สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 102
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่102 เรื่องในคืนนั้น
“ต่อไปคุณจะรู้เอง” เฉินเป่ยสีหน้าเรียบนิ่ง น้ำเสียงลุ่มลึก
แต่พอตกอยู่ในสายตาของหลีชิงเยียน เธอกลับเบ้ปาก ย่อมไม่สนใจเฉินเป่ยอยู่แล้ว
แม้แต่เหตุผลเฉินเป่ยยังไม่บอกเธอ บอกให้เธอไม่ร่วมงานกับโม่ถีซือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
“เพียงแค่เตือนไว้หน่อย” เฉินเป่ยยิ้มเรียบๆ หมุนตัวเดินไปด้านหน้าประตูห้องทำงาน
“นายรู้จักหล่อน?” ทันใดนั้นฝีเท้าเฉินเป่ยหยุดชะงัก เสียงที่น่าดึงดูดหนาวเย็นลอยมาจากด้านหลัง
เฉินเป่ยสีหน้าแข็งทื่อ ภายในใจแอบพูดว่าซวยแล้ว เขาค่อยๆ หันหน้า พบว่าหลีชิงเยียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นเฉียบ
ในใจเฉินเป่ยสั่นเทา หลีชิงเยียนสีหน้าไม่เป็นมิตร ทำให้เขารีบร้อนเอ่ยปาก “แน่นอนว่าไม่รู้จัก ผมเพียงแค่รู้สึกว่าหน้าตาของหล่อนไม่เหมือนคนดี”
“ออกไปเถอะ” หลีชิงเยียนสีหน้าผ่อนคลาย พูดสั่งด้วยน้ำเสียงมีเสน่ห์
“ได้เลย”
เฉินเป่ยเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจยาวๆ รีบวิ่งออกไปจากห้องทำงานเหมือนหนีอะไร
และวินาทีนั้นที่เฉินเป่ยเดินออกจากห้องทำงาน บนใบหน้างดงามของหลีชิงเยียน มุมปากสง่างามฉีกเส้นรัศมีวงกลมที่เต็มไปด้วยความหมายขึ้น
หลีชิงเยียนล้วงมือถือออกมา ต่อสายไปยังหมายเลขหนึ่ง ซึ่งโทรเข้ามาโดยใช้ภาษาต่างประเทศที่คล่องแคล่วแท้จริงในการสนทนา “ตอนเย็นว่างรึเปล่า? ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ เลี้ยงต้อนรับคุณหน่อย”
…………
ช่วงพลบค่ำ ในห้องอาหารส่วนตัวที่โรงแรมระดับห้าดาว เฉินเป่ยนั่งอยู่ด้านข้างของหลีชิงเยียน พินิจพิเคราะห์อาหารหรูหราตระการตาบนโต๊ะด้วยความสงสัย น้ำลายใกล้จะไหลลงมาแล้ว จากนั้นบอกขึ้น “ประธานหลี นี่สรุปกำลังรอใครกัน รอนานขนาดนี้แล้วยังไม่มาเลย”
หลีชิงเยียนเอ่ยปากเรียบๆ “คนมาแล้วนายก็รู้เอง”
หลังจากนั้นห้านาที นอกระเบียงทางเดิน มีเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้น
เฉินเป่ยสีหน้าเปลี่ยน! เสียงรองเท้าส้นสูงที่คุ้นเคยนี้ ทำให้ดวงตาที่เรียบเฉยของเขาเผยความหมายดุเดือดออกมาทันใดนั้น
เฉินเป่ยหันหน้าทันใด มองทางหน้าประตูห้องอาหาร
เห็นเพียงสาวผมยาวรูปร่างงดงามผมเงินประบ่า ทันใดนั้นก็เดินเข้ามาจากด้านนอกห้องอาหาร
โม่ถีซือ!
เฉินเป่ยคงไม่ลืมผู้หญิงคนนี้ตลอดกาล! เพราะหล่อน ตนเองถึงเคยจมสู่อันตรายถึงชีวิตไปไม่รู้กี่ครั้ง!
“คุณหลี เอ๋ คนขับรถคุณก็อยู่ด้วยเหรอ?” โม่ถีซือถอดแว่นดำลง
ดวงตางดงามกวาดผ่านหลีชิงเยียน สุดท้ายตกลงบนตัวเฉินเป่ยที่ทำหน้าดุร้ายด้านข้างตัวหลีชิงเยียน
เฉินเป่ยกระตุกสีหน้านิดหน่อย……โม่ถีซือ ความหมายแฝงในคำพูดคือเหยียดหยามเขาเหรอ?
