สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 205
บทที่ 205 ว่าเสื้อผ้าไม่ได้!
คฤหาสน์ตระกูลหลี หลีชิงเยียนและซูเสี่ยวหยุนกำลังนั่งอยู่บนโซฟา กำลังดูรายการวาไรตี้ในทีวี
ซูเสี่ยวหยุนสีหน้าดูขี้เกียจ รอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ และร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง
โชคดีที่คฤหาสน์ทั้งหมดมีเพียงเฉินเป่ยคนเดียวที่เป็นผู้ชาย ถ้าเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายคนอื่นที่ตั้งสติไม่แน่น ก็คงจะเอาตัวซูเสี่ยวหยุนไปตั้งนานแล้ว
เสียงของมีดที่กำลังหั่นผักดังออกมาจากในห้องครัว ซูเสี่ยวหยุนเหลือบไปมองที่ห้องครัว จึงใช้ศอกสะกิดหลีชิงเยียนเบา ๆ และกระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้นกันพวกคุณสองคน”
“ก็ไม่มีอะไรนี่นา” หลีชิงเยียนยังคงดูทีวี และตอบกลับอย่างเย็นชา ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็ง ไม่มีสีหน้าที่ดีกับใครเลยสักนิด
“ดูเธอสิ ทำหน้าแบบนี้ให้ใครดูกัน” ซูเสี่ยวหยุนงอริมฝีปาก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลีชิงเยียนและเฉินเป่ย หลีชิงเยียนกลับมาด้วยท่าทีเหมือนกับเทพธิดาแห่งภูเขาน้ำแข็ง และก็เป็นแบบนั้นกับเธอเช่นเดียวกัน
ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขาแล้ว คุณไม่คิดจะช่วยเขาจริงหรือ” ซูเสี่ยวหยุนเปลี่ยนเรื่อง พูดออกไปเพื่อลองใจ
ทันใดนั้น หลีชิงเยียนก็ยิ้มอย่างเย็นชาและประชดประชัน “เขาเก่งมากไม่ใช่หรอ ฉันจะลองดู ว่าครั้งนี้เขาจะทำอย่างไร!”
ซูเสี่ยวหยุนขมวดคิ้ว “ยังไงเขาก็เป็นสามีของคุณ ถ้าเขาทำตัวน่ารังเกียจ ก็ทำให้บ้านหลีต้องเสียหน้าแน่ๆ คุณแน่ใจหรอ”
หลีชิงเยียนมองไปยังครัว ดวงตานั้นเปล่งประกายอย่างแรงกล้า น้ำเสียงปนความผิดหวังกับสิ่งที่คาดไว้ “วันนี้ตอนกำลังประชุม เขาทำให้บ้านหลีเสียหน้าไปหมดแล้ว ฉันยังจะต้องสนใจอะไรอีก”
ซูเสี่ยวหยุนรู้สึกละอายใจ และในเวลานี้ เฉินเป่ยที่สวมผ้ากันเปื้อนก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมถาดผลไม้ ตามด้วยนมอุ่นๆ สองขวด และนำถาดผลไม้ที่ตกแต่งอย่างดีวางลงบนโต๊ะน้ำชา พูดอย่างยิ้มเจื่อน “ชิงเยียน พี่ซู ผลไม้หลังอาหาร สำหรับช่วยย่อย พวกคุณทานสักหน่อย”
“ฉันไม่กิน” หลีชิงเยียนไม่ไม้แต่จะเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเยือกเย็น และยังมีความขุ่นเคืองแฝงอยู่
“เฉินเป่ยสรุปว่าคุณคิดอย่างไรกันแน่ ชุดสินค้านั่นมีความยุ่งยากขนาดนี้ คุณไม่เป็นกังวลบ้างเลยหรือ” ซูเสี่ยวหยุนขมวดคิ้วและถามออกมา แม้ว่าหลีชิงเยียนก็ไม่มีวิธีการที่จะทำได้ ในมุมของเธอแล้ว เฉินเป่ยก็ไม่มีทางทำได้เช่นกัน!
ทั้งหมดนี้คือความจงใจที่กรรมการบริหารของกรุ๊ปต้องการทำให้เฉินเป่ยลำบากใจ…สิ่งที่เธอไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ เฉินเป่ยบอกว่าเวลาหนึ่งเดือนนั้นมากเกินไป จึงขอเสนอให้เหลือเพียงหนึ่งสัปดาห์!
