สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 154
บทที่ 154 ทดสอบความซื่อสัตย์!
ห้องนอนของหลีชิงเยียนใหญ่มาก ท่านประธานเทพธิดานั้นรักความสะอาดเป็นอย่างมาก โต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะคอมพิวเตอร์ต่างเก็บกวาดทำความสะอาดเอี่ยม ขนาดฝุ่นละอองยังไม่มี
เฉินเป่ยมีความสงสัยในตัวห้องนอนของหลีชิงเยียนมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะเข้ามาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าไม่เคยสำรวจจริงๆ จังๆ มาก่อนเลย
ใครจะคิดเล่า ว่าซูเสี่ยวหยุนจะสร้างโอกาสที่ดีให้กับเขาแบบนี้ได้
เวลานั้นหลีชิงเยียนนั่งอยู่ขอบเตียง พร้อมทั้งมองออกนอกหน้าต่าง แสดงจันทร์นวลผ่องสาดแสงไปทั่วท้องนภา บางส่วนก็สาดส่องมาที่ใบหน้างดงามรูปนี้ ภาพที่สงบนิ่ง มันทำให้อาการโมโหกระฟัดกระเฟียดของเธอนั้นสงบลงมาได้
ด้านนอกห้องนอน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เฉินเป่ยผลักประตูเข้ามา สายตากวาดตามองในห้องรอบๆ จนสุดท้ายสายตาของเขาก็เอาแต่จ้องมองที่ตัวของหลีชิงเยียน
“ท่านประธานหลี ผมมาดูคุณ” เฉินเป่ยพูด
หลีชิงเยียนหันหลังให้เฉินเป่ย เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเป่ยพูดออกมานั้น ก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้แทน “มาดูฉัน? เกรงว่าคงไม่ได้มาดูฉันแบบปกติธรรมดาละมั้ง?”
“เอ่อ…” เฉินเป่ยหน้าแดง พร้อมทั้งเขินอาย การที่ถูกหลีชิงเยียนจับได้แถมพูดตรงๆ ซะขนาดนี้ มันทำให้เขาหน้าแหกทันที
“คุณรีบขึ้นเตียงเถอะ” หลีชิงเยียนไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป แอบถอนหายใจเงียบ และพูดขึ้นมาเอง
“หืม?” เฉินเป่ยตกตะลึงไปชั่วขณะ แถมยังทำสีหน้าตื่นเต้นแบบแปลกประหลาด สีหน้าที่เหมือนไม่อยากจะเชื่อ
เขาไม่คิดว่า ทั้งหมดมันมาเร็วมาก อยู่ดีๆ ก็มาแบบพรวดพราด เขายังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย!
เดิมเขาคิดว่า จะมีความรู้สึกขึ้นมาจากนั้นก็จะเริ่มบรรเลงเพลงรักกัน แต่คำพูดของหลีชิงเยียน มันทำให้เขาไม่สามารถรับความรู้สึกนั้นได้
ดวงตางดงามหลีชิงเยียนจ้องเขาตาเขม็ง พร้อมทั้งพูดเสียงแข็ง “ทำไม? ยังต้องให้ฉันขอร้องให้คุณขึ้นเตียงอีกไหม?”
“เปล่านี่” เมื่อเห็นสีหน้าดำคร่ำเครียดของหลีชิงเยียนแล้ว จนกลายเป็นหน้าตาที่ดูไม่ได้ เฉินเป่ยได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ให้ “ผมแค่ล้อเล่น อยู่ดีๆ จะขึ้นเตียงกับคุณได้อย่างไร… ผมเป็นคนแบบนั้นเหรอไง?”
ดวงตางดงามจ้องเฉินเป่ยตาเขม็ง พร้อมทั้งพูดเสียงแข็งอย่างอารมณ์ไม่ดี คำพูดที่เฉินเป่ยพูดออกมานั้นมันจอมปลอมทั้งเพ สำหรับเฉินเป่ยแล้วเธอไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่ เสื้อผ้าของตนเอง เขาก็เคยถอดมาแล้วตั้งหลายครั้ง แหมยังจะหน้าด้านพูดออกมาได้อีก!
