สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 171
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 171 ไม่เคยปรากฏในประวัติการณ์
เฉินเป่ยมองชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นนี้ที่เปล่งประกายแสงสลัวสีแดง นัยน์ตาจึงเคล้าด้วยความเลือดเย็นและลุ่มลึก
ฉากๆ นี้เหมือนเขาเคยรู้จักมาก่อน ที่ผ่าน เขาเคยค้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมือนกับอันนี้เด๊ะๆ ……นั่นก็คือเครื่องดักฟัง!
เฉิยเป่ยจับจ้องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้ไว้ พร้อมกับเงยหน้ามองไปยังประตูของออฟฟิศ แล้วกระตุกยิ้มขึ้นมาตรงมุมปากทันที
จู่ๆ เขาก็ก้มหน้าลง แล้วมองเครื่องดักฟังเครื่องนี้ แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ฉันจะเตือนพวกแกอย่าคิดทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้……นี่เป็นการตักเตือนครั้งสุดท้าย!”
เพิ่งจะกล่าวจบ เฉินเป่ยก็ยกแก้วน้ำที่อยู่ข้างๆ ขึ้น จากนั้นก็ทุบเครื่องดักฟังจนแตกเป็นชิ้นเป็นซาก
แสงสีแดงดับไป เครื่องดักฟังถูกเฉินเป่ยทุบจนกลายเป็นเศษเป็นซาก
ในห้องอันมืดมัวห้องหนึ่ง ที่อยู่ห่างจากตึกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปไม่ไกล มีคนคนหนึ่งโดนหูฟังทิ้งด้วยความเจ็บปวด แล้วกำลังปิดหูทั้งสองข้างไว้ สีหน้าเคล้าด้วยความทรมานและความเจ็บปวด
เฉินเป่ยมองบนโต๊ะออฟฟิศ เครื่องดักฟังที่กลายเป็นเศษเป็นซาก แล้วกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอย่างเงียบๆ อยู่
เฉินเป่ยนั่งอยู่ตรงที่นั่งที่มีแต่ควันฟุ้งกระจายอยู่เป็นเวลาสองสามชั่วโมง จนกว่าประตูออฟฟิศถูกผลักออกอีกครั้ง จากนั้นก็มีเสียงอันเสนาะหูส่งเข้าไปในออฟฟิศ เธอเข้าไปปุ๊บก็ขมวดคิ้วทรงสวยขึ้นทันที แล้วได้กลิ่นควันที่เดายาก
เฉินเป่ยไม่ได้เปิดหน้าต่าง หลีชิงเยียนไปเปิดหน้าต่างและพัดลม เพื่อที่อากาศในออฟฟิศถ่ายเท รอให้กลิ่นควันจางลง ก็หันไปมองเรือนร่างด้านหลังของเฉินเป้ย
เฉินเป่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ออฟฟิศ แล้วหันหลังให้หลีชิงเยียน หลีชิงเยียนทำสีหน้าที่เคล้าด้วยความเย็นชา จากนั้นก็ย่ำก้นสูงเดินไป
“ใครให้คุณสูบบุหรี่? บริษัทมีกฎที่เขียนเป็นตัวหนังสือออกมา ว่าห้ามสูบบุหรี่ ไม่รู้หรือไง?” หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยที่นิ้วของเขากำลังหนีบบุหรี่อยู่ เธอรู้สึกเครียดจนปอดใกล้จะระเบิด จากนั้นก็ไปกระชากก้นบุหรี่ที่ใกล้จะเผาจนสุดก้นบุหรี่แล้ว
เฉินเป่ยจึงจะได้สติกลับมา แล้วดึงสติกลับมาจากความคิดที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นก็มองใบหน้าอันสะสวย แล้วตะลึงงันเป็นอันดับแรก นัยน์ตาของเขากวาดมองลงไปตามลำคอที่ขาวผ่อง สุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงเหวอันสูงตระหง่านที่ลึกล้ำจนคาดเดาไม่ออก!
