สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 194
บทที่194 โดนยาพิษจนตาย
ถ้าไม่ใช่ความน่ากลัวของหวงจ้านมีผลกระทบรุนแรง คงทำให้นายทหารที่เป็นลูกน้องเหล่านี้คลุ้มคลั่งเปิดฉากยิงไปตั้งนานแล้ว ลั่นไกยิงห่ากระสุนปืน ทำให้เฉินเป่ยนอนตายตาไม่หลับ
เฉินเป่ยอยู่ภายใต้การห้อมล้อมของนายทหารหลายคน เดินออกจากร้านหม้อไฟอย่างเรียบเฉย ซ้ายขวาด้านหลังของเขาล้วนเป็นนายทหารชั้นเยี่ยมที่หวงจ้านคัดสรรออกมา แต่ละคนหันกระบอกปืนเล็งไปที่เฉินเป่ย ตามติดอยู่ด้านข้างอย่างกับเผชิญหน้าศัตรูสำคัญ
ระดับอันตรายของเฉินเป่ยในสายตาพวกเขาไม่เป็นรองบารอนใหญ่ยาเสพติดเหนือชั้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย
ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เห็นหวงจ้านอยู่ในสายตา เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวระแวง และมักจะเตรียมพร้อมเสมอ!
ส่วนเฉินเป่ยย่อมสังเกตถึงความระแวงและเตรียมพร้อมรับมือข้าศึกของคนเหล่านี้ เขาแต่งตัวเพียงแค่ชุดลำลอง นิ่งเฉยอย่างมาก จนเกือบจะทำให้คนเหล่านี้ไม่สนใจตนเองแล้ว
นายทหารชั้นเยี่ยมเหล่านี้ไม่รู้ว่าตนเองเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ สำหรับเฉินเป่ยแล้วมักจะไม่สร้างการคุกคามแบบธาตุแท้!
เพราะถ้าพวกเขารู้ว่าซีเรีย…ตาลีบัน……อิรัก……ล้วนมีร่องรอยภาพเงาของเฉินเป่ยแพร่กระจายไปทั่ว……พวกเขาคงไม่กล้าใช้ปืนในมือมาเล็งเฉินเป่ยไว้!
ปีนั้นเคยมีคนที่ความคิดอย่างนี้……เคยให้คนนับพันมาล้อมฆ่าเฉินเป่ย……ผลสุดท้ายกลับเจอการแก้แค้นของเฉินเป่ย หยิบปืนบาซูก้ามากระบอกหนึ่ง ทำเอารังขุนศึกนานาชาติแห่งนั้นพังราบหลายเท่า
เฉินเป่ยไม่ได้ใส่ใจคนพวกนี้ สำหรับเขาแล้วคนเหล่านี้แทบจะไม่ได้ต่างอะไรกับของตกแต่ง……
ภายใต้การห้อมล้อมของคนกลุ่มหนึ่ง เฉินเป่ยนั่งเข้ามาในรถคันหนึ่ง หวงจ้านมองเฉินเป่ยที่นั่งอยู่ในรถแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้มที่มุมปากล้ำลึก
หวงจ้านขึ้นรถตามไปติดๆ ไม่นานขบวนรถก็ติดเครื่องยนต์คำราม พัดฝุ่นตลบขึ้น ไม่นานก็หายไปท่ามกลางฝุ่นควันที่คละคลุ้ง
เวลานี้บรรยากาศอึดอัดภายในร้านหม้อไฟได้มลายหายไป หลังฟื้นฟูความคึกคักกลับมาใหม่ ไอรีนถึงเดินออกมาจากในห้องน้ำ มองขบวนรถด้านนอกขับไปแล้วขมวดคิ้วขึ้น
เธอครุ่นคิดสักครู่ ต่อสายโทรศัพท์ พูดเสียงต่ำ “แผนการเปลี่ยน เกิดเรื่องไม่คาดคิด เฉินเป่ยโดนพาไปแล้ว”
ขณะนี้ภายในคฤหาสน์หรูตระกูลหลี ซูเหลยยืนอยู่ริมหน้าต่าง ฟังคำพูดของไอรีนในสายนั้น คิ้วขมวดเล็กน้อยถามว่า “โดนใครพาไปแล้ว?”
“ไม่แน่ใจ น่าจะเป็นคนของกองทหารต้าหัว” ไอรีนตอบกลับ
“กองทหารต้าหัว……” ซูเหลยสีหน้าฝืด ตกตะลึงครู่หนึ่ง เจ้าคนแซ่เฉินคนนี้ คาดไม่ถึงยังโดนคนของกองทหารต้าหัวคิดถึงอยู่ตลอดเวลาเข้าแล้ว?
ซูเหลยขมวดคิ้ว นับวันหล่อนยิ่งมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ยิ่งหล่อนค้นหาเฉินเป่ยค้นลึกเท่าไร ยิ่งพัวพันกับผู้มีอิทธิพลที่ไม่คาดไม่ถึงออกมาด้วย
แม้กระทั่งหล่อนมักจะมีลางสังหรณ์ว่าน้ำที่อยู่ด้านหลังของเฉินเป่ยนั้นลึกมาก
“ซูเหลย เธอกำลังทำอะไรน่ะ?” ในเวลานี้เสียงของหลีชิงเยียนลอยมาจากด้านข้าง
“มาแล้ว” ซูเหลยกลับมานั่งลงที่โซฟา หลีชิงเยียนมองทางซูเหลย “เธอรู้ไหมว่าเฉินเป่ยไปทำอะไร? บอกว่าจะไปเดินเล่น ถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”
ช่วงเวลานี้ซูเหลยกำลังตรวจสอบเฉินเป่ยอยู่ จิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ค่อยแน่ใจ”
“โทรศัพท์หาเขาก็ไม่รับ เสี่ยวเยียน ดูแล้วเสน่ห์ของเธอไม่พอแล้วนะ เก็บใจของเขาเอาไว้ไม่ได้” ซูเสี่ยวหยุนพูดหยอกล้อ
ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนถลึงใส่ซูเสี่ยวหยุนอย่างแรงทีหนึ่ง ถึงแม้ปากไม่พูด แต่เธอแอบๆ ยกมือถือขึ้น เริ่มส่งข้อความหาเฉินเป่ย สอบถามขึ้นมาอย่างเย็นชา
และเวลานี้เฉินเป่ยกำลังนั่งอยู่ในรถอเนกประสงค์ โดนนายทหารหลายนายเฝ้าดูเข้มงวด
ทันใดนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น เฉินเป่ยพึ่งคลำไปที่กระเป๋ากางเกง นายทหารหลายคนก็ยกปืนขึ้นทันที ท่าทางดุเดือด
เฉินเป่ยมึนงง สีหน้าไม่พอใจขึ้นมา “เฮ๊ย เมียฉันตรวจยาม จะไม่ให้ฉันตอบสักหน่อยเหรอ?”
“ไม่ได้” นายทหารหนึ่งในนั้นพูดเสียงเย็นชา ท่าทีที่มีต่อเฉินเป่ยเลวร้ายมาก
และทันทีที่เขาพูดจบ เฉินเป่ยก็คลำมือถือออกมา ภายใต้การจ้องมองของนายทหารหลายคน เปิดมือถือขึ้น เริ่มตอบข้อความกลับอย่างโจ่งแจ้ง
นายทหารรายนั้นสีหน้าฝืด มองทางเฉินเป่ยด้วยท่าทางโกรธเคือง
นี่คือกำลังยั่วยุเขา?
นายทหารสีหน้าเย็นเฉียบราวน้ำค้างแข็ง เขายังไม่ได้รับคำสั่งจึงไม่มีทางลั่นไก……เขาเลยทำได้เพียงจ้องมองเฉินเป่ยไว้ ตอบข้อความกลับไปอย่างเชื่องช้า จากนั้นเก็บมือถือลง
“นายดูสิ นี่ก็ไม่ใช่ได้แล้วเหรอ?” เสียงของเฉินเป่ยเรียบนิ่งลอยเข้าหูของเขา ทำให้เขาหน้าหมอง เส้นเลือดที่หน้าผากปูดขึ้น
…………
สถานีตำรวจเมืองหู้ไห่
ผู้กำกับนั่งอยู่ในห้องทำงาน กำลังเตรียมเก็บข้าวของ เลิกงานกลับบ้าน ในปากเขากำลังฮึมฮัมทำนองเพลง เตรียมไปผับบริเวณแถวนี้สักแห่ง ไปเฉิดฉายดีๆ หน่อย
โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้นกะทันหัน
ผู้กำกับขมวดคิ้วแล้ว ช่วงเวลานี้นานมากที่เบื้องบนจะโทรศัพท์เข้ามา ใครที่ไหนไม่รู้เวล่ำเวลา โทรศัพท์เข้ามาทำอะไรกันแน่?
ผู้กำกับหยิบโทรศัพท์ขึ้น โทรศัพท์ในสายนั้นมีเสียงหนึ่งลอยมาทันใด “ผมคือหวงจ้านแห่งกองทหารต้าหัว พึ่งจับผู้ต้องหามาได้คนหนึ่ง ขอคุมตัวเอาไว้ที่คุณก่อน”
หวงจ้านแห่งกองทหารต้าหัว นั่นไม่ใช่คนของตระกูลหวงแห่งหู้ไห่เหรอ!
ผู้กำกับสีหน้าตื่นตกใจ อย่างไรเสียเขาก็นึกไม่ถึงว่าเขาที่มีตำแหน่งผู้กำกับเล็กๆ คนหนึ่ง จะมีโอกาสได้สัมผัสกับบุคคลที่เหนือชั้นแบบหวงจ้านได้!
“ท่านหวง……” ผู้กำกับเอ่ยปากพูดด้วยความระมัดระวัง “ด้วยสถานะของท่าน พาไปสอบสวนเรื่องนี้ได้โดยตรงเลยครับ เอาไว้ที่สถานีตำรวจของผมคงเสียเวลามากแน่เลย……”
“คนคนนี้ ฉันไม่ได้อยากสอบสวน แต่ว่าอยากให้เขา……ตาย!” ในสายนั้น เสียงหวงจ้านหนาวเหน็บ เวลานี้คือเดือนเจ็ดที่ร้อนแผดเผา ผู้กำกับได้ยินคำพูดนี้กลับเหงื่อผุดทันที!
ความหมายของหวงจ้านไม่ได้อยากให้สถานีตำรวจของพวกเขาคุมขัง……แต่ว่าต้องการให้แอบฆ่าทิ้ง ตายที่สถานีตำรวจ!
ถึงตอนนั้นก็จะเป็นความวุ่นวายของสถานีตำรวจเมืองหู้ไห่ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหวงสักนิด ถึงแม้คนที่มีความตั้งใจอยากค้นหา ก็ค้นหาอะไรออกมาได้ยากมาก
ผู้กำกับขนลุกขนพอง……ถ้าสถานีตำรวจหู้ไห่ปรากฏอุบัติเหตุที่คาดคิดไม่ถึงขึ้น……ตนเองที่สวมบทบาทข้าราชการบนสุดนี้ล้วนพะวง……นี่คือหวงจ้านรังเกียจที่เขานั่งตำแหน่งผู้กำกับนานเกินไปรึไง!
“ท่านหวง……นี่คงทำไม่ค่อยง่ายมั้ง……” ผู้กำกับท่าทางดิ้นรนลังเล หวงจ้านพูดอย่างเมินเฉย “เขาไม่ตาย คนที่ตายก็คือนาย”
โทรศัพท์ตัดไปทันที ผู้กำกับเหงื่อท่วมท้นหน้าผาก!
…………
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถยนต์อเนกประสงค์ค่อยๆ จอดหน้าประตูของสถานีตำรวจเมืองหู้ไห่ ผู้กำกับและตำรวจกลุ่มหนึ่งยืนที่หน้าประตู ต้อนรับด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
บนรถยนต์อเนกประสงค์ หวงจ้านเดินลงมาเป็นคนแรก จากนั้นเดินไปด้านหน้าผู้กำกับ ผู้กำกับพยักหน้าโค้งคำนับ ยิ้มพูดอย่างกระตือรือร้นมาก “ท่านหวง ในที่สุดท่านก็มาแล้ว เหน็ดเหนื่อยจากเดินทางไกล ผมเตรียมเหล้าดีๆ อาหารเยี่ยมๆ ไว้เพื่อท่านแล้วครับ”
หวงจ้านสีหน้าเย็นชา “ไม่ต้องหรอก นายเตรียมเหล้าดีๆ อาหารเยี่ยมๆ ไว้ให้เขามากหน่อยเถอะ”
หวงจ้านยัดผงสีขาวซองหนึ่งให้ผู้กำกับ “รอจากหลังเขากินข้าวแล้วค่อยติดต่อฉันอีกที”
ผู้กำกับหันหน้ามองทางในรถยนต์อเนกประสงค์คันที่สอง ภาพคนที่คุ้นเคยคนนั้นเดินลงมา
“ได้เลยครับท่านหวง ผมจะทำให้ท่านอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแน่” ผู้กำกับหลังส่งหวงจ้านไปด้วยความเคารพ จากนั้นมองทางผู้ชายคนนั้นที่เดินลงจากรถยนต์ ซึ่งคุ้นตาอย่างมาก
และหลังจากที่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นสีหน้าผู้กำกับเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึงขึ้นมา!
“เป็นนาย?” ผู้กำกับพุ่งมาตรงหน้าของเฉินเป่ย พูดเสียงทุ้ม
เฉินเป่ยกวาดตามองผู้กำกับทีหนึ่ง หัวเราะหึๆ “โอ๊ะ บังเอิญจริง”
ผู้กำกับกวาดตามองนายทหารที่ห้อมล้อมด้านข้างเฉินเป่ยไป “นายก็คือคนที่โดนท่านหวงจับไว้?”
“รูปร่างอย่างเขานั้นยังเรียกท่านหวง?” มุมปากเฉินเป่ยแสยะๆ พูดนิ่งๆ “ถ้าฉันอยากหนี หัวเซี่ยแห่งนี้ ไม่มีใครจับฉันเอาไว้ได้……”
“ฉันแค่อยากดูว่าตอนนี้ตระกูลหวงยังมีลูกไม้อะไรมาจัดการฉัน เลยมาพักที่นี่ของนายสองสามวัน”
เฉินเป่ยพูดจบด้วยท่าทางนิ่งเฉย เดินเข้าในสถานีตำรวจอย่างไม่สนใจอะไร ทำให้ผู้กำกับตาค้างถึงที่สุดแล้ว!
ท่าทางของเขานี้เหมือนคนที่ถูกคุมขังที่ไหนกัน……เห็นได้ชัดว่ามาพักร้อนที่สถานีตำรวจโดยเฉพาะ!
หลังจากผู้กำกับขัดเกลาคำพูดเมื่อสักครู่ของเฉินเป่ยอย่างละเอียด กังวลอยู่แวบหนึ่ง หัวเซี่ยดินแดนกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ ผู้มีฝีมือนับไม่ถ้วน เจ้าหมอนี้ก็ช่างหน้าหนาไร้ยางอายเหลือเกิน ตอนนี้คุยโม้โอ้อวดหนักข้อเข้า
หลังผู้กำกับกลับมาถึงห้องทำงาน นั่งลงบนเก้าอี้ทำงานพลางลูบหัวคิ้ว ผ่านไปไม่นานภาพคนรูปร่างงดงามก็พุ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างว่องไว
“ผู้กำกับ”
ผู้กำกับเงยหน้ามองเห็นภาพคนรูปร่างงดงามนั้น ก่อนจะตะลึง “เธอมาได้ยังไงกัน?”
คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือเย่ชวง
เย่ชวงสีหน้ามีความหมายตื่นเต้น “ผู้กำกับคะ ฉันได้ยินว่าเฉินเป่ยถูกขังเอาไว้?”
ผู้กำกับพยักหน้าบอกว่า “เย่ชวง เรื่องนี้เธออย่าเข้ามายุ่งเลย”
เย่ชวงมึนงง “ทำไมคะ?”
“เพื่อตัวเธอเอง” ผู้กำกับตอบนิ่งๆ
“ผู้กำกับคะ ช่วงนี้สถานที่ที่เฉินเป่ยไปทำกิจกรรมมีอัตรากระทำผิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันสงสัยว่า……” เย่ชวงไม่ยินยอม เธอยังพูดไม่จบก็โดนผู้กำกับขัดจังหวะทันใด “เย่ชวง ความพิเศษของเขาเธอก็รู้……พวกเราไม่มีสิทธิ์นำเขามาสอบสวน……และคนที่ขังเขาไม่ใช่ฉัน”
“งั้นเป็นใครกัน?”
“กองทหารต้าหัว” ผู้กำกับสีหน้าหนักหน่วง “เป็นตระกูลหวงแห่งหู้ไห่”
ใบหน้างดงามของเย่ชวงแข็งทื่อ ผู้กำกับพ่นลมหายใจออกมาทีหนึ่ง “พวกเราไม่มีทางขัดขืนตระกูลหวงแห่งหู้ไห่ได้ เย่ชวง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับงานราชการ นี่คือปัญหาที่ไม่รู้ศีรษะผู้กำกับอย่างฉันจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” เย่ชวงเงียบสงบตั้งนาน ในที่สุดก็หมุนตัว เดินออกจากห้องทำงาน
ผู้กำกับจ้องมองประตูห้องทำงานที่ว่างเปล่าอยู่นาน สีหน้าถึงค่อยๆ เปลี่ยนไปดุเดือดขึ้นมา ก้มหน้าต่อสายโทรศัพท์ภายในของสถานีตำรวจ
“มาที่ห้องทำงานฉันสักหน่อย ฉันมีภารกิจสำคัญจะแจ้ง” ผู้กำกับน้ำเสียงลุ่มลึก ภารกิจที่หวงจ้านมอบหมายสำคัญอย่างมาก จะผิดพลาดไม่ได้สักนิดเดียว
เฉินเป่ยนั่งลงในห้องขัง ท่าทางสงบนิ่งเฉย มองผู้คุมด้านนอกทีหนึ่ง ผิวปากขึ้น ถามเสียงทุ้ม “เพื่อน มีบุหรี่มั้ย ขอสักมวนสิ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้คุมหน้าประตูกวาดตามองเฉินเป่ย ยิ้มตอบอย่างดูถูก “นายเจ้าขยะนี้ยังอยากได้บุหรี่ อย่าลืมนะว่านายอยู่ที่ไหน ตอนนี้นายโดนขังอยู่ด้านใน”
“อยากได้บุหรี่ก็ได้ มีฝีมือนายก็ออกมา พวกฉันจะเอาบุหรี่ให้นายเอง” ผู้คุมอีกคนหนึ่งยิ้มถากถาง
มุมปากเฉินเป่ยแสยะ ได้แต่นอนลงมาแล้ว
“แม่งเอ๊ย โดนขังเอาไว้ยังอยากดูดบุหรี่ เขาคิดว่าที่นี่เป็นที่พักตากอากาศเหรอ”
“เดาว่าตอนที่โดนจับเข้ามา สมองคงพังไปแล้ว”
ผู้คุมสองคนพินิจพิเคราะห์เฉินเป่ย น้ำเสียงเผยความเกลียดชังเหยียดหยาม
เฉินเป่ยทำเหมือนไม่ได้ยิน นอนลงมาแบบไม่สนใจ
…………
จนกระทั่งเช้าวันต่อมา เสียงฝีเท้าที่บางเบาทำให้เฉินเป่ยสะดุ้งตื่นทันที
เฉินเป่ยลืมตาทั้งสองขึ้น ใบหูสั่นไหวเล็กน้อย จับเสียงฝีเท้าที่ลอยมาจากที่พื้นไกลๆ ได้อย่างชัดเจน
ไม่นานตำรวจคนหนึ่งก็เข็นรถคันหนึ่งเดินเข้ามา หยุดที่ด้านหน้าห้องขังของเฉินเป่ย จากนั้นวางหมั่นโถวสองลูกกับผักดองจานเล็กไว้
เฉินเป่ยกวาดตามอง หยิบหมั่นโถวขึ้น ดมๆ ดู ทันใดนั้นแวบเดียวแววตาเขาก็มองเห็นหนูตัวหนึ่งที่คลานอยู่ที่มุม
เฉินเป่ยบิหมั่นโถวลงเป็นชิ้นเล็กๆ โยนเข้าไปทางหนูตัวนั้นแล้ว
จากนั้นเฉินเป่ยจ้องหนูตัวนั้นอย่างตาไม่กะพริบ สมาธิแน่วแน่ จ้องอยู่ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ
หลังหนูกินหมั่นโถวลงไป ผ่านมาครึ่งชั่วโมง ตอนที่หมั่นโถวเย็นแข็งขึ้น ทันใดนั้นหนูก็เป็นตะคริวขึ้นมาทั้งตัว ไม่นานก็ตายลงทันใด
เฉินเป่ยมองหนูตัวนี้อยู่ แววตาลุ่มลึกเย็นยะเยือก เขามองทางหมั่นโถวก้อนนั้น บีบจนหมั่นโถวเป็นผุยผง
และอีกด้านของเมืองหู้ไห่ในเวลานี้ ภายในห้องอาหารงานเลี้ยงระดับสูงแห่งหนึ่ง กำลังร้องเพลงเต้นรำ ร้องเล่นเต้นรำฉลอง
หวงจ้าน หวงปิง และหวงหรุง ทั้งสามคนอยู่ในห้องอาหารดื่มเหล้ากันทั้งคืน ถ้าไม่ใช่ทั้งสามคนดื่มเหล้าเก่งมาก คงดื่มคว่ำไปตั้งนานแล้ว
“คืนหนึ่ง เอ๋อตงเฉินคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?” ทั้งตัวหวงปิงแพร่กระจายกลิ่นเหล้าพลางถามขึ้น
บนหน้าหวงจ้านยังมีสีแดงมึนๆ พูดอย่างเมาค้าง “ปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้นเอง จัดการง่ายดาย”
“อารอง ทำไมต้องจัดการเขาในสถานีตำรวจด้วย?” หวงหรุงถามอย่างไม่เข้าใจ
หวงจ้านหัวเราะแล้วพูดอธิบาย “หรุงเอ๋อ นายผ่านโลกมายังน้อยเหลือเกิน มีบางครั้งการยืมมีดคนอื่นฆ่าคนถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด……มีวิธีแบบนี้ ทำไมฉันถึงไม่ใช้ล่ะ? ในเมื่อไม่ต้องให้ฉันลงมือ ที่สกปรกก็ไม่ใช่มือฉัน”
หวงหรุงเข้าใจทันใด หวงจ้านพูดต่อไป “ฉันส่งคนไปวางยาในอาหารเช้าวันนี้แล้ว……ตอนเช้าคนทั่วไปตื่นขึ้นมา จิตใจสมองเซ่อซ่าที่สุด การตอบสนองช้าที่สุด วางยาช่วงเวลานี้ เขาไม่อาจมีการเตรียมตัวใดๆ”
หวงจ้านล้วงมือถือออกมา “ตอนนี้แซ่เฉินคนนั้นน่าจะคงโดนพิษออกฤทธิ์แล้ว”