สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 110
บทที่110 หวนกลับคืนมาอีก?
เฉินเป่ยกวาดตามองซูเสี่ยวหยุนทีหนึ่ง ซูเสี่ยวหยุนสีหน้าเรียบนิ่ง ถามขึ้นแบบสบายๆ มีเพียงในดวงตางดงามของเธอที่ประกายความล้ำลึก เปิดโปงออกมาก
“ออกไปดูด้านหน้านิดหน่อย กลัวว่าคนด้านนอกจะโจมตีเข้ามาแล้วทำให้คุณได้รับอันตราย” เฉินเป่ยหัวเราะเบาๆ
“จริงเหรอ?” ซูเสี่ยวหยุนสงสัย ก่อนหน้านี้เธอมองผ่านหน้าต่างเห็นมีภาพคนคนหนึ่งที่เผด็จการมาก คนหนึ่งกำลังจัดการอีกสิบคน
ซูเสี่ยวหยุนจ้องมองเฉินเป่ยไว้ เธอมักรู้สึกว่าเฉินเป่ยพยายามปิดซ่อนอะไรไว้มาโดยตลอด บนตัวเขามีความลับอะไรอย่างแน่นอน แต่ซูเสี่ยวหยุนจับพิรุธไม่ได้
“คนด้านนอกเมื่อกี้นั้นแกร่งมากจริงๆ คนเดียวสั่นสะเทือนไปทั้งหมด” ใบหน้างดงามที่มีเสน่ห์ของซูเสี่ยวหยุนบานเป็นกระด้ง เพียงแต่น่าเสียดายที่มืดเกินไป เธอจึงเห็นเพียงภาพด้านหลังที่ไม่ชัดเจน
“บอดี้การ์ดของประธานหลีที่จ้างมา เป็นบริษัทบอดี้การ์ดอันดับหนึ่งของหัวเซี่ย บอดี้การ์ดหลายคนในวงการบันเทิงวงการธุรกิจล้วนจ้างมาจากบริษัทแห่งนั้น” เฉินเป่ยพยักหน้าตอบ ฝีมือของบอดี้การ์ดเหล่านี้แกร่งมาก
“แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าฉันมองเห็นภาพด้านหลังนั้นไม่เหมือนเป็นบอดี้การ์ดพวกนั้นล่ะ เขาเก่งกาจกว่าบอดี้การ์ดพวกนั้นมากเลย” ซูเสี่ยวหยุนเอ่ยปากแบบมีความหมายแฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
ภายในใจเฉินเป่ยเต้นอย่างแรง เขาจ้องมองดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุน มักรู้สึกว่าในคำพูดของซูเสี่ยวหยุนมีอะไรบางอย่าง มีความหมายแอบแฝงที่อยากบอก
แต่สีหน้าของเฉินเป่ยสงบมาก ถึงแม้ซูเสี่ยวหยุนจะจู่โจมมาอย่างไร ล้วนไม่ได้คำตอบอะไรออกมาได้
คำตอบของเฉินเป่ยไม่มีจุดบกพร่องสักนิด ถึงแม้ซูเสี่ยวหยุนจะฉลาดปราดเปรียว ยังไม่สังเกตถึงข้อพิรุธใดๆ ออกมาได้
“เวลาก็ดึกแล้ว ไม่นอนเหรอ?” ในที่สุดเฉินเป่ยเอ่ยปาก ตบตาเพื่อให้แขกออกไป
“นายไล่ฉันไปเหรอ?” ดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุนกะพริบเล็กน้อย พูดเสียงฉอเลาะ
“คุณไม่กลัวผมจะจับคุณกินรึไง?” เฉินเป่ยยิ้มตอบ
“นายจะหนีมั้ย?” ซูเสี่ยวหยุนขยับเข้าใกล้อีกก้าวหนึ่ง กลิ่นหอมที่เย้ายวนกระโจนเข้าจมูกเฉินเป่ย
เฉินเป่ยเงยหน้า มองใบหน้าที่ขาวนวลสะอาดใบนั้น เผยเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ตามมาด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ดั่งดอกกล้วยไม้นั้น อุณหภูมิในอากาศเพิ่มขึ้น เปลี่ยนมาเป็นร้อนแห้งอย่างน่าประหลาด