บรรยากาศนิ่งเงียบผิดปกติ ความเงียบสงบนั้นมีความเก้อเขินแทรกอยู่ด้วย หลีชิงเยียนลูบจมูกไปมา ภายในห้องนอนของหลีชิงเยียนนั้น เขาเครียดหนักขึ้นเรื่อยๆ นั่งไม่ติด จนสุดท้ายทำได้แค่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
ท่าทางของเฉินเป่ยนั้น ถ้าให้ชิงเหยียนมาเห็นเข้าแล้ว คงจะอ้าปากค้าง ไม่มีใครคิด ว่าผู้ลึกลับที่เคยสั่นสะเทือนวงการในต่างประเทศนั้น ในเวลานี้ทำได้แค่นั่งคุกเข่าเขินอายอยู่ที่พื้นห้องแบบนี้!
ด้วยท่าทางของเฉินเป่ยแบบนี้ ถูกพวกนักเลงตัวพ่อพวกนั้นมาเห็นเข้า คงตกใจจนตาถลนจนเกือบจะร่วงหล่นกับพื้น!
พวกขุนศึกทางทหารของต่างประเทศพวกนั้น ต่างถูกเฉินเป่ยพิชิตมาทุกคนแล้ว จนไม่สามารถลืมได้ว่า เคยมีคนอยู่คนหนึ่ง ท่ามกลางห่าลูกกระสุนปืนที่ตกมาอย่างกับฝน ความอันตรายที่เกี่ยวพันกันอย่างหนาแน่นขนาดนั้น กลับเดินทอดน่องอย่างสบายใจ แถมสีหน้ายังคงไม่แยแสสิ่งใด
แต่ตอนนี้ คนคนนี้กลับมาถูกผู้หญิงคนหนึ่งพูดแค่สองสามคำ แถมเครียดจนลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นแทน!
เรื่องที่ทำให้คนอื่นตกใจนั้น จะไม่มีทางให้ทุกคนที่อยู่ต่างประเทศนั้นเชื่อ!
ส่วนสีหน้าของเฉินเป่ยที่ปกติเอามากๆ นั้น เขามองความรู้สึกลึกๆ ที่อยู่ในแววตาของหลีชิงเยียน จนทอประกายความหมายความทะนุถนอมเอาใจขึ้นมา
“คุณมีหรือไม่ ใจคุณไม่ยับยั้งเอาไว้เลยเหรอ?” หลีชิงเยียนพูดเสียงแข็ง ถามกลับ
หลังจากนั้นห้านาที เฉินเป่ยก็เดินออกจากห้องนอนอย่างเขินอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“ฉันอุตส่าห์สร้างโอกาสดีๆ ให้แกแล้ว แกก็ไม่คว้ามันไว้” ประตู มีเรือนร่างเพรียวระหงยืนเท้าเอว แล้วจ้องมองมาที่เฉินเป่ย เขามองไปที่ซูเสี่ยวหยุนที่ทำหน้าไม่พออกพอใจอยู่แล้วยิ้มให้ “พี่ซู ผมจะทำอะไรได้… ชิงเยียนโมโหหนักขนาดนั้น ผู้ชายตั้งมากมายใช้ทุกวิถีทางต่างไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ถือว่าผมโชคดีมากแล้วแหละ”
เฉินเป่ยได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ เพื่ออยากจะเปลี่ยนเรื่องคุยแทน
ซูเสี่ยวหยุนหัวเราะให้แทน แล้วเดินมาตรงหน้าของเฉินเป่ย ร่างกายที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นมีกลิ่นหอมจาง ๆ เตะเข้าโพรงจมูกของเฉินเป่ย มันทำให้หัวใจของเขากระเจิดกระเจิง
คิ้วโก่งยาวของซูเสี่ยวหยุนขมวดเข้าหากัน นิ้วเรียวงามชี้มาที่หน้าผากของเขา แล้วเอ่ยปากพูด “แกกับคนอื่นเอามาเปรียบเทียบได้ไหม แกเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเสี่ยวเยียนนะ แถมจดทะเบียนแล้วด้วย มีกฎหมายรับรอง ส่วนบรรดาผู้ชายที่คอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวของเสี่ยวเยียนนั้น ต่างไม่สามารถเข้าใกล้เธอได้”