“ไอ้โรคจิต! ” หลีชิงเยียนเห็นสายตาอันแปลกพิลึกของเฉินเป่ย เธอจึงยืดเอวให้ตรง ดวงตาของเฉินเป่ย แทบจะเก็บภาพที่เห็นไว้เป็นอย่างดี
ท่านประธานเทพธิดาพูดด้วยเสียงเย็นชาเสร็จ จึงจะทำให้เฉินเป่ยได้สติกลับมา แล้วยิ้มพลางพูดขึ้น “ท่านประธานหลี ลมอะไร พัดท่านมาได้? ”
การที่ต้องเผชิญกับความกะล่อนของเฉินเป่ย หลีชิงเยียนใช้ฟันอันขาวสวยกัดริมฝีปากแดงฉ่ำ แล้วอดทนกับความโมโหภายในใจแล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “เพิ่งจะได้เป็นรองประธาน ฉันมาดูว่านายตายไปหรือยัง”
“มีท่านประธานหลีอยู่ ผมจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ยังไง การที่สามารถทำให้ท่านประธานหลีเป็นห่วงผมขนาดนี้ นี่ก็คงเป็นวาสนาที่เกิดมาแปดชาติก็คงจะไม่ได้รับ” เฉินเป่ยคลายยิ้มอย่างร่าเริง แล้วเอ่ยชมด้วยความขยันขันแข็ง
หลีชิงเยียนกระตุกมุมปากอันสวยขึ้น แล้วใช้สายตากวาดมอง จู่ๆ ก็จับจ้องไปยังโต๊ะออฟฟิศ
“นี่คืออะไร? ” หลีชิงเยียนทำนัยน์ตาอันน่าแปลก แล้วรู้สึกว่าของพวกนี้เหมือนจะคุ้นตาเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร ก็แค่อะไหล่ของคอมพิวเตอร์เท่านั้น” เฉินเป่ยจึงรีบเก็บเศษชิ้นส่วนของเครื่องดักฟัง แล้วซ่อนไว้เป็นอย่างดี
หลีชิงเยียนจับจ้องเฉินเป่ยไว้ เธอกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ทว่าพอเห็นเฉินเป่ยทำสีหน้าที่นิ่งเฉย เลยไม่ไปจับผิดอะไรเขา
“ถ้าให้ฉันรู้ว่านายสูบบุหรี่ให้ออฟฟิศอีก คอยดีละกัน! ” หลีชิงเยียนเดินออกจากออฟฟิศ แล้วตักเตือนด้วยเสียงเคร่งขรึม
ทว่าหลังจากที่หลีชิงเยียนเดินจากไป เฉินเป่ยก็กระตุกมุมปาก แล้วควักไฟแช็คออกมาอย่างไม่เห็นด้วย……
เฉินเป่ยจุดบุหรี่หนึ่งมวนเสร็จ แล้วกดเบอร์ๆ หนึ่งแล้วโทรออก จากนั้นก็พูดด้วยเสียงต่ำ “ไปช่วยฉันสืบประวัติพนักงานคนหนึ่งของภรรยาฉัน ชื่อว่าเจี่ยนเวย”
……
เจี่ยนเวยยื่นชุดสูทไปให้เฉินเป่ย แล้วขอลาครึ่งวัน จากนั้นก็รีบเดินออกจากตึกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปอย่างเร่งรีบ
หน้าประตูตึกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป มีรถเก๋งสีดำหนึ่งคันจอดรออยู่ตั้งนานแล้ว เจี่ยนเวยจึงรีบเข้าไปในรถสีดำ จากนั้นก็รถสีดำก็ขับเคลื่อนขึ้นโดยเร็ว แล้วจากไปอย่างฉับไว
ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เจี่ยนเวยผลักประตูแล้วเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ หลังจากที่กวาดสายตามองไป จู่ๆ ก็ชะลอฝีเท้าลง แล้วเข้าไปใกล้หนึ่งในโต๊ะกาแฟ
“เป็นยังไงบ้าง? ส่งชุดสูทให้เขาหรือยัง? ” ชายคนหนึ่งถาม
เจี่ยนเวยพยักหน้า แล้วพูดกับผู้ชายคนนั้น “เขารับเอาไว้แล้ว และไม่ได้รู้สึกสงสัย”
ชายคนนั้นกระตุกมุมปากแล้วทำริมฝีปากโค้ง “งั้นฉันก็วางใจมาหน่อย”
