สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 97
ตอนที่ 97 ฉันรับปากเธอ
ตอนนี้เลือดในตัวของเสิ่นอีเวยแข็งไปหมด ตั้งแต่ที่พ่อแม่เสียไป นอกจากไปไหว้ท่านที่สุสานทุกปี ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เห็นสิ่งของหรือรูปภาพของท่านเพราะกลัวว่าตัวเองจะทนไม่ได้
ถึงจะผ่านไปสี่ปีแล้ว แต่ความเจ็บปวดในการสูญเสียพ่อแม่ก็ยังทำให้เขาต้องตกใจตื่นในตอนกลางคืน
เสิ่นอีเวยไม่เคยคิดว่าต้องมาเห็นพ่อแม่จากรูปถ่ายแบบนี้ ในเวลานั้นเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อเซียวหันถิงเห็นสีหน้าของเสิ่นอีเวยไม่ดี แต่ก็ยังคงพูดต่อไปในเมื่อคิดที่จะทำ ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวด
“ ดูจากรูปถ่ายแล้ว คน ๆ นี้คงใส่อะไรเข้าไปในแก้วไวน์ของพ่อแม่คุณ ผมกำลังคิดว่าการที่พ่อแม่คุณเสียชีวิตน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นะ ”
เสิ่นอีเวยตั้งสติแล้วพูดว่า “ จากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้ให้ปากคำกับตำรวจว่า หลังจากงานเลี้ยงพ่อแม่ของฉันก็กลับไปอย่างปลอดภัย ถ้าผู้ชายคนนั้นใส่อะไรลงไปในแก้วไวน์ของพวกท่าน ท่านก็ไม่น่าถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยหรอก ”
เซียวหันถิงพยักหน้า “ นั้นแหละถึงยังเป็นสิ่งที่น่าสงสัย พวกเราต้องแน่ใจก่อนว่าสิ่งที่ชายคนนั้นใส่ลงไปในแก้วของพ่อแม่คุณมันคืออะไร ยังมีอีกแล้วใครเป็นคนบงการกันแน่ ”
อยู่ ๆ ถึงได้มีข่าวคราวการตายออกมามากมาย ทำให้เสิ่นอีเวยสับสนรู้สึกคิดอะไรไม่ออกได้แต่กำรูปถ่ายในมือไว้แน่น แล้วเงยขึ้นมาถามว่า “ ทำไมคุณถึงมีรูปถ่ายพวกนี้ล่ะ ตอนนั้นคุณให้คนไปถ่ายไว้หรือเปล่า ”
ปกติเสิ่นอีเวยไม่ใช่คนที่ขี้สงสัย แต่เรื่องของพ่อแม่ทำให้เขาค้างคาใจมาหลายปีแล้ว อยู่ ๆ เซียวหันถิงก็หยิบของบางอย่างให้เสิ่นอีเวยดู พอได้เห็นเสิ่นอีเวยก็อดคิดมากไม่ได้
เซียวหันถิงเห็นสายตาที่สงสัยของเสิ่นอีเวย ก็รู้ว่าเสิ่นอีเวยคิดมากจึงอธิบายด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ว่า “ ตระกูลเซิ่งเป็นตระกูลยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจ หลายปีที่ผ่านมาระดับฐานะในโลกธุรกิจอยู่ในระดับสูง ในปีนั้นพวกเขาจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ มีแต่พวกไฮโซมาจากทุกวงการที่มาร่วมงาน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะมีนักข่าวที่อยากรู้อยากเห็นและก็อยากจะได้ข่าว แอบแฝงตัวอยู่ในงานเพื่อถ่ายรูป แต่สิ่งที่โชคดีคือผมใช้ทั้งกำลังคนและกำลังเงินถึงได้ของพวกนี้มา ”
หลังจากได้ฟังแบบนี้แล้วอารมณ์ที่ว้าวุ่นของเสิ่นอีเวยก็กลับกลายเป็นอารมณ์ที่ซาบซึ้งใจ เขาพยายามวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงที่มาที่ไปของความจริงในเรื่องที่พ่อแม่ต้องตายจากไปเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝังใจเขามาเป็นเวลาหลายปี สิ่งที่ยากก็คือเขาไม่มีอำนาจมากขนาดนั้น ดังนั้นการจะคิดพึ่งพากำลังความสามารถของตัวเองไปสืบให้รู้แน่ชัดก็เป็นเรื่องยากเหมือนกับการขึ้นสวรรค์
