สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 90
บทที่ 90 ฟังคำพูดผมให้ชัดๆ
ผมยาวสลวยของเสิ่นอีเวยระลงมาบนใบหน้า ความเจ็บปวดและความซาบซ่านของร่างกาย ทำให้ในดวงตาหล่อนเหมือนมีสายน้ำซ่านกระเซ็น แม้แต่สายตาที่มองแสงไฟนอกหน้าต่างก็เริ่มพร่ามัว
หล่อนรู้ว่าครั้งนี้ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงรุกหนัก จุดประสงค์ก็คือต้องการให้หล่อนร้องขอความเมตตาเห็นใจจากเขา แต่ว่าหล่อนตั้งมั่นแล้วว่าจะสู้กับเขาต่อไป
“เจ็บมั้ย”น้ำเสียงของเขายังคงใจเย็นและมุ่งมั่น ประหนึ่งว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อเรื่องเลวร้ายที่เพียงคนเดียว
“อืม เจ็บ” เสียงของเสิ่นอีเวยสั่นเล็กน้อย
“เจ็บก็ร้องออกมาสิ”
หล่อนโกรธมาก ยื่นมือไปด้านหลังหวังจะตีเซิ่งเจ๋อเฉิง เป็นเพราะท่าทางเป็นอุปสรรค ต่อให้หล่อนรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีก็ไม่สสามารถตีเขาได้ เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือข้างหนึ่งจับแขนของหล่อนไพล่ไปด้านหลัง เสิ่นอีเวยถูกเขาควบคุมไว้หมดแล้ว
ความหวาบหวานซาบซ่านภายในกายค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น แม้แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงเองก็เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่เช่นกัน
ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็พูดเสียงกระเซ่า”อา เซิ่งเจ๋อเฉิง คุณมันเลว”
เพราะหล่อนหันหลังให้เขา เสิ่นอีเวยจึงไม่เห็นรอยยิ้มที่แสดงถึงชัยชนะปรากฏบนใบหน้าของผู้ชายด้านหลัง
หล่อนมองเห็นเพียงเงาของช่วงไหล่ที่แข็งแรงของเขาบนหน้าต่างกระจกบานใหญ่นั้น ซึ่งชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“เซิ่งเจ๋อเฉิง เซิ่งเจ๋อเฉิง”ระหว่างพวกเขานั้นเคยขึ้นเตียงมาแล้วหลายครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนครางเรียกชื่อเขาออกมาแบบนี้
ไม่รู้ทำไมเมื่อเขาได้ยินหญิงสาวตรงหน้าร้องครางเรียกชื่อเขาออกมา ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มันพิเศษรุนแรงพลุงพล่านไปหมด ร่างของเขาหนักหน่วง พุ่งลงสอดใส่เข้ามาที่ร่างหล่อนอีก แต่มีความนุ่มนวลมากกว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมา
หลังจากการปลดปล่อยอารมณ์สิ้นสุดลง ทั้งห้องก็กลับมาสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ในตอนนั้นเองที่เสิ่นอีเวยคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรอีกแล้ว เขากลับจับหัวไหล่ของหล่อนพลิกกลับมา
ก้มศีรษะลงมากัดลงไปที่คอของหล่อนอย่างแรง ตรงบริเวณรอยจูบแดงๆนั่นเอง ประหนึ่งว่าเป็นผีดูดเลือดก็ไม่ปาน
เซิ่งเจ๋อเฉิงรุนแรงมาก เสิ่นอีเวยรู้สึกถึงความเจ็บปวดขึ้นมา หล่อนร้องออกมา”ทำอะไรของคุณ ฉันเจ็บนะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่สนใจหล่อนยังคงทำต่อไป สองมือเขายึดร่างหล่อนไว้แน่น หล่อนไม่มีทางขัดขืนได้เลย