“สามี” เจี่ยนเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่กระวนกระวาย “คุณทำอะไรกับชุดสูทหรอ มีผลร้ายต่อเขาหรือไม่? ”
ผู้ชายพูดด้วยเสียงเรียบ “แค่จะคอยจับตามองเขาเท่านั้น”
เจี่ยนเวยทำสีหน้าที่ดูซึมเซา แล้วค่อยๆ ขาวซีด “ทำไมต้องทำแบบนี้กับเขา? ”
“เพราะว่าเขาก่อคดีอันร้ายแรง และตำรวจทางเรากำลังต้องการตัวเขา” ผู้ชายเปลี่ยนเรื่องทันที “เราได้จ้างบริษัทที่ตัดชุดที่โด่งดัง เขาไม่มีทางสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติข้างในนั้นหรอก”
“ก่อคดีอันร้ายแรง! ” เจี่ยนเวยทำสีหน้าที่ขาวซีด เธอนึกไม่ถึง แฟนของเธอกลับบอกเธอว่าผู้ชายที่เป็นของท่านประธานบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป ได้มีคดีอันร้ายแรงแล้วกำลังหนีความผิดอยู่!
ถ้าข่าวแบบนี้ถูกป่าวประกาศออกไป ต้องทำให้เกิดผลกระทบอันแรงร้ายกับหู้ไห่แน่นอน!
ข่าวที่ระเบิดแบบนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำให้เธอตกใจไม่เบา
“เรื่องนี้ห้ามบอกให้ใครรู้เด็ดขาด” ผู้ชายกำชับขึ้น
“ได้” เจี่ยนเวยรีบพยักหน้า เธอรู้ดีเกี่ยวกับความสำคัญของเรื่องนี้
ไม่นาน เจี่ยนเวยก็ออกจากร้านกาแฟ และผู้ชายก็มองผ่านหน้าต่างกระจก แล้วมองไปยังเรือนร่างที่สวยเพอร์เฟคของเจี่ยนเวย แล้วกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วใช้เสียงที่ตนเองได้ยินเท่านั้น แล้วแอบดูถูกขึ้น “ไอ้โง่”
เกรงใจเจี่ยนเวยตายไปก็คงนึกไม่ถึงว่า ว่าความจริงแล้วเธอถูกดูถูกขนาดนั้น!
ตอนบ่าย เจี่ยนเวยรีบกลับบริษัท แล้วเดินเข้าไปในตึกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป จากนั้นก็ได้ยินเสียงอันนัวเนียส่งมาจากด้านข้าง “หน้าผากของคุณเจี่ยนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ คุณรีบออกไปทำอะไรกันเนี่ย? ”
เจี่ยนเวยหยุดฝีเท้าลง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินเป่ย ภายในใจของเธอรู้สึกไม่ดีขึ้นมา จากนั้นจึงก็เดินส่ายไปส่ายมา แล้วเกือบจะล้มลง
“อ่อ ท่านประธานหลีให้ดิฉันเพราะมีเรื่องเร่งด่วนค่ะ” เจี่ยนเวยคลายยิ้มออกมา ภายในใจเต้นแรงขึ้นมา
หลังจากที่รู้ว่าในชุดสูทมีของพิเศษบางอย่าง เจี่ยนเวยที่ต้องเผชิญเฉินเป่ยก็ยิ่งรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากขึ้น ภายในใจรู้สึกกระวนกระวาย ความมีเสน่ห์และความเชื่อมั่นในตัวเองที่มีในปกติก็หายไป
แม้กระทั่งเจี่ยนเวยยังไม่กล้ามองตาเฉินเป่ยโดยตรง นัยน์ตาเคล้าด้วยความว้าวุ่น
เฉินเป่ยทำนัยน์ตาลุ่มลึก แล้วคลายยิ้มบางๆ “คุณเจี่ยน ท่านไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหม? ”
“อ๊า…..ฉันไม่มีอะไรอยู่แล้ว” เจี่ยนเวยสงบสติอารมณ์ แล้วพูดขึ้น
“ไม่มีอะไรก็ดี ต้องการให้ผมซื้อกาแฟให้คุณสักแก้วไหม? ”
“ก็ดีค่ะ รสอะไรก็ได้ค่ะ” เจี่ยนเวยพูดจบ ก็รีบขึ้นไปชั้นบน แล้วกลับออฟฟิศของตนเอง เธอนั่งลง ภายในใจยังคงเต้นแรงไม่หยุด
และตอนที่เจี่ยนเวยกว่าจะปรับจังหวะการหายใจได้นั้นไม่ง่ายเลย เพิ่งจะกลับสู่สภาวะปกติ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกส่งเข้ามา เป็นเสียงของเฉินเป่ย ทำให้หัวใจขอเจี่ยนเวยสะดุ้งขึ้นอีกครั้ง
“คุณเจี่ยนครับ กาแฟซื้อเสร็จแล้วครับ”
เฉินเป่ยผลักประตูเข้าไป ในมือถือกาแฟถุงใหญ่มาก
“เร็วขนาดนี้เลยหรอ? ” เจี่ยนเวยพูดขึ้นอย่างคาดคิดไม่ถึง และตอนที่เธอพูดออกมาก็ได้สติกลับมา ภายในใจของตนเองยากที่จะสงบสุข และไม่ได้รู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปเลยสักนิด
“คุณเจี่ยน คุณมีแฟนหนุ่มไหม? ” เฉินเป่ยวางกาแฟลง จู่ๆ ก็เอ่ยถามอย่างผิวเผินโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
“ฉันมีแล้วค่ะ” เจี่ยนเวยรู้สึกสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น
“อ่อ งั้นน่าเสียดายจริงๆ ” เฉินเป่ยทำสีหน้าที่เสียดาย ทำให้เจี่ยนเวยรู้สึกโล่งใจ
จนกว่าเฉินเป่ยจะหายตัวไปจากออฟฟิศ เจี่ยนเวยจึงจะรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
นอกห้องประชุม หลีชิงเยียนและคณะกรรมการเป็นกลุ่มกำลังเดินออกจากห้องประตู แล้วทำสีหน้าที่ผ่อนคลาย หลังจากที่เธอกลับไปออฟฟิศของตนเอง จู่ๆ ก็เห็นบนโต๊ะมากาแฟเพิ่มขึ้นหนึ่งแก้ว
หลีชิงเยียนจึงตกใจเล็กน้อย เธอเม้มปากแล้วเผยยิ้มออกมา…….เขารู้ได้ยังไง ว่าตนเองชอบกาแฟบลูเมาเท่นมากที่สุด……
ทั้งบ่าย เฉินเป่ยอยู่แต่ในออฟฟิศของตัวเอง แล้วกำลังเล่มเกมในคอม เขาไม่ได้แตะต้องเกมมานานแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ฝีมือการเล่นเกมของเขาด้อยลง ทว่ากลับโหดเหี้ยมกว่าเดิม
ตอนที่หน้าจอคอมเด้งคำว่าอัปเดต เฉินเป่ยจึงถอนหายใจออกมา ตัวเองเป็นรองประธานของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป ทว่าในความเป็นเขากลับไม่มีงานอะไรสักอย่าง ก็คือหลีชิงเยียนต้องการให้ตัวเองมีตำแหน่งเท่านั้น
หลีชิงเยียนกังวลถึงความสามารถของเขาอย่างชัดเจน กลัวว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะ จึงปล่อยให้เขาเดินอยู่อย่างนี้
คิดๆ ดูแล้ว เฉินเป่ยควักมือถือออกมา แล้วส่งข้อความสั้นให้ชิงเหนียน
อีกฝั่งของเมืองหู้ไห่……ในห้องประชุมใต้ดินที่มีความลึกห้าสิบเมตรแห่งหนึ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม และเต็มไปด้วยความกดดัน
บนโต๊ะกลมมีคนห้าคนนั่งเอา และแต่ละคนก็คือผู้ที่มีตำแหน่งในหัวเซี่ย ซึ่งเป็นบุคคลสูงส่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
และคนพวกนี้ต่างก็ผ่านช่องทางลับ แล้วแอบมาถึงหู้ไห่ ไม่มีคนรู้ถึงมีเป็นอยู่ของพวกเขา ไม่งั้น เกรงว่าคงจะทำให้เกิดการฆ่าสังหารและภัยพิบัติอีก!