“แต่แกวันๆ อยู่ข้างกายเสี่ยวเยียน ยังไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้เลย ถ้าฉันเป็นแก ฉันจะไปซื้อเต้าหู้แช่เย็นแข็งๆ เอามาทุบหัวให้ตายไปแล้ว” ดวงตาของซูเสี่ยวหยุนโมโหเกรี้ยวกราด ส่วนน้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวจนเสียงแข็งกว่าเหล็กไปแล้ว
เฉินเป่ยได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ และอธิบายกลับ “พี่ซู เรื่องพรรค์นี้ ไม่สามารถรีบร้อนได้ ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน…นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”
“แก…” ยังไม่ทันให้ซูเสี่ยวหยุนพูดอะไรต่อ เฉินเป่ยก็เดินคอตกกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง
ซูเสี่ยวหยุนจ้องมองแผ่นหลังของเฉินเป่ย มุมปากแดงที่ฉีกยิ้มอย่างงดงามนั้น กลับแอบเม้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามีความอิจฉาแทรกอยู่ด้วย
ถ้าเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนอยู่ตรงนี่ด้วย ต้องไม่เข้าใจว่าซูเสี่ยวหยุนคิดยังไงแน่ ตนเองเป็นคนสร้างโอกาสให้เฉินเป่ยแท้ๆ แต่กลับอิจฉาเอาเองก็ได้ด้วย
ความจริงแล้ว มันเป็นการทดสอบของซูเสี่ยวหยุนเท่านั้นแหละ ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างหลีชิงเยียนกับเฉินเป่ย เธอนั้นยืนอยู่หน้าห้องของหลีชิงเยียนอยู่ตลอดเวลา มาแอบฟังที่สองคนนั้นคุยกันตอนอยู่ในห้อง
เธอไม่คิดเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนจะพัฒนาได้สนิทกันแนบชิดขึ้น
ซูเสี่ยวหยุนทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วหันหลังกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง
…………
ณ เยี่ยนจิง บ้านตระกูลหลี
หลีเช่าเทียน เดินออกมาจากด้านในตัวบ้าน เสื้อเชิ้ตสีขาวที่สั่งตัดเป็นพิเศษจากอิตาลี มันช่างสะอาดไม่มีที่ติ ส่วนสีหน้าของเขานั้น ก็เหมือนกับเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนั้น นิ่งเงียบไม่มีสีสันใดๆ
เวลานี้ก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว หลีเช่าเทียนเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาจ้องมองสีท้องฟ้าในยามตกดึก ท้องฟ้ามีแต่แสงดาวแพรวพราวไปทั่ว เขาก้มหน้ากวาดตามองแขนทางด้านซ้ายที่โล่งโจ้งของตนเอง จนหน้าดำค่ำเครียด
“เฉินเป่ย….” นัยน์ตาของหลีเช่าเทียนมีแต่ความอาฆาตทอประกายออกมา พร้อมทั้งความจงเกลียดจงชังอย่างเห็นได้ชัด!
เขาไม่มีวันลืมไปได้ว่า วันนั้นที่ตนเองถูกผู้ชายคนนั้นตามฆ่าเหมือนหมาหนีตาย เขาไม่มีวันลืมเลือนไปได้ การหนีเอาตัวรอดที่เมืองหู้ไห่อย่างใจเต้นตุ่มต่ำ… เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่ ตนเองเป็นถึงคุณชายสองของบ้านหลีนั้น จะมาถูกลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านฐานะต่ำตมคนนั้น ถูกตามราวีจนฟุ้งซ่านจนเสียสติ!
เมืองหู้ไห่ นำพาความทรงจำอันแสนเจ็บปวดทรมานที่แยกแก่การลืมเลือน!
