจ ขบกรามแน่นหันไปหอมเซ่งเจ๋อเฉิงหนึ่งฟอด
วันนี้แม้ว่าหล่อนจะสวมรองเท้าส้นสูงแต่ส้นรองเท้านั้นก็ไม่ได้ถือว่าสูงเท่าไหร่นัก หล่อนจึงต้องเขย่งเต็มที่ถึงจะหอมเขาถึง เมื่อสักครู่ยังยืนไม่ค่อยอยู่ ยังต้องจับแขนเสื้อของเขาไว้
หลังจากหอมเขาแล้ว เสิ่นอีเวยจึงรีบถอยออกมาครึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวว่าจะมีคนเห็นพวกเขา เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นท่าทีที่หล่อนอยากหอมแต่ก็กล้าๆกลัวๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมา จึงพูดขึ้นว่า: “คุณนี่ก็ขี้กลัวไปได้”
เสิ่นอีเวยเบะปาก กลอกตาใส่เขาพูดพึมพำออกมาว่า : “ก็ที่นี่คนเยอะแยะ ฉันไม่ขี้กลัวอย่างที่คุณพูดนะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินหล่อนพูดดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้ามากระซิบใกล้หูหล่อนและแกล้งหยอกหล่อนไปว่า :”เหรอ ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ไปหาผม แล้วทำให้ผมดูหน่อยสิว่าคุณกล้ามากขนาดไหน”
ลมหายใจอุ่นของเซิ่งเจ๋อเฉิงรดอยู่ข้างหูของเสิ่นอีเวย หูและลำคอของหล่อนเป็นจุดที่ค่อนข้างอ่อนไหวมากที่สุดในร่างกายหล่อนอยู่แล้ว บวกกับคำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของเขาเข้าไปอีก ทำให้ใบหน้าเสิ่นอีเวยแดงไปหมด หล่อนพยายามจะหาคำด่าอยู่นานสุดท้ายก็พูดออกมาได้เพียงสองคำ: “ทุเรศ”
หลังจากพูดสองคำนั้นออกมาแล้ว ก็แกล้งทำเป็นโกรธแล้วเดินหนีไป
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ด้านหลังเบะปากแล้วตามไป
เวลาหนึ่งทุ่ม เหมียนเหมียนถ่ายทำเสร็จในที่สุด ในช่วงเวลาที่ถ่ายทำนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงและเสิ่นอีเวยก็ไม่ได้จากไปไหน เพราะพวกเขานัดทานอาหารเย็นด้วย เดิมทีเสิ่นอีเวยคิดจะกลับไปที่บริษัททำงานสักหน่อย แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ยอมให้หล่อนไป คืนนี้อย่างไรก็ต้องไปกินข้าวพร้อมเขา ทำให้หล่อนต้องโทรไปหาAlex ที่หล่อนต้องฺผิดคำพูด
เซิ่งเจ๋อเฉิงทำให้หล่อนต้องเสียงานเพราะเรื่องส่วนตัว
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คุณไม่กลัวเหรอว่าAlex จะมาถามหาเหตุผลกับคุณ เขาจ่ายเงินให้ฉันนะ ทุกวันโดดงานแล้วก็บอกว่าไม่เข้าไป” เสิ่นอีเวยกอดอกพูดกัยเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่สายตาอ่อนโยนกลับมองไปที่เด็กน้อยที่กำลังลงจากเวที
เซิ่งเจ๋อเฉิงส่งเสียงเบาๆในลำคอ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องไม่ลังเลที่จะพูดว่า เงินเดือนที่Alexให้จะสักเท่าไหร่กัน สู้มาอยู่ข้างๆกายเขาไม่ได้หรอก
แต่ว่าปัจจุบัน หลังจากที่ทั้งสองแยกจากกันมาสี่ปี ทั้งสองต่างเข้าใจกันดีถึงความในใจของแต่ละคน เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงแกล้งหยอกหล่อนว่า: “ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่กลับไปที่บริษัทเซิ่งซื่อ เป็นผู้ช่วยส่วนตัวผม ดีมั้ย ลองคิดดู”
แม้จะรู้ว่าเขาแกล้งถาม แต่มุมปากของเสิ่นอีเวยก็อดไม่ได้ที่จะงอ หล่อนเบะปากมองเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วพูดว่า: “ให้ฉันไปเป็นผู้ช่วยคุณ คุณอยากให้หลินอวี้หมดทางทำมาหากินเหรอ”
คิ้วของเซิ่งเจ๋อเฉิงยกขึ้น พูดว่า :”คุณดูถูกหลินอวี้เกินไปแล้วนะ ความสามารถเขามากมาย ไม่ได้มีแค่พอจะเป็นผู้ช่วยผมหรอกนะ ผมเตรียมจะส่งเขาไปBuenos Airesเพื่อจัดการกองทุนที่นั่น
Buenos Airesเหรอ
เสิ่นอีเวยได้ยินที่เขาพูดก็รู้สึกแปลกใจ คนที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาลอย่างเขา เริ่มจัดการกองทุนในมือนั่นแสดงว่าเขาคิดจะปล่อยวางอำนาจบางอย่างลง ตามความเข้าใจของหล่อนที่มีต่อผู้ชายคนนี้นั้นมีความเป็นไปได้อย่างมาก
หล่อนรวบรวมสติแล้วถามว่า”ทำไมอยู่ๆถึงคิดจะจัดการกองทุนขึ้นมาล่ะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันมามองตาหล่อน น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นอีก :”เพราะผมอาจจะวางมือจากบริษัทเซิ่งซื่อสักระยะหนึ่ง”
เสิ่นอีเวนใจหาย รีบถามเขาว่า:”หมายความว่ายังไง คุณจะวางมือคุณจะไปไหน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเขยิบเข้าใกล้อีกก้าว กุมมือของหล่อนไว้ สัมผัสที่นุ่มนวลและอบอุ่น แววตาเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับเหมือนแสงของดวงดาว เขาพูดว่า: “ผมอยากจะพาคุณไปเที่ยวพักผ่อนสักพัก ไม่ว่าจะเมืองไหน ประเทศไหน จะมีแค่เราสองคนดีมั้ย”