สายตาของเฉินเป่ยกวาดผ่านเนินเขาสูงตระหง่านสีขาว เวลานี้เพียงหลบซ่อนใต้ชุดนอนบางเบา ขอเพียงเฉินเป่ยดึงเบาๆ สีขาวราวหิมะขนาดใหญ่นั้น ก็สามารถเปิดเผยออกมาได้
ในเวลานี้ ทันใดนั้นมีเสียงแปลกๆ ขึ้นมาจากด้านล่าง ทำให้เฉินเป่ยขมวดคิ้ว
ภาพคนทรวดทรงงดงามเซ็กซี่คนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตู ตามมาด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้น ทำให้ใบหน้างดงามของซูเสี่ยวหยุนเผยความตกใจ
“ทำไมเธอถึงกลับถึงบ้านเร็วขนาดนี้?” ซูเสี่ยวหยุนไม่เข้าใจพลางถามขึ้น
เฉินเป่ยกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ด่าในใจ เชี้ยเอ๊ย……ตั้งนานไม่ยอมกลับมา ดันกลับมาเวลานี้ ทำลายเรื่องดีจริงๆ
ไม่นานเสียงของหลีชิงเยียนกับซูเหลยทั้งสองคนพูดคุยกันลอยมาจากด้านล่าง ทำให้ใบหน้าซูเสี่ยวหยุนประหม่าขึ้นมา รีบจัดแต่งผมยาวที่ยุ่งเหยิง ชุดนอนที่ยับยู่ยี่ไปหมด
“ซูเสี่ยวหยุน” หลีชิงเยียนเดินเข้าใกล้คฤหาสน์หรู มองไปรอบๆ พบว่าเฉินเป่ยกับซูเสี่ยวหยุนสองคนต่างก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนกัน
“มาแล้ว” ซูเสี่ยวหยุนตะโกนขึ้น รีบเดินออกมาจากห้องนอนของเฉินเป่ย
“เธอทำอะไรกันอยู่ชั้นสอง?” หลีชิงเยียนถามด้วยสงสัย
“ชมวิว” ซูเสี่ยวหยุนพูดขึ้น
“ชมวิวตอนดึกดื่น เธอหลอกผีรึไง?” หลีชิงเยียนดูถูก
“เธอไม่เชื่อก็ช่างเถอะ” ซูเสี่ยวหยุนทำเสียงฟึดฟัด เฉินเป่ยก็เดินตามมาลงมาจากชั้นสอง ยิ้มกระอักกระอ่วนพูดว่า “ประธานหลี คุณกลับมาแล้ว หิวน้ำแล้วล่ะสิ ผมจะไปเทน้ำชาให้คุณแก้วหนึ่ง”
บนโซฟา เฉินเป่ยเทชาร้อนอย่างระมัดระวัง หลีชิงเยียนนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้างดงามราวกับเจียระไนเขียนความเหนื่อยล้าเต็มไปหมด กำลังพิงที่โซฟา พักผ่อนสายตา
ซูเสี่ยวหยุนและซูเหลยนั่งอยู่ด้านข้าง หลังเฉินเป่ยชงชาเสร็จ ยกมาตรงหน้าของหลีชิงเยียน
หลีชิงเยียนจิบน้ำชาอึกหนึ่งแล้ววางลงมา “ช่วงนี้ตระกูลหลีสร้างศัตรูมากมาย ยังไม่รู้ว่าหลีเช่าเทียนจะใช้ลูกไม้ไม่ดีอะไรอีก ถานกงก็มาหาเรื่องถึงที่แล้ว”
หลีชิงเยียนถอนหายใจเบาๆ บ้านหลีที่เยี่ยนจิงก็ปวดหัวพอแล้ว ถานกงยังปรากฏตัวขึ้นอีก ทำให้ตระกูลหลีเหนื่อยที่จะรับมือ
สีหน้าเฉินเป่ยคล้ายปกติ ซูเสี่ยวหยุนที่อยู่ด้านข้างเหมือนคิดอะไรอยู่ จากนั้นเอ่ยปากขึ้น “บริษัทตระกูลหลีไม่ใช่พ้นวิกฤติมาได้แล้วเหรอ?”