ถึงแม้ว่าเขาจะพักรักษาตัวที่เยี่ยนจิงอยู่ระยะหนึ่งก็ตาม แต่มันก็ผ่านเรื่องนี้ไปยากมาก ทุกครั้งที่เขาหลับตาลงนั้น ก็จะคอยฝันเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เมืองหู้ไห่!
ลูกน้องคนหนึ่งเดินออกมาจากในตัวบ้าน มองแขนเสื้อที่ว่างเปล่าอยู่แวบหนึ่ง แล้วค่อยๆ พูดอย่างระแวดระวัง “คุณชาย ตอนนี้ห้องทดลองได้วิจัยการทำแขนเทียมที่เหมือนจริงออกมาได้ โดยใช้เทคโนโลยีนาโนเอามาใช้ สามารถทำให้ใช้งานได้เสมือนจริง…”
“ฉันไม่ต้องการ” หลีเช่าเทียนพูดเหมือนปกติ สายตาคมกริบอย่างเชือดเฉือน “เฉินเป่ยไม่ตายในวันนี้ แต่ฉันดันเสียแขนไปข้างหนึ่ง ฉันจะจดจำความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในเมืองหู้ไห่เอาไว้ ฉันต้องการให้มันได้ชดใช้คืนร้อยเท่า!”
น้ำเสียงของหลีเช่าเทียนแข็งกร้าว น้ำเสียงเจตนาต้องการจะฆ่าอย่างชัดเจน!
ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลีเช่าเทียนนั้นสูดลมหายใจเข้าออกเฮือกหนึ่ง เขาหันไปทางหลีเช่าเทียน ด้านหลังของหลีเช่าเทียนแผ่รังสีเจนตาฆ่าไปโดยรอบ เมื่อภาพนั้นที่เขาเห็นเต็มสองตานั้น มันก็เหมือนจอมปีศาจร้ายที่หลุดออกมาจากคุกในขุมนรก!
“พี่ชายของฉันคนนั้น ที่อยู่ที่เมืองหู้ไห่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” หลีเช่าเทียนเงยหน้ามองดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า พร้อมทั้งเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เขาก็เงียบเชียบไม่มีการเคลื่อนไหวใด” ลูกน้องตอบคำถาม
“ทุกเรื่องที่ฉันทำ ไม่ต้องไปบอกเขา เขาไม่ใช่เก่งกาจไม่ใช่เหรอ ฉันอยากจะเห็น ว่าเมื่อเขาได้เจอกับคนที่แซ่เฉินนั่น….” หลีเช่าเทียนบ่นอู้อี้อยู่ในลำคอ พร้อมทั้งบ่นไปว่า “เรื่องสนุกๆ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว…”
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น หลีเช่าเทียนก็เปิดปาก “ไปเตรียมรถให้ฉัน ฉันจะไปเยี่ยมเยียนบ้านหลังหนึ่งที่เคยไปก่อนหน้านี้” หลีเช่าเทียนลุกขึ้นอย่างทันควัน
ลูกน้องตกใจและประหลาดใจ เลยถามอย่างสงสัย “คุณชายสอง เวลานี้….คนพวกนั้นน่าจะนอนหลับไปแล้ว…”
“เวลาไม่รอท่า ตำแหน่งของฉันที่อยู่ในตระกูลมันเริ่มสั่นคลอน ส่วนในใจของหลีเช่าหงที่ต้องการต่อกรกับบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปนั้น นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการขยับตำแหน่งของตนเองให้สูงขึ้นอีกขั้น!”
น้ำเสียงของหลีเช่าเทียนนั้นตัดสินใจอย่างมุ่งมั่น “ฉันเคยมีบุญคุณกับพวกนั้น อาศัยอำนาจที่ฉันมีในเยี่ยนจิงแล้ว พวกเขาคงทำตามในสิ่งที่ฉันต้องการ”
“ฉันต้องการเริ่มผงาดกลับมาอีกครั้งที่เมืองเยี่ยนจิง!”