เขาไม่สามารถจะเอาความหวังไปฝากไว้กับเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ เพราะเซิ่งเจ๋อเฉิงมีท่าทีที่เกลียดเขามาก เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าถ้าไปขอร้องให้เซิ่งเจ๋อเฉิงช่วยก็จะถูกหัวเราะเยาะว่าไม่ประมาณตนเอง
ถ้าตอนนี้มีเซียวหันถิงมาช่วยสืบให้ เรื่องก็คงจะคืบหน้าอย่างมาก พอคิดถึงตรงนี้ เสิ่นอีเวยจึงตัดสินใจทันที
ในแววตาของเสิ่นอีเวยมีทั้งความมุ่งมั่นและความสำนึกคุณ “ ผู้จัดการเซียว คุณช่วยฉันมากขนาดนี้ ฉันรับไว้โดยไม่ตอบแทนอะไรเลยไม่ได้หรอก ”
เซียวหันถิงยิ้มแล้วพูดว่า “ คุณฉลาดจริง ๆ ผมไม่เคยเปลี่ยนความคิด ผมต้องการให้คุณร่วมมือกับผม ผมจะช่วยคุณสืบหาความจริงเรื่องที่พ่อแม่คุณเสียชีวิต คุณก็ต้องช่วยผมเสนอข้อมูลที่ผมต้องการด้วยเช่นกัน ”
เสิ่นอีเวยไม่พูดอะไร ได้แต่ก้มมองไปที่รูปถ่ายในมือเป็นเวลานาน จ้องจนรูปจะทะลุเป็นรู แล้วกำมือข้างซ้ายที่อยู่ในกระเป๋าแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ภาพเก่า ๆ ในอดีตเริ่มผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉาก ๆ
เขาคิดถึงคำพูดที่แม่เคยพูด ยังคิดถึงครูสอนวาดรูปที่พ่อจ้างมาสอน งานฝีมือที่ตัวเองทำเป็นครั้งแรกเพื่อให้พ่อแม่เป็นของขวัญ
จากนั้นก็คิดไปถึง ศพของพ่อแม่ที่เย็นเฉียบไร้ซึ่งอุณหภูมิ
ภาพในหัวก็สลับไปที่ หลังจากแต่งงานไปได้สองปี เซิ่งเจ๋อเฉิงมีแต่ความเย็นชา การต่อว่า ความเข้าใจผิดและการไม่เชื่อใจ
ใจก็ค่อย ๆ เริ่มเย็นชาลงไปเรื่อย ๆ เหมือนกับฝุ่นละอองที่ค่อย ๆ ตกลงสู่พื้น ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็เอ่ยปากตอบไปว่า “ ตกลงคะ ” ฉันรับปากคุณ
เซียวหันถิงยิ้มตอบด้วยความดีใจ ความรู้สึกแห่งชัยชนะเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงแม้จะไม่ไปถึงขั้นที่จะถูกทรยศก่อนที่จะสำเร็จ แต่ใจของเสิ่นอีเวยก็มีความบริสุทธิ์มาก เซียวหันถิงไม่กล้ารับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผู้หญิงคนนี้จะอยู่ฝ่ายตนเอง ดังนั้นตอนที่เขาจับผิดสวี่อันฉิงได้ จึงใช้ตรงจุดนี้เพื่อใช้เขาให้เกิดประโยชน์
ในอนาคตเขาเองก็อาจจะใช้เสิ่นอีเวยมาเป็นเครื่องต่อรองกับเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ แต่สำหรับสวี่อันฉิงแล้วเป็นเหมือนมีดที่แหลมคมที่อยู่ในกำมือของเซียวหันถิง งั้นจริง ๆ แล้วระหว่างเสิ่นอีเวยกับสวี่อันฉิงใครมีพลังในการทำลายเซิ่งเจ๋อเฉิงมากกว่ากัน เซียวหันถิงคิดว่าคงพอ ๆ กัน จุดประสงค์ของเซียวหันถิงคือต้องการให้เซิ่งเจ๋อเฉิงผิดหวังทั้งด้านความรักและธุรกิจ
กว่าเสิ่นอีเวยจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม เดิมทีไม่อยากเสียเวลานานขนาดนี้ เพราะในหลายวันมานี้หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์มา เสิ่นอีเวยก็ไม่อยากจะกลับมาที่บ้านหลังนี้นัก เพราะมันเป็นที่ที่เขาถูกจับตัวมา และตัวเองก็สลบไป จึงไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงถูกจับตัวมา
ความหวังอันน้อยนิดของเสิ่นอีเวยในตอนนี้ก็คือ เซิ่งเจ๋อเฉิง เพราะในวันนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนจับชายผู้นั้นได้ จึงคิดว่าเขาน่าจะรู้อะไรบ้าง
เสิ่นอีเวยยืนอยู่หน้าห้องทำงานที่ประตูเปิดแง้มอยู่เป็นเวลานาน พอสงบสติอารมณ์ได้จึงผลักประตูเข้าไป เซิ่งเจ๋อเฉิงสวมใส่ชุดอยู่บ้านกำลังนั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้ พอได้ยินเสียงคนเข้ามา เขาจึงเงยหน้าเหลือบตามามองแล้วก็ก้มหน้าลง โดยไม่คิดที่จะพูดคุยกับเสิ่นอีเวยเลย
อย่างที่คาดไว้ เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่รู้เรื่องที่เขาถูกลักพาตัว เสิ่นอีเวยรู้สึกเจ็บปวดใจ เวลาเขาต้องเจอกับอันตราย เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่มีทางรู้ ถ้าเขาไม่เอ่ยปากบอก เพราะปกติแล้วเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เคยห่วงใยเขาเลย
เสิ่นอีเวยค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เซิ่งเจ๋อเฉิง แล้วยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา พูดอย่างใจเย็นว่า “ ฉันมีเรื่องอยากถามคุณ ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเงยขึ้นมามองเสิ่นอีเวย สายตาที่มีแต่ความเย็นชาพูดว่า “ ว่ามาสิ ”
เสิ่นอีเวยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กำมือไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ เหมือนกำลังพูดเรื่องของคนอื่นอยู่ “ วันนั้นผู้ชายคนที่อยู่ในบริษัทคุณ ที่มากล่าวหาว่าฉันเป็นคนวางยาเสิ่นหุ้ย จริง ๆ แล้วเขาเป็นใคร ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยิ้มอย่างเยาะเย้ย แล้วปิดหนังสือลงเบา ๆ “ เรื่องอะไรจะต้องบอกคุณ ”
เสิ่นอีเวยรู้สึกเจ็บปวดในใจ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะอยู่ในอันตรายหรือจะเป็นจะตาย แต่ก็อยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง แค่สักครั้ง ว่าอย่างน้อยในใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่มากก็น้อยจะมีที่ว่างสำหรับเขาไหม
“ เซิ่งเจ๋อเฉิง วันนี้ฉันถูกจับตัวไป ” ชายคนที่มีแผลเป็นอยู่ข้างตาเหมือนรอยมีดและเป็นคนที่อยู่ที่บริษัทในวันนั้น เป็นคนจับตัวฉันไป
ถึงเซิ่งเจ๋อเฉิงจะไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่สายตาของเขา ก็แสดงออกถึงความตกใจเล็กน้อย แล้วพูดกับเสิ่นอีเวยว่า “ เธอนี้ช่างโชคร้ายจริง ๆ เลยนะ มีเรื่องร้ายไม่เว้นวัน เธอเคยคิดบ้างไหมว่าตัวเองอาจจะทำเรื่องไม่ดีมาเยอะ ”
เสิ่นอีเวยรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังพูดถึงเรื่องที่เขาส่งหมี่ย่าสะกดรอยตาม แต่เสิ่นอีเวยก็อยากจะตะโกนความคิดที่อยู่ในใจออกมาเสียงดัง ๆ ว่า เรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะคุณ คนพวกนั้นถึงได้ตาฉันไง
ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะเขาก็แค่อยากจะรู้เรื่องทุกอย่างให้ชัดเจน