หลังโม่ถีซือนั่งลง ไม่นานทั้งสองก็คุยสนุกขึ้นมา อาหารร้อนๆ ยกมาเสิร์ฟทีละจาน หลีชิงเยียนกับโม่ถีซือทั้งสองคนล้วนไม่ได้ทานมากมาย มัวแต่พูดคุยกัน
เฉินเป่ยที่อยู่ด้านข้างทานอาหารมื้อใหญ่อย่างตะกละตะกลาม กวาดอาหารอันโอชะเกลี้ยงไปทีละจานอย่างราบคาบ ท่าทางที่ทานแบบไม่มีมารยาทสักนิดทำให้หลีชิงเยียนที่เอาแต่สนใจพูดคุยอยู่ด้านข้างแทบดูต่อไปไม่ไหวเท่าไร ดวงตางดงามเผยความไม่พอใจออกมา พูดเสียงเบา “กินช้าๆ หน่อย”
“คุณหลี เรื่องของคนใช้ พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก วิธีกินของพวกเขากับวิธีกินของพวกเราต้องไม่เหมือนกันแน่” โม่ถีซือด้านข้างยิ้มบอก
หลีชิงเยียนพยักหน้า ยิ้มจริงใจ “จะว่าไปก็ใช่ ครั้งนี้ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าพวกเราสองฝ่ายจะสามารถร่วมงานกันได้เร็วขนาดนี้”
ทันใดนั้นมือซ้ายที่เฉินเป่ยจับน่องไก่ไว้สั่นนิดหน่อย ดวงตาทั้งคู่ของเฉินเป่ยล้ำลึกขึ้นมากะทันหัน
เฉินเป่ยจ้องมองโม่ถีซือตาไม่กะพริบ……ร่วมงาน เขาไม่อยากเชื่ออยู่แล้ว โม่ถีซือในฐานะนางฟ้าผู้ฉลาดหลักแหลม มาจากโลกชั่วร้ายทิศตะวันตกที่ห่างไกล เพียงแค่มาร่วมงานกับตระกูลหลีกรุ๊ปแบบชนะทั้งคู่……
กำไรที่จะได้รับจากการร่วมงานครั้งนี้ เกรงว่ายังไม่ถึงหนึ่งในพันของค่าตัวโม่ถีซือล่ะมั้ง?
โม่ถีซือเหมือนสังเกตได้ถึงเฉินเป่ยที่กำลังจ้องมองหล่อนมาโดยตลอด หล่อนหันหน้ายิ้มอ่อนๆ ถามขึ้น “นายมีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ไม่มี ผมแค่อยากให้สองท่านทานอาหาร นี่ก็มาเสิร์ฟสามสี่อย่างแล้ว” ทันใดนั้นดวงตาล้ำลึกคู่นั้นของเฉินเป่ยสงบลงมา ยิ้มอย่างอึดอัด
หลีชิงเยียนกวาดตามองบนโต๊ะอาหาร ขมวดคิ้วขึ้น “นายกินไปมากขนาดนี้ ยังจะให้พวกฉันกินอะไร? กินอาหารเหลือของนายเหรอ?”
หลีชิงเยียนสีหน้าไม่พอใจ ออกมาข้างนอก เฉินเป่ยไม่ไว้หน้าเธอเลยสักนิดเดียว……มารยาทบนโต๊ะอาหารดูแย่ขนาดนั้น ยังไม่เหลืออาหารที่ครบถ้วนไว้ เกรงว่าจะส่งผลต่อตำแหน่งของตนเองในสายตาโม่ถีซือแน่!
ถึงแม้จะบอกว่าบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปร่วมงานกับโม่ถีซือควรจะเป็นความจริงที่มั่นใจได้แน่นอน แต่หลีชิงเยียนยังคงไม่อยากให้ตนเองถูกดึงลงต่ำในสายตาคนอื่นเพราะเฉินเป่ย
เฉินเป่ยนั้นเรียกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม……เหยดแม่ง……พวกเธอไม่กิน หรือว่ายังให้ฉันนั่งมองเฉยๆ ไม่กินไปด้วยเหรอ?