ตั้งแต่คอลงมาถึงไหปลาร้า ค่อยๆไล่ลงไป ในที่สุดเขาก็หยุด เสิ่นอีเวยก้หน้าลงมาดูถึงกับตกใจสุดขีด ตั้งแต่ไหปลาร้าจนถึงหน้าอกหล่อนเต็มไปด้วยรอยจูบแดงเป็นปื้นมีทั้งเข้มทั้งจางดูแล้วน่ากลัวเล็กน้อย
รอยจูบที่สองคนนั้นทิ้งไว้หายสาบสูญไปแล้วแต่มีรอยใหม่มาแทนที่
เซิ่งเจ๋อเฉิงยื่นมือออกมาจับใต้คางของหล่อนไว้แน่น แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือนวดที่ริมฝีปากบวมแดงของเสิ่นอีเวย “เสิ่นอีเวย คุณฟังผมให้ดีๆนะ ถ้าครั้งหน้าคุณให้ผู้ชายคนอื่นทิ้งร่องรอยแบบนี้ไว้บนตัวคุณอีก ผมก็จะใช้วิธีการเดียวกันนี้จัดการกับคุณ”
เสิ่นอีเวยหัวเราะออกมา ในใจคิดว่า ไม่ใช่เพราะคุณเหรอที่ส่งฉันไปให้พวกนั้น
แม้ว่าในใจจะคิดแบบนี้ แต่คำพูดที่ออกจากปากหล่อนนั้นกลับฟังดูแย่กว่านั้นอีก “คุณจะมาแสดงบทสามีที่ดีอะไรตอนนี้ ที่ฉันต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ไม่ใช่เพราะฝีมือคุณหรอกเหรอ”
สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงเงียบขรึมลง “คุณลองพูดอีกทีสิ”
เสิ่นอีเวยจ้องเขาตาไม่กระพริบ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธไม่พอใจ แต่ลึกๆข้างในแฝงด้วยความสิ้นหวัง เซิ่งเจ๋อเฉิงมองเห็นแต่เขาไม่ยอมที่จะค้นหา
เสิ่นอีเวยนิ่งเงียบอยู่นานมาก
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนจะอ่านใจหล่อนออก รู้ว่าในใจลึกๆของหล่อนนั้นไม่พอใจในตัวเขา เขาจึงยิ่งออกแรงบีบที่คางของหล่อนอีก เสิ่นอีเวยเจ็บจนใบหน้าของหล่อนแทบจะเปลี่ยนรูป
“ที่ผมพูดเมื่อกี้ ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย”คำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิงเจือการข่มขู่เล็กๆ รู้สึกเหมือนว่าหากเสิ่นอีเวยไม่ตอบรับเขา หล่อนจะต้องถูกเขาทิ้งไว้ที่นี่
เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ สุดท้ายเสิ่นอีเวยก็ยอมก้มศีรษะตอบรับ”อืม ได้ยินชัดแล้ว”
ในที่สุดเซิ่งเจ่อเฉิงก็ยอมปล่อยมือ เสิ่นอีเวยเหมือนนักโทษที่ถูกจองจำมานานแล้วก็ได้รับการปล่อยตัวเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ร่างของหล่อนเซถลาไปพิงผนังห้อง ตอนนี้เองที่หล่อนรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนนั้นเต้นเร็วมากขนาดไหน
เซิ่งเจ๋อเฉิงค่อยเดินมาที่ข้างๆโต๊ะสีดำ ยื่นมือหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน แสงสว่างจากไม้ขีดไฟถูกจุดขึ้นภายในห้อง มือหนึ่งถือบุหรี่ไว้ คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย
เสิ่นอีเวยรู้สึกแปลกใจมาโดยตลอด ฐานะคนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้น นาฬิกาข้อมือ กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่ไฟแช็กก็ล้วนเป็นของที่แสดงถึงฐานะของคนๆนั้นได้ชัดเจน เขาไม่เลือกใช้ไฟแช็คที่หรูหราดูแพงพวกนั้น แต่กลับใช้ไม้ขีดไฟธรรมดาๆบ้านๆแบบนี้ ช่างยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ
เมื่อก่อนเสิ่นอีเวยเกลียดผู้ชายที่สูบบุหรี่มาก แต่ครั้งแรกที่เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงจุดบุหรี่สูบนั้น หล่อนกลับรู้สึกว่าในโลกใบนี้จะมีผู้ชายคนไหนที่เวลาจุดบหรี่สูบแล้วจะหล่อดูดีได้ขนาดนี้อีก
อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงเริ่มมีความรักแล้วก็จะเป็นแบบนี้ ต่อให้อายุมากขนาดไหนก็ยังมีความเป็นเด็กผู้หญิงซ่อนอยู่ มิฉะนั้นแล้วหลายปีที่ผ่านมาก็ย่อมสามารถนำตัวเองออกจากความรู้สึกแบบนี้ได้แล้ว แต่ก็ทำไม่ได้
“คุณมีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่รึเปล่า”
ช่วงที่เสิ่นอีเวยกำลังเหม่อลอยครุ่นคิดหาคำตอบอยู่นั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เดินไปที่ห้องน้ำหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาสองชุด ใส่คลุมให้ตัวเองก่อนโยนอีกชุดให้เสิ่นอีเวย ตอนนั้นเขายืนพิงหน้าต่างกระจกบานใหญ่สูบบุหรี่อยู่ ร่างของเขาอยู่ในเงามืด เสิ่นอีเวยมองเห็นเพียงใบหน้าและโครงหน้าเขาเท่านั้น
เพราะความรุนแรงของเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยจึงรู้สึกปวดร้าวอ่อนเพลียไปทั้งร่าง หล่อนพยายามฝืนทนไว้ ค่อยๆผูกผ้ารัดเอวของชุดคลุมอาบน้ำอย่างช้าๆ แล้วยังต้องมาเจอคำถามแบบไม่ทันได้ตั้งตัวของเขาอีก ทำเอาสมองหล่อนมึนงงไปเล็กน้อย
“หมายความว่ายังไง ฉันไม่ได้มีเรื่องอะไรปิดบังคุณ” เสิ่นอีเวยหน้าตาเหรอหรา
เซิ่งเจ๋อเฉิงพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างผ่อนคลาย “ถ้าผมจำไม่ผิด คุณถูกฉินโม่ส่งไปโรงพยาบาลในคืนวันนั้น เพราะเท้าพลิกใช่มั้ย”
เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาถาคำถามนี้กับหล่อน จึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย หล่อนชะงักไปชั่วครู่ หล่อนพยายามเก็บอาการให้นิ่งที่สุดก่อนจะตอบเขาว่า “ใช่สิ ทำไมล่ะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงนิ่งขรึมชั่วขณะก่อนจะพูดต่อว่า “แต่วันนั้นผู้ช่วยของคุณบอกผมว่า งานนิทรรศการการออกแบบวันนั้นเธอพบคุณที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน ผมมาคำนวณเวลาดู น่าจะเป็นช่วงที่ผมจากไปพอดี เธอบอกว่าตอนนั้นคุณไม่สบายมาก ลงมานั่งกองกับพื้นเลย”
ใจของเสิ่นอีเวยควบคุมไม่ได้แล้วมันเริ่มเต้นรัวขึ้นมา หน้าชื่อนอกตรมตอบว่า “ใช่เท้าพลิกเดินไม่ไหว”
“คุณบอกผมว่าเท้าพลิกแต่ฉินโม่บอกผมว่าวันนั้นคุณบอกเขาว่าคุณเป็นประจำเดือน” น้ำเสียงของเขาเหมือนเป็นการหยั่งเชิง
เสิ่นอีเวยไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ผู้ช่วยคนนี้ ก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจอะไรกัน หล่อนกลับเล่าเรื่องทุกอย่างให้เซิ่งเจ๋อเฉิงฟัง ตกลงหล่อนอยู่ข้างใครกันแน่
สมองของหล่อนกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะหาเหตุผลอะไรมาสู้ถึงจะฟังขึ้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็อ่านใจหล่อนได้ จึงเอ่ยปากก่อนว่า”ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้นะว่าผมเกลียดคนที่โกหกหลอกลวงมากที่สุด ดังนั้นผมว่าคุณควรจะคิดให้ดีก่อนจะพูดออกมา