เฉินเป่ยยิ้มอ่อน รอยยิ้มของเขาเป็นไปด้วยความลึกลับ “พี่ซู ถึงเวลาคุณก็จะรู้เอง ชาวเขาย่อมมีวิธีที่ชาญฉลาด”
“ถึงตอนนั้นหวังว่าจะได้เห็นฝีมือที่ดีของคุณ แต่ให้ดีที่สุดคืออย่าต้องไปแผนกรักษาความปลอดภัยเพราะทำเรื่องนี้พลาดไป” หลีชิงเยียนพูดประชดประชัน
เฉินเป่ยมองไปที่หลีชิงเยียน “ประธานหลี คุณจะดูถูกผมเกินไปแล้ว ผมยังไงก็เป็นสามีตามกฎหมายของคุณอยู่ดี…”
เฉินเป่ยยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงพึมพำ “ผมโชว์โง่ ก็มีแต่ข้อเสียสำหรับเธอ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง”
หลีชิงเยียนเงยหน้าขึ้นมองเฉินเป่ยอย่างเย็นชา และพูดอย่างเยือกเย็น “ถ้าคุณสามารถขายสินค้าเหล่านี้ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ เงื่อนไขก็แล้วแต่คุณเลย”
“จริงหรือ” เฉินเป่ยตกตะลึง สายตาของเขาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
เขานึกไม่ถึงว่าหลีชิงเยียนจะพูดแบบนี้ มันเหมือนเป็นคำพรจากสวรรค์!
ความตื่นเต้นที่ผิดปกติของเฉินเป่ยตกอยู่ในสายตาของหลีชิงเยียนและซูเสี่ยวหยุน ทำให้เธอทั้งสองคนตกใจ ซูเสี่ยวหยุนมีสีหน้าแปลกใจ เฉินเป่ย…จะแน่นใจขนาดนี้หรอ
หลีชิงเยียนนิ่งไปชั่วขณะ ในไม่ช้าก็กลับมามีสีหน้าปกติ มองไปยังเฉินเป่ย พูดจาประชด “ทำไม คุณยังมั่นใจว่าจะขายสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือ”
“มันง่ายมาก คอยดูผมก็แล้วกัน” เฉินเป่ยพูดเบาๆ และพูดเสริมว่า “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย มันจะดีกว่านี้มาก ถ้าผมขายมันได้ทั้งหมด!”
ฮะ!
ทันใดนั้นการแสดงออกของหลีชิงเยียนก็แข็งทื่อ มองไปที่เฉินเป่ยเหมือนเจอผีอย่างไรอย่างนั้น พูดหัวเราะเยาะ “คุณคิดว่าของพวกนี้คือผักกาดขาวหรือไง ที่จะขายได้ตามใจชอบ เดิมทีฉันก็ยังจะพอเชื่อใจคุณอยู่บ้าง ใครจะไปรู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังมัวแต่คุยโวโอ้อวดอยู่ที่นี่!”
“อีกสัปดาห์เดียวก็เห็นผล เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะคอยดูว่าคุณจะอธิบายอย่างไร” หลีชิงเยียนหันหลัง ก้าวขึ้นไปชั้นบน โดยปล่อยให้เสียงที่ดึงดูดนั้นดังก้องอยู่ในหูของเฉินเป่ย
เฉินเป่ยจ้องมองไปยังหลีชิงเยียน และมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะตรวจจับได้
………….
ในตอนนี้ บนชั้นสองของคฤหาสน์ ซูเหลยกำลังพิงหน้าต่างอยู่ และกดหมายเลขโทรศัพท์ของไอรีนซ้ำๆ แต่ก็ต่อไม่ติด
ซูเหลยขมวดคิ้ว เมื่อตอนเที่ยงไอรีนเพิ่งจะส่งข้อความมาให้เธอ กำลังรอให้เธอบอกข่าวดี แต่จนถึงตอนเย็น ไอรีนก็เหมือนหายไปจากโลก ซูเหลยก็ไม่ได้ข่าวคราวของไอรีนแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ซูเหลยก็เห็นใบหน้าของเฉินเป่ยพร้อมรอยยิ้มที่เหยียดหยาม ในใจก็นิ่งสงัด ความคิดหนึ่งก็โผล่ออกมาจากใจของซูเหลย
ซูเหลยหันหลังกลับ วิ่งออกจากห้องไป วิ่งไปยังบันไดชั้น ก็ได้พบกับเฉินเป่ยที่กำลังเดินขึ้นมา
“หยุดก่อน!” ซูเหลยส่งเสียงอย่างเย็นชา เฉินเป่ยจึงหยุดลงชั่วครู่ ซูเหลยถือโทรศัพท์มือถือของเธอและจ้องไปยังเฉินเป่ยอย่างระมัดระวัง ราวกับเห็นศัตรู!
“มีอะไรหรือ” เฉินเป่ยมองไปยังซูเหลย ด้วยสีหน้าที่สงบ
“คุณทำอะไรกับเธอ” ซูเหลยจ้องไปยังดวงตาอันลึกของเฉินเป่ย ทำให้เธอรู้สึกใจสั่นมากขึ้น!
“เธอหรือ ใครกัน” เฉินเป่ยผงะ ถามไปอย่างว่างเปล่า
“อย่ามาแกล้งโง่ คุณก็รู้ว่าฉันหมายถึงใคร” ซูเหลยกัดฟัน ตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดออกไป มีเพียงเฉินเป่ยเท่านั้นที่จะทำให้ไอรีนขาดการติดต่อได้
“มีผู้หญิงสามคนอยู่ในห้อง ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคุณหมายถึงใคร” เฉินเป่ยยักไหล่
“ไอรีน! คุณทำอะไรกับเธอกันแน่!”
ซูเหลยรู้สึกตึงเครียดไปทั้งร่าง มองไปยังเฉินเป่ยด้วยสายตาที่หวาดระแวง…ราวกับว่ากำลังมองไปยังเพชฌฆาตมือเปื้อนเลือด
“อ้อ เธอหรอกเหรอ” เฉินเป่ยผงะไป และพูดขึ้น “เมื่อตอนเที่ยงเธอกินข้าวอยู่กับผม และบอกผมว่าจะไปทำธุระ จากนั้นผมก็ไม่รู้แล้ว”
“คุณโกหก” ซูเหลยมีสีหน้าที่เย็นชา สัญชาตญาณเธอแรงมาก ว่าการหายตัวไปของไอรีน จะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยอย่างแน่นอน!
“คุณมีสิทธิอะไรมาว่าผมโกหก คุณไม่มีหลักฐานอะไรเลย ที่จะบ่งบอกว่าผมโกหก” เฉินเป่ยพูดอย่างใจเย็น “คุณกับไอรีนทำร้ายผมมาแล้วกี่ครั้ง ผมยังไม่ได้คิดบัญชีอะไรกับพวกคุณเลย ตอนนี้ คุณยังจะคิดทำอะไรอีก”
ทันทีที่เฉินเป่ยพูดเช่นนี้ ซูเหลยก็ถึงกับหนังศีรษะชา ดวงตาของเธอก็แสดงอาการตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ!
เฉินเป่ย เขารู้หมดทุกอย่าง!
ซูเหลยมองไปที่ดวงตาอันลึกล้ำของเฉินเป่ย ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที…และในตอนนี้ เฉินเป่ยก็พูดต่อไป “ไปทำงานของคุณให้ดีเถอะ ไอรีนปลอดภัยดี…”
เฉินเป่ยพูดจบ ก็เดินผ่านซูเหลยไป กลับไปยังห้องของตัวเอง ทิ้งให้ซูเหลยยืนอยู่ตรงบันไดอาคาร ใบหน้าสวยนั้นก็ซีดลงด้วยความประหลาดใจ สีหน้าเปลี่ยนไปไม่แน่นอน
คำพูดสั้นๆ ของเฉินเป่ย เพียงพอที่จะเปิดเผยสิ่งต่างๆ มากมาย ยิ่งซูเหลยคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร…สีหน้าของเธอก็ยิ่งดูไม่ได้ เฉินเป่ยไม่ได้จัดการง่ายอย่างที่คิด…แต่เธอกับไอรีน กลับพลิกล็อคอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมจนทำให้เธอตกใจ!
ถ้าเฉินเป่ยไม่ได้พูดสองสามคำนี้ ซูเหลยไม่มีวิธีจัดการกับซูเหลยจริง ๆ เธอไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถจะใช้เพียงสัญชาตญาณมาคาดเดาได้
ซูเหลยอ้าปากค้าง…เธอตอบสนองคืนมา เมื่อกี้นี้เป็นเพียงคำเตือนของเขา ให้เธอระวังตัวให้ดี!
ใบหน้าของเธอซีดเซียว ความรู้สึกไร้พลังเริ่มปรากฏขึ้นในใจ…หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พบว่า เธอไม่เคยเข้าใจเฉินเป่ยเลย!
…………
วันรุ่งขึ้น ไมบัคคันหนึ่งก็มาจอดตรงหน้าประตูอาคารตระกูลหลี หลีชิงเยียนไม่มีแม้แต่จะเหลือบมองเฉินเป่ย ก้าวออกจากรถอย่างเย็นชา แล้วเดินตรงไปยังอาคารตระกูลหลี
เฉินเป่ยมองไปยังหลีชิงเยียนอย่างไม่แยแส และซูเหลยก็ไม่ได้เดินตามหลีชิงเยียนออกจากรถในทันที และยังมองไปยังเฉินเป่ย พูดด้วยเสียงหนักแน่น “คุณเข้ามาในบ้านหลีมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
เฉินเป่ยมองไปยังซูเหลยผ่านกระจกมองหลัง และตอบเบาๆ “ก็เพื่อภรรยาของผมไง” ซูเหลยเหลือบไปมองเฉินเป่ย เธอจะไปเชื่อคำอธิบายที่ไร้น้ำหนักนี้ได้อย่างไร หลีชิงเยียนทำกับเฉินเป่ยแบบนี้ เฉินเป่ยจะอยู่บ้านหลีไปเพื่อเธอได้อย่างไรกัน!