แต่บนหน้าที่แสดงออกของเฉินเป่ยกลับเค้นรอยยิ้มออกมา “ประธานหลี ยังมีอาหารจานใหญ่อีกหลายอย่างตามมาล่ะ นี่ไม่ใช่ว่าผมกลัวพวกคุณกินก่อนหน้านี้อิ่มไป แล้วจะไม่มีที่ว่างไว้ใส่อาหารที่ตามมาเหรอ……”
หลีชิงเยียนพึมพำ หันหน้าดึงมือของโม่ถีซือขึ้นอย่างสนิทสนมบอกว่า “พวกเรากินอะไรกันก่อนเถอะ”
“ได้” โม่ถีซือยิ้มเล็กน้อย หยิบถ้วยในมือขึ้น ยื่นให้เฉินเป่ยพลางพูดกำชับ “ช่วยตักซุปให้ฉันด้วย”
เฉินเป่ยสีหน้าแข็งทื่อ น้ำเสียงนี้ของโม่ถีซือ เห็นได้ชัดว่ากำลังสั่งเขา! ใช้น้ำเสียงเบื้องบนสั่งการเบื้องล่าง เฉินเป่ยเงยหน้า มองทางดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลดูดีของโม่ถีซือคู่นั้น สะท้อนแสงที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งออกมา
ถ้าเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ ภายในฐานทัพตนเองที่ต่างประเทศ โม่ถีซือจะกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเขาที่ไหน เพราะถ้าพูดแบบนี้ เดาว่าคงเดินออกไปจากหน้าประตูใหญ่ฐานทัพไม่ได้แน่
แต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขาอยู่ที่หัวเซี่ย อยู่ในสถานที่ยุ่งยาก ยังปิดซ่อนสถานะไว้ เท่ากับว่าให้โม่ถีซือบีบจุดอ่อนของเขาไว้!
ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป ใครๆ คงต่างไม่อยากเชื่อว่าตำนานที่น่าเกรงขามในต่างประเทศอยู่ที่หัวเซี่ยจะโดนนางฟ้าผู้ฉลาดหลักแหลมมาใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกอย่างอัดอั้นตันใจ
“ได้เลย” ไม่นานเฉินเป่ยหัวเราะแล้วพยักหน้า ตักซุปถ้วยหนึ่งเต็มๆ ยื่นเข้าไปให้โม่ถีซืออย่างกระตือรือร้นมาก
“ช่วยหมุนกับข้าวเข้ามาให้ฉันด้วย”
“ช่วยแกะกุ้งนี้ให้ฉันด้วย”
จากนั้นโม่ถีซือถือโอกาสเอาเฉินเป่ยมาเป็นเหมือนคนใช้ของตนเอง ใช้งานสั่งการตามชอบใจ เดิมทีไม่ได้เห็นเฉินเป่ยเป็นคนขับรถของหลีชิงเยียน แต่ทว่ายิ่งเหมือนเป็นคนใช้ของหล่อน!
และตั้งแต่ต้นจนจบ หลีชิงเยียนมองเหมือนไม่เห็น มองทางเฉินเป่ยบริการโม่ถีซือ คอยติดตามรับใช้ข้างตัวอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ถึงหายไปบางส่วน
โม่ถีซือมองเฉินเป่ยทั้งตักซุป ทั้งแกะกุ้งเพื่อตนเอง……รู้สึกดื่มด่ำอย่างมาก ในดวงตางดงามของหล่อนประกายรอยยิ้มนิดๆ……หล่อนจงใจหยอกเย้าเฉินเป่ย นี่คือหล่อนแก้แค้นอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จ โม่ถีซือถึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พูดชมเชย “คุณหลี คนขับรถคนนี้ของคุณไม่เลวเลยจริงๆ ใช้งานก็ง่าย”
มุมปากเฉินเป่ยเป็นตะคริว ทันใดนั้นมือถือของเขาดังขึ้น หลังเฉินเป่ยล้วงออกมา มองเห็นเป็นข้อความที่ส่งจากหมายเลขต่างประเทศ
“คิดไม่ถึงว่าราชาหลงที่น่าเกรงขามรับใช้คนขึ้นมา จะเอาใจใส่ถึงที่ขนาดนี้เลย”
ชั่วขณะนั้นเฉินเป่ยเข้าใจแล้ว นี่คือโม่ถีซือส่งมา โม่ถีซือกำลังเหยียดหยามเขา!
ประเด็นสำคัญคือบนโต๊ะอาหาร เฉินเป่ยไม่สามารถพูดอะไร ทำได้เพียงทำหน้ายิ้มแย้มต้อนรับ ถ้าไม่ใช่หลีชิงเยียนอยู่ที่นี่ เฉินเป่ยจะกดผู้หญิงที่สวยงามร้ายกาจคนนี้ลงล่างตัวอย่างโหดเหี้ยม ย่ำยีอย่างบ้าคลั่ง!
หลังจากทานอิ่มข้าวอิ่มหนำสำราญ เฉินเป่ยเทน้ำชาให้หลีชิงเยียนกับโม่ถีซือพลางฟังสาวงามสองคนที่นิสัยไม่เหมือนกันกำลังพูดคุย……ตั้งแต่เครื่องบำรุงผิวถึงเครื่องสำอาง……จนเครื่องประดับกระเป๋า……หลีชิงเยียนกับโม่ถีซือเสียใจที่ไม่เจอกันมาตั้งนานแล้ว ส่วนเฉินเป่ยเกือบใกล้ตกต่ำเป็นพนักงานที่เทน้ำให้ตั้งแต่ต้นจนจบ เดิมทีพูดแทรกไม่ได้สักประโยคเดียว……
…………
หน้าประตูโรงแรม หลังอาหารมื้อหนึ่งสิ้นสุดลง หลีชิงเยียนกับโม่ถีซือเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว หลีชิงเยียนกอดแขนของโม่ถีซือ ยิ้มบอกอย่างสนิทมาก “นั้นก็ตกลงตามนี้นะ ต่อไปมีเครื่องสำอางกับกระเป๋าดีๆ คุณช่วยซื้อมาแทนฉันทันที……”
“วางใจได้ เรื่องนิดเดียว ทานข้าวมือนี้สนุกมาก คนขับรถของคุณคนนี้เอาใจใส่มากจริงๆ~”โม่ถีซือกวาดตามองเฉินเป่ยที่กลัดกลุ้มอย่างยิ่งตรงด้านข้าง หัวเราะเบาๆ บอก
“ไปขับรถ” หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยที่ด้านข้าง
“ครับ สองท่านค่อยๆ คุยกัน ผมจะไปขับรถเข้ามาก่อน” ในใจเฉินเป่ยกลัดกลุ้มอีกครั้ง ทว่าไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าพวกเธอ ทำได้เพียงหัวเราะเอาใจ นำรถไมบัคขับออกมาจากโรงรถชั้นใต้ดิน จอดที่ข้างถนน
สาวสวยสองคนเปิดประตูรถออก นั่งเข้ามา ชั่วขณะนั้นที่ว่างภายในห้องโดยสารมีกลิ่นหอมซึ่งไม่เหมือนกันสองกลิ่นคละคลุ้งเต็มไปหมด เฉินเป่ยสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ซึมซาบไปทั่วจิตใจอย่างมาก
ไมบัคค่อยๆ สตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้น ระหว่างทาง เฉินเป่ยมองผ่านกระจกมองหลังอย่างอดไม่ไหว จ้องมองโม่ถีซือและหลีชิงเยียนสองคนที่นั่งแถวหลัง ใบหน้าสง่างดงามเหมือนกันของทั้งสองคน รูปร่างโค้งเว้าน่าสนใจ ทำให้เฉินเป่ยแอบกลั้นความคิดจินตนาการไม่อยู่……ถ้ารับเข้ามาในวังหลัง………นั้นไม่ใช่จะดื่มด่ำความสุขของชีวิตสามีภรรยา……
แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด……โม่ถีซือเป็นดอกกุหลาบป่าที่มีหนามโดยสิ้นเชิง ส่วนหลีชิงเยียนพึ่งเปลี่ยนมาอารมณ์ดีหน่อยช่วงนี้
โรงแรมของโม่ถีซือค่อนข้างไกล หลังจากเฉินเป่ยพาหลีชิงเยียนส่งกลับบ้าน ถึงพาโม่ถีซือไปส่งกลับโรงแรม
รอหลีชิงเยียนเปิดประตูรถออก หลังเดินเข้าคฤหาสน์หรู สีหน้าของเฉินเป่ยเปลี่ยนแปลงทันใด เปลี่ยนไปเย็นเฉียบดุเดือด “โม่ถีซือ เธออยากทำอะไรกันแน่?”
“ฉันทำอะไร นายไม่ชัดเจนเหรอ? หลง!” โม่ถีซือกอดหน้าอก ดวงตางามจ้องเฉินเป่ย เวลานี้รูปร่างอ่อนช้อยชั้นเยี่ยมแพร่กระจายความดุเดือดและความคิดอาฆาตเย็นชา!
“เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว เธอยังพัวพันอะไรอีก?” เฉินเป่ยสูบบุหรี่มวนหนึ่ง พ่นควันบุหรี่ออกพลางออกไปว่า
“ในใจของนายเป็นอดีต แต่ในใจของฉันไม่ใช่!” โม่ถีซือพูดอย่างเย็นเฉียบ แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนเหมือนปลายมีดแหลมที่ไร้รูปร่าง ทะลุเข้าร่างกายของเฉินเป่ยอย่างอดไม่ได้
“หลง! ฉันเคยบอกแล้ว ขอเพียงฉันยังเหลือลมหายใจอยู่ ไม่อาจปล่อยนายไปเด็ดขาด!” โม่ถีซือกัดฟันสีเงินแน่น “นี่ฉันเรียกว่าฟันต่อฟัน!”
“เรื่องที่เกิดขึ้นคืนวันนั้น เธอลืมไม่ได้เหรอ……” เฉินเป่ยถอนหายใจ