…………
เช้าตรู่ของวันนี้ ในห้องทำงานของท่านประธาน ซูเหลยยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน พร้อมทั้งรายงานให้หลีชิงเยียนได้ทราบ “ท่านประธานหลี เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ฉันคิดว่ามันมีความเป็นไปได้สองอย่าง ข้อหนึ่งคือทุกอย่างเป็นไปได้ตามที่เฉินเป่ยพูดออกมาทั้งหมดว่า คนลึกลับคนคนนั้นปรากฏตัวออกมาช่วยเขาเอาไว้ ส่วนข้อสองคือ…”
“ยังมีข้ออื่นอีกเหรอ?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วเรียวงามเข้าหากัน
สีหน้าของซูเหลยหม่นหมองลงเล็กน้อย “อีกข้อคือเฉินเป่ยพูดโกหกทั้งหมด คนพวกนี้ เขาเป็นคนจัดการฆ่าเองทั้งหมด”
“อะไรนะ?” ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนเปลี่ยนไปทันที เมื่อได้ยินคำพูดของซูเหลย จนทำให้ใจของเธอเต้น สีหน้าตกใจอย่างมาก
“ท่านประธานหลี ข้อแรกนั้นความเป็นไปได้นั้นมีมากกว่าอยู่แล้ว แต่ความเป็นไปได้ข้อที่สอง ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ” ซูเหลยพูดพรวดออกมายาวๆ “เมื่อคืนนี้ที่เขาต้องเผชิญหน้ากับภาพที่มีแต่คาวเลือดคละคลุ้งแบบนั้น แต่อากัปกิริยาของเขากลับนิ่งสงบ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง”
“คุณหมายความว่ายังไง?” ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนทำหน้าสงสัยเป็นอย่างมาก
“ฉันลองเดามาตลอด เรื่องฐานะอีกอย่างของเขา” ซูเหลยพูดออกมา “การแสดงออกทุกอย่างของเขานั้น มาบางอย่างที่มันเกินกว่าคนทั่วไป มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกเป็นอย่างมาก แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ เพราะว่าเขาปิดบังได้อย่างแนบเนียนมากเลยทีเดียว”
ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนทอประกาย การที่ซูเหลยคอยเตือนแบบนี้ แถมเธอเอาเรื่องก่อนหน้านี้มาปะติดปะต่อกัน จนทำให้เธอเองก็เริ่มสงสัยในตัวเฉินเป่ยขึ้นมาด้วย
“คนคนหนึ่งปิดบังได้ดีมากแค่ไหน ก็ต้องมีจุดบกพร่องอยู่เช่นเดียวกัน” ซูเหลยพูด “ท่านประธานหลี เพื่อความปลอดภัยของคุณแล้ว ฉันรู้สึกว่าต้องตรวจสองเรื่องของเฉินเป่ยดูแล้ว”
“เอ่อ…” สีหน้าของหลีชิงเยียนดูเก้อเขิน และยังรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เพราะเธอย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเฉินเป่ยดีต่อเธออยู่ไม่น้อย แต่เธอกลับมาตรวจสอบเรื่องของเฉินเป่ย มันทำให้ในใจของเธอนั้นผ่านเรื่องนี้ไปได้ยาก
“ท่านประธานหลี ฉันมีเพื่อนที่เคยทำงานในหน่วยรบพิเศษ แต่ตอนนี้เป็นสายลับที่รับงานเองแบบลับๆ แล้ว ตอนนี้เธอมีภารกิจในเมืองหู้ไห่ พอดีเลยที่เธอต้องการให้ฉันช่วย ฉันสามารถให้เธอ ช่วยทดสอบเฉินเป่ยได้” น้ำเสียงซูเหลยหยุดอยู่สักพัก “สามารถให้เธอทดสอบความซื่อสัตย์ของเขาได้”
“ความซื่อสัตย์เหรอ?” สีหน้าของหลีชิงเยียนนิ่งทันที พร้อมทั้งรีบเห็นด้วยอย่างไม่ลังเลเลย