“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะผู้ใจดีท่านหนึ่งลงมือช่วยเหลือ” หลีชิงเยียนมองทางซูเสี่ยวหยุน ดวงตางดงามประกายแสงอันแวววาว “สถานะของเขาไม่ธรรมดาเด็ดขาด สามารถทำให้ถานกงท่านโจวไม่กล้าระบายความโกรธออกมา เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งหัวเซี่ยแน่นอน”
“ประเด็นสำคัญสุดคือเขาบอกฉันว่ามีคนวานให้เขาลงมือ ฉันไม่เข้าใจ คนที่ทำให้เขาลงมือได้ สถานะไม่ธรรมดาเด็ดขาด แต่ทำไมถึงไม่ลงมือเอง……”
หลีชิงเยียนคาดเดา ผู้ที่ไหว้วานชิงเหนียนลงมือท่านนั้นอาจจะเป็นผู้ลึกลับที่ช่วยเธอมาหลายครั้งก่อน
“ถ้าเป็นผู้ลึกลับที่ช่วยเหลือเธอมาครั้งแล้วครั้งเล่าคนนั้น งั้นเขาคงจะไม่ชอบเธอเข้าแล้วเหรอ?” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มบอก
“ฉันอยากรู้จักเขามาก ถ้ามีโอกาสรู้จัก ฉันจะต้องตั้งใจขอบคุณเขาดีๆ แน่” ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนจริงใจ
เฉินเป่ยที่อยู่ด้านข้างลูบๆ จมูกอย่างอึดอัดอยู่บ้าง ตอนนั้นในสมองเขาผุดความคิดที่แปลกประหลาดมากออกมา ถ้าหลีชิงเยียนรู้ว่าผู้ลึกลับคนนั้นเป็นเขาจะมีปฏิกิริยาอะไร?
หลีชิงเยียนเงยหน้า มองเฉินเป่ยทีหนึ่ง แอบพูดในใจ ทำไมระหว่างคนเราถึงต่างกันมากขนาดนั้น เป็นผู้ชายเหมือนกัน เฉินเป่ยไม่มีความทะเยอทะยานและปณิธานอันยิ่งใหญ่สักนิด ยินยอมทำงานบ้านอยู่ที่บ้าน ได้รับค่าครองชีพเพียงไม่กี่หมื่น
หลีชิงเยียนไม่ได้วาดหวังให้เฉินเป่ยเป็นเหมือนผู้ลึกลับ แต่ขอเพียงเฉินเป่ยเอาการเอางานสักหน่อยก็พอ
แต่น่าเสียดายที่หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยออกตั้งนานแล้ว เฉินเป่ยเป็นเจ้าหนุ่มที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ หลีชิงเยียนจึงยอมแพ้ไป
“สิ่งที่ฉันกังวลคือชิงเหนียนคนนั้นปกป้องตระกูลหลีได้แค่ครั้งหนึ่ง ต่อไปตระกูลหลีจะได้รับอันตรายหรือไม่ก็ไม่รู้ ถานกงไม่อาจปล่อยพวกเราไปแบบนี้……” หลีชิงเยียนถอนหายใจ
“วางใจเถอะชิงเยียน ผมได้ยินว่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น” เฉินเป่ยยิ้มปลอบใจ
หลีชิงเยียนมองค้อนเฉินเป่ยทีหนึ่ง “ให้นายพูดรึยัง?”
หลังเฉินเป่ยหุบปากลง หลีชิงเยียนพูดว่า “นายรู้อะไร ข่าวที่ลือไปทั่วนายก็เชื่อแล้ว หาเรื่องถานกงไปแล้ว ต่อไปบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปคงมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาไม่ได้นอนแน่ๆ”
เฉินเป่ยตบๆ หน้าอก บอกว่า “วางใจเถอะ ชิงเยียน ถ้าต่อไปมีเรื่องอะไรจริง ผมจะต้องเป็นเบื้องหลังที่แข็งแรงที่สุดด้านหลังคุณแน่”
หลีชิงเยียนหัวเราะหึๆ ชายตามองเฉินเป่ย ผู้ชายคนอื่นล้วนพูดคำยิ่งใหญ่สวยหรูอะไรกันได้ ทว่าเจ้าหมอนี้จะเอาพลังอะไรออกมา
“นายไม่ก่อเรื่องอะไรให้ฉัน ฉันก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว” หลีชิงเยียนพูดขึ้น
เฉินเป่ยเงียบงันพูดไม่ออก หัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “ประธานหลี คุณอย่าดูถูกผู้ชายคนหนึ่งสิ คุณเชื่อรึเปล่า พรุ่งนี้ผมให้แซ่โจวคนนั้นมาคุกเข่าขอโทษ!”
“นายเนี่ยนะ?”
พอคำพูดนี้ของเฉินเป่ยออกมา ทำให้ซูเสี่ยวหยุนและซูเหลยมึนงงกันหมด เผยสีหน้าประหลาดออกมา
ท่านโจวแห่งถานกงนั้นเป็นใครกัน? ผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองหู้ไห่ ถ้าไม่ใช่วันนี้สถานะชิงเหนียนท่านนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน ท่านโจวแห่งถานกงจะมีจุดจบแบบนั้นได้อย่างไรกัน?
ท่านโจวถูกหักหน้า เป็นที่น่าตกใจของเมืองหู้ไห่แล้ว ใครๆ ต่างก็ไม่รู้ว่าต่อไปท่านโจวจะทำอะไรกับตระกูลหลี
และให้ท่านโจวมาคุกเข่าขอโทษ? นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
เป็นเรื่องเทพนิยายสุดๆ คุยโวโอ้อวดมากเกินไป
ซูเสี่ยวหยุนกับซูเหลยรู้จักท่านโจวแล้ว ทราบถึงความน่ากลัวของผู้ชายคนนั้น ดังนั้นตอนที่ได้ยินเฉินเป่ยคุยโม้ จึงย่อมไม่เชื่อถือ
ท่านโจวเป็นบุคคลดังของเมืองหู้ไห่ เขาเฉินเป่ยคือผู้ชายแต่งเข้าบ้านผู้หญิงที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง ตอนนี้คาดไม่ถึงจะบอกว่าให้ท่านโจวคุกเข่าลง
หลีชิงเยียนกอดหน้าอกไว้ ตลกเฉินเป่ย “ได้สิ พรุ่งนี้ฉันจะรออยู่ที่ห้องทำงานประธาน”
หลีชิงเยียนมองทางเฉินเป่ย สายตาหยอกล้อ “ฉันคิดว่าพรุ่งนี้นายคงต้องไปโรงพยาบาลตรวจสมองหน่อยเถอะ สมองพังแล้วมั้ง”
เฉินเป่ยพูดเรียงนิ่ง “พวกคุณไม่เชื่อผมก็ไม่มีทางอื่น ดูว่าพรุ่งนี้จะชนะหรือแพ้”
จากนั้นเฉินเป่ยก็หมุนตัวเดินไปห้องนอนที่ชั้นสอง
ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนจ้องมองภาพด้านหลังจองเฉินเป่ย ใบหน้านิ่งค้างนิดหน่อย จากนั้นปรากฏความหงุดหงิดขึ้น “คนปัญญาอ่อนเพ้อฝันไร้สาระ”
ซูเสี่ยวหยุนขยับเข้าไป ถามขึ้น “ดูท่าทางของเขามีความมั่นใจมากขนาดนั้น หรือว่าเขาทำได้จริง?”
“เธอยังเชื่อ?” หลีชิงเยียนหัวเราะเหยียดหยาม บนหน้าเผยยิ้มเยาะ “ยังให้ท่านโจวคุกเข่าลงเลยนะ เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ลึกลับเหรอ? ถ้าเขาสามารถเอาท่านโจวเรียกมาได้ ฉันก็จะเอาคำว่าหลีเขียนกลับด้าน!”
…………
วันต่อมา หลีชิงเยียนนั่งอยู่ภายในห้องทำงานประธาน เฉินเป่ยตามรถไมบัคมาถึงอาคารตระกูลหลีอย่างหน้าไม่อาย หนังหน้าหนานั่งอยู่กลางห้องทำงาน ขาทั้งขาพาดบนโต๊ะน้ำชา ยังกินองุ่นกับกล้วยอย่างไม่มีสติ พลางใช้สายตาสังเกตหลีชิงเยียนไปด้วย
ประธานนางฟ้ากำลังตั้งใจก้มหน้าทำงาน เฉินเป่ยกวาดสายตาผ่าน มุมปากแฝงเส้นรัศมีวงกลม ท่าทางของประธานนางฟ้าที่ตั้งใจทำงานงดงามที่สุด หาจุดบกพร่องไม่เจอเลย
เวลานี้หลินเฉว่ผลักประตูเข้ามา พูดกับหลีชิงเยียน “ประธานหลีค่ะ จะจัดการคนของสำนักอื้อจูถังสองคนนั้นยังไงคะ?”
“ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ยิ่งเอาไว้นาน ถานกงจะมาหาเรื่องเอาถึงที่” หลีชิงเยียนบอกไป
“ค่ะ” หลินเฉว่พยักหน้า หลีชิงเยียนกวาดสายตาไป มองเห็นท่าทางเสเพลสุดๆ แบบนั้นของเฉินเป่ย ใบหน้างดงามก็อึมครึม “ไสหัวออกไป!”
เฉินเป่ยรีบเก็บขาลง พูดอย่างระมัดระวัง “ประธานหลี หลังผมออกไปแล้วจะอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“อยากอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น!” หลีชิงเยียนพูดเสียงหนาวเย็น
เฉินเป่ยจะยินยอมออกไปได้อย่างไรกัน ทำยืดยาดอยู่ในห้องทำงานตั้งนาน จนสุดท้ายหลีชิงเยียนทนไม่ไหว ยกปากกาในมือขึ้นขว้างเข้าไป
เฉินเป่ยวิ่งออกจากห้องทำงานอย่างกระเซอะกระเซิง หลังจากเดินเตร่ไปรอบหนึ่ง มองเห็นหลินเฉว่เดินออกมาจากในห้องทำงานเลขานุการ
“เลขาฯหลินนี่คือจะไปไหนเหรอ?” เฉินเป่ยยิ้มนิดหน่อย สายตากวาดมองร่างอ่อนช้อยของหลินเฉว่
“อ่า……ฉันจะพาสองคนที่ก่อเรื่องวุ่นเมื่อวานปล่อยออกไป” สายตาของเฉินเป่ยทำให้หลินเฉว่ไม่สบายไปทั้งตัว
“แบบนี้นี่เอง ฉันจะไปกับเธอด้วยแล้วกัน” เฉินเป่ยพูดนิ่งๆ ในเมื่อเขาไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
“ได้” หลินเฉว่พยักหน้า
ไม่นาน พนักงานรักษาความปลอดภัยหลายคนกดชายเสื้อลายดอกสองคนนั้นเดินออกไปทางหน้าประตูอาคารตระกูลหลี
“แม่งเอ๊ย มีฝีมือก็ปล่อยพวกฉันสิ ไม่ช้าก็เร็วท่านโจวจะให้พวกแกทุกคนชดใช้!” ชายเสื้อลายดอกสองคนตะโกนอย่างโมโห
“หุบปาก เมื่อคืนท่านโจวตดหมาอะไรนั้นของพวกแกตกใจหนีจนฉี่ราดไปแล้ว” เฉินเป่ยไม่เกรงใจสักนิด ตบหน้าพวกเขาไปทีหนึ่ง
“เหยียดหยามท่านโจว แกก็ห่างจากความตายไม่ไกลหรอก!” ชายเสื้อลายดอกคนหนึ่งในนั้นส่งสายตาหนาวเย็น พูดเตือน
ทันใดนั้นมีเสียงคำรามลอยมาจากที่ไกลออกไป
บนลานกว้างมีเสียงดังเอะอะโวยวาย ฝูงชนมากมายแตกกระจัดกระจายรอบทิศ
และฉากหนึ่งที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นแล้ว หัวถนนมีรถยนต์แถวหนึ่งปรากฏตัว บุกประชิดมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ดวงตาทั้งคู่ของเฉินเป่ยแข็งตัว สายตาล้ำลึกขึ้นมา
ส่วนหลินเฉว่ ใบหน้าที่บริสุทธิ์ราวกับภูตนั้นเผยสีหน้าที่ตื่นตะลึงทันที
ถานกงมาอีกได้อย่างไรกัน?
เรื่องวุ่นของเมื่อวานยังไม่ผ่านไป วันนี้พวกเขายังหวนกลับคืนมาอีก?
“ฮ่าๆๆ ลูกพี่มาช่วยพวกเราแล้ว! พวกแกจบเห่แน่” ชายเสื้อลายดอกสองคนโอ้อวดหัวเราะเสียงดัง หลงระเริงอย่างเห็นได้ชัด