ชิงเหนียนนั่งอยู่ในโต๊ะกลม สีหน้าของเขาไม่ได้เคร่งขรึมและสงสัยเหมือนคนอื่น เขาดูใจเย็นและไม่แคร์……และกำลังก้มหน้าเล่นมือถือ!
แม้กระทั่งท่าทีของการเล่นมือถือ สีหน้า……เหมือนคนคนหนึ่งมาก! เป็นคนคนหนึ่งที่หน้าไม่อายมาก!
“การเคลื่อนไหวในต่างประเทศ วิธีที่ดีที่สุดของหัวเซี่ย ก็คือนั่งนิ่งดูดายกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และอย่าได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังวนที่เกิดขึ้น”
“ใช่ หลายปีมานี้เราพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว มีผู้ที่มีอำนาจในต่างประเทศและประเทศที่ใหญ่โตกำลังจับจ้องพวกเราอยู่ เราควรระวังตัว”
แต่ละคนต่างก็พูดความเห็นของตนเองออกมา มีแต่ชิงเหนียนคนเดียวเท่านั้น
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังชิงเหนียน แล้วถามขึ้น “ท่านๆ นั้น คิดว่าจะไม่ปรากฏตัวจริงๆ หรอ? ”
ชิงเหนียนส่ายหน้า “ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจของเขาคิดอะไรอยู่ ยังไงคนที่กล้านึกถึงความคิดของเขา ส่วนมากก็ต้องตายอย่างทรมาน”
ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความสงบ ผ่านไปสักพัก ถึงจะมีคนพูดขึ้นอย่างเงียบๆ “ถ้าเขาอยู่ ใครจะกล้าถมึงทึงพวกเรา”
ชิงเหนียนแสยะยิ้ม “โลภมากลาภหาย ไม่มีเขา ตอนนั้นโลกชั่วร้ายทิศตะวันตก…..ประชุมเฮยอ้าน ศาสนาแห่งยุโรป ก็ได้ทำให้ต่างประเทศตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวะวุ่นวายตั้งนานแล้ว หัวเซี่ยสามารถโชคดีที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เกิดความวุ่นวายแบบนั้นเลยหรอ? ”
“หากไม่มีเขา ความวุ่นวายเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะทำลายทุกคนที่นี่” ทันใดนั้นน้ำเสียงของชิงเหนียนก็คมชัด ดวงตาของเขาก็กวาดไปทั่วเรือนร่างหลายร่างอย่างเย็นชา ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน!
ใครจะไปนึกถึง ร่างหลายๆ ร่างพวกนี้ล้วนเป็นคนที่ดูถูกหัวเซี่ย ทว่ากลับอยู่ตรงหน้าชิงเหนียน ดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่มีนิสัย
เพราะเบื้องหลังของชิงเหนียน เป็นผู้ที่ยืนอยู่เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในต่างประเทศ และคอยสนับสนุนเขา นั่นก็คือชายที่อยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดโพ้นต่างประเทศ!
คนคนหนึ่งที่ดำรงอยู่ โดยไม่มีใครสามารถก้าวผ่านเข้าได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จารึกในประวัติก