หลังจากรถจอดสนิท เฉินเป่ยก็เหลือบไปมองเงาร่างที่งดงามเดินไปยังอาคาร ยกมุมปากขึ้น และรีบเดินตามไป
ทันทีที่เขาเดินเข้าไปในอาคารตระกูลหลี เฉินเป่ยเดินไปทางลิฟต์เพียงไม่กี่ก้าว น้ำเสียงที่กลับตาลปัตรก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“คนดังของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป เป็นแกนนำในการไม่ทำตามกฎหรือ”
เฉินเป่ยหยุดฝีเท้า หันมองไปรอบๆ มองเห็นแต่เพียงผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูทและรองเท้าหนัง เดินเข้ามายังเฉินเป่ย เขาถูกล้อมรอบไปด้วยพนักงานของตระกูลหลีหลายคน กำลังยิ้มให้เขา
ผู้ชายคนนี้ ก้าวมาราวกับบินมา พนักงานสาวสวยด้านข้าง เมื่อเห็นเขาแล้ว ต่างตกใจ!
“หวงเฟยมาแล้ว! รีบเข้ามาเร็วเข้า!”
“หวงเฟยเป็นลูกชายของประธานหวง ประธานหวงมีลูกคนเดียว แทบจะอดรนทนไม่ไหวที่จะเอาเข้าไว้ในกำมือ หวงเฟยมีประธานหวงคอยหนุนหลัง ไม่รู้ว่ามีคนในบริษัทที่สวยกี่คนแล้วที่ถูกเขาหลอกให้ขึ้นเตียง”
“ได้ยินมาว่าไม่เพียงแต่ลงมือกับสาวๆ ในบริษัทเท่านั้น แต่บุคคลภายนอกก็ไม่เว้น!”
“นั้นสิ ว่ากันว่าครูในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ก็ถูกเขาทำให้ท้อง และก็ถูกเขาเตะจนแท้งเลยนะ!
พนักงานที่กล้าหาญบางคนกระซิบกันอยู่ข้างหูเฉินเป่ย จนทำให้เขาต้องชายตามอง
หวงเฟยเดินไปหาเฉินเป่ย มองไปยังเฉินเป่ยแล้วพูดว่า เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย บริษัทมีกฎว่าอย่างไร”
“กฎของบริษัท กำหนดว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าบริษัท หากแต่งกายไม่เรียบร้อย” พนักงานที่อยู่ด้านหลังหวงเฟยกล่าวขึ้นมา หวงเฟยมองไปยังเฉินเป่ย ก้าวออกไปข้างหน้า ดึงเสื้อกั๊กที่เฉินเป่ยสวมใส่ มองไปยังรอยโหว่ แล้วหัวเราะเสียงดัง “นี่มันแฟชั่นอะไรกัน มีการเจาะรูด้วยสองสามรู!”
พนักงานที่ยืนอยู่ด้านหลังของหวงเฟย หัวเราะอย่างเย้ยหยัน เฉินเป่ยยังยืนนิ่งอยู่กับที่ มองไปยังเสื้อกั๊กตัวเก่าของตนเอง อย่างอ่อนโยนและสงบนิ่ง
โดยธรรมชาติแล้วหวงเฟยไม่รู้ ว่าเฉินเป่ยผ่านสมรภูมิมาแล้วเท่าไร เสื้อกั๊กที่เป็นรอยรูทุกรูกระสุน ล้วนแต่พิสูจน์ว่าการมีลูกกระสุนมาแตะต้องเฉินเป่ย! ทำให้เฉินเป่ยตกอยู่ในอันตราย!
“เพียะ!”
เสียงดังขึ้นอย่างคมชัด เฉินเป่ยมองไปยังหวงเฟย และพูดออกไปทีละคำ “ว่าผมว่าได้ แต่ว่าเสื้อผ้าไม่ได้!”
หวงเฟยกุมแก้มของเขา ดวงตาเบิกกว้าง เขาคุ้นเคยกับความหยิ่งผยองและครอบงำผู้อื่น จึงไม่เคยพบเจอสถานการณ์แบบนี้ อีกทั้งยังไม่เคยเห็นนิสัยแปลกๆอย่างเฉินเป่ย!