สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 266
บทที่266 ประธานนางฟ้าห่วงใยเป็นพิเศษ
ด้านข้าง ซูเหลยกอดหน้าอกไว้ ก้มหน้า แววตาเปล่งประกายไม่หยุด ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่บ้าง
ส่วนหลีชิงเยียนจ้องเฉินเป่ยด้วยดวงตาเย็นชา สีหน้าไม่ดีนัก
สำหรับเธอนั้น เฉินเป่ยได้เผยข้อพิรุธออกมาแล้ว เธอย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสทองนี้หลุดรอดไปแน่
ไม่แน่ว่าเธออาจสามารถหาสถานะที่แท้จริงของเฉินเป่ยได้
“ประธานหลี ด้วยความสามารถของคุณ ถ้าอยากได้แบล็กการ์ดใบนี้มา ไม่ใช่ทำได้อย่างง่ายดายเหรอ?” เฉินเป่ยหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ในน้ำเสียงพยายามใช้คำพูดที่ประจบประแจง เต็มไปด้วยความหมายที่เอาใจ
หลีชิงเยียนทำเสียงฮึดฮัด ถึงแม้เฉินเป่ยจะพูดจาน่าฟัง แต่ในใจเธอรู้ดีมาก อย่าว่าแต่เธอเลย ต่อให้หลีหยางออกหน้า ด้วยสถานะและตำแหน่งของหลีหยาง ล้วนยากจะได้รับมาสักใบหนึ่ง
ถึงหลีหยางจะเก่งกาจแค่ไหน ก็แค่อยู่ที่เมืองหู้ไห่ เทียบกับหัวเซี่ยที่ยิ่งใหญ่นั้น นักธุรกิจที่เก่งกาจกว่าหลีหยางมีมากมายเหลือเกิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่างประเทศที่กว้างขวางไร้ขอบเขต ทุกที่ของที่นั่นล้วนมีบุคคลชั้นยอดสารพัด เทียบกันกับพวกเขาแล้ว หลีหยางยังไม่ถือว่าดีเยี่ยม
อิทธิพลของสหภาพธนาคารยุโรปแพร่ขยายไปทั้งโลกต่างประเทศ แต่ละสถานที่และอิทธิพลมากมาย ล้วนมีร่องรอยเบื้องหลังของสหภาพธนาคารยุโรป
ธุรกิจชื่อดังที่ต่างประเทศมากมายต่างมีความสัมพันธ์กับสหภาพธนาคารยุโรปที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
ความสามารถของธนาคารยุโรปแกร่งมาก แบล็กการ์ดที่เขามอบให้แต่ละท่านล้วนไม่อาจเป็นคนไร้ชื่อเสียงของต่างประเทศเด็ดขาด
พวกเขามีบางส่วนที่เป็นบุคคลที่มีพลังอำนาจเหลือล้นในต่างประเทศ และตำแหน่งยิ่งใหญ่มาก
หากค้นหาบุคคลแบบนี้ให้ละเอียด จะพบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับธนาคารยุโรปอธิบายไม่ชัดเจนนัก เป็นความสัมพันธ์ที่ครุมเครือ
เพราะแบบนี้ หลีชิงเยียนจึงมองทางเฉินเป่ย ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความฉงน เธอไม่เชื่อว่าเฉินเป่ยจะมีความสามารถใหญ่แบบนี้?
จู่ๆ วันหนึ่ง มาบอกเธออย่างกะทันหันว่าเจ้าหนุ่มที่เป็นอันธพาลและเล่นแง่มากมายที่อยู่ข้างกายตนเองคนนี้ ความจริงแล้วเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ถือแบล็กการ์ดไว้ในมือ พูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง ใครจะไปเชื่อ?
ดวงตาหลีชิงเยียนจ้องเฉินเป่ยอยู่ พูดมาขนาดนี้ แต่ความสงสัยในสายตาของเธอยังคงไม่เลือนหายไป เธอไม่ได้เชื่อทั้งหมด เพียงแค่กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
………….
และเวลานี้ ด้านนอกโรงแรม กำลังมีรถอาวดี้สีดำหลายคันขับมาจากที่ไกลๆ ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆ จอดลงที่ข้างทาง
ในห้องโดยสารรถ เลขาฯ ที่ใส่แว่นตากรอบทองคนนั้นมองไปทางหน้าประตูโรงแรมอย่างสบายๆ ครู่หนึ่งพูดกับภาพเงาคนคนนั้นที่นั่งอยู่ด้านข้างว่า “ประธานจางครับ พวกเขาดื่มเหล้าอยู่ด้านในครับ”
จางเสี้ยวเทียนหันหน้า สายตาสาดไปทางด้านนอกหน้าต่าง หลังตกที่หน้าประตูโรงแรม ในดวงตาที่เรียบนิ่งของจางเสี้ยวเทียนคู่หนึ่งปรากฏความเย็นชาไร้อารมณ์ขึ้นฉับพลัน
เขาพยักหน้าแล้วตอบเสียง “อืม” นิ่งๆ ก่อนจะบอกว่า “คนมาพร้อมกันหมดรึยัง?”
“พร้อมแล้วครับ ที่เชิญมาเป็นซ่าหลัวที่กล้าหาญโหดเหี้ยมที่สุด ถนัดการต่อสู้ด้วยอาวุธที่สุดครับ” เลขาฯ ขยับๆ แว่นตากรอบทอง เผยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกขึ้นมา “ถึงแม้ข้างตัวพวกเขาจะมีบอดี้การ์ด ก็ยากที่จะสู้กับซ่าหลัวที่กุมอาวุธพวกนั้นครับ”
จางเสี้ยวเทียนพยักหน้า อิทธิพลใต้ดินของเยี่ยนจิงไม่ได้มากเท่าหู้ไห่ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี ดังนั้นจึงไม่ควรจะจู้จี้กับใครมากจนเกินไป…….กลับกันอิทธิพลใต้ดินของเยี่ยนจิงยังยิ่งใหญ่กว่าหู้ไห่อยู่มาก
อิทธิพลใต้ดินแต่ละแห่งล้วนมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เดิมทีคนทั่วไปมักไม่กล้าแตะต้องพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นซ่าหลัว ลือกันว่าพอซ่าหลัวออกมา ไม่เห็นเลือดไม่กลับ
นี่หมายความว่านายจ้างเหล่านั้นที่ให้ซ่าหลัวลงมือ ถึงแม้ซ่าหลัวไม่ได้ลงมือจัดการเรื่องราว ก็คงไม่ยอมเลิกราด้วยดี…….จำเป็นต้องได้เห็นเลือด
หลังจากซ่าหลัวปรากฏตัวที่เยี่ยนจิง อิทธิพลใต้ดินมากมายต่างตื่นตกใจ กระทั่งยังมีหลายครั้งที่กลุ่มอิทธิพลใต้ดินหลายกลุ่มรวมตัวอยากจะกำจัดทิ้งเพื่อจะได้มีความสุข…….ผลลัพธ์คืนวันหนึ่ง ซ่าหลัวกลับสังหารใหญ่กลุ่มอิทธิพลใต้ดินหลายกลุ่มเพียงชั่วข้ามคืน ถูกสังหารโหดทำลายทิ้ง
ลูกไม้โหดร้ายของซ่าหลัวนี้ ไม่เคยได้รับความสนใจและแรงกดดันจากเบื้องบน…….นี่จึงพอจะอธิบายได้ว่าเบื้องหลังของซ่าหลัวต้องไม่ธรรมดาแน่
สามารถพัฒนาอิทธิพลที่เยี่ยนจิงได้นั้น ยากลำบากกว่าที่หู้ไห่มาก คนที่สามารถเข้าร่วมกับซ่าหลัวได้ล้วนเป็นคนที่ไม่ยี่หระต่อความเป็นความตาย
จางเสี้ยวเทียนพยักหน้า ครั้งนี้เขาจ่ายเงินจำนวนมากไปเต็มๆ หนึ่งล้าน ต้องการให้ซ่าหลัวทำลายหลีชิงเยียนสามคนครอบครัวทิ้ง ที่จริงทำให้เขาปวดใจไม่น้อย
แต่จางเสี้ยวเทียนไม่ได้ลังเลสักนิดเดียว หลีชิงเยียนในฐานะประธานของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป และได้ยินว่าเป็นคนดังในวงการธุรกิจของหู้ไห่ สถานะของเธอมีค่าเพียงหนึ่งล้านที่ไหนกัน?
จางเสี้ยวเทียนใช้หนึ่งล้านนี้ ไม่เพียงกำจัดศัตรูทิ้ง ยังสามารถชำระความแค้นได้อีก ย่อมคุ้มค่ามากอยู่แล้ว
ข้างถนน วงจรปิดแต่ละตัวหลบรถอาวดี้ที่จอดอยู่ข้างทางพวกนี้ไปโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างราวกับรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
จางเสี้ยวเทียนพอใจมาก เลขาฯ ทุ่มเทสุดกำลังอย่างมาก เพื่อทำเรื่องสุดท้ายให้เขา
นึกถึงตรงนี้ จางเสี้ยวเทียนมองทางด้านนอกหน้าต่าง หน้าประตูโรงแรมที่ไม่ไกลนัก สีหน้าเลือนรางหนาวเย็นขึ้นมา
เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้นั่งตำแหน่งของประธาน เขาจะยอมทนโมโหแบบนี้ไปได้อย่างไร
“หนึ่งล้านนี้ ฉันอยากให้ตระกูลหลีเสียใจไปตลอดชีวิต!” จางเสี้ยวเทียนพึมพำกับตนเอง สีหน้าเผยรอยยิ้มที่มุ่งร้ายขึ้น
และเวลานี้ ที่ด้านหลังของรถอาวดี้สีดำคันนี้ รถยนต์ดำขลับเรียงกันยาวเหยียด จอดอยู่ข้างถนนเงียบๆ ในรถ เสียงลมหายใจที่แผ่วเบาจนใกล้จะโดนอากาศบดบัง ทั้งยังมีแรงอาฆาตที่เย็นยะเยือกลอยออกมา…….
รถยนต์ดำขลับเรียงแถวยาวนี้ราวกับเป็นมังกรโหดสีดำมืดตัวหนึ่ง เวลานี้รอคอยการปรากฏตัวของเหยื่ออยู่
และเวลานี้ ในห้องอาหารของโรงแรม หลีชิงเยียนฟังเฉินเป่ยพูดเหลวไหลไร้สาระมาสักพักแล้ว ผ่านการพูดหลอกลวงแบบน้ำลายฟุ้งกระจายของเฉินเป่ย คาดไม่ถึงทำให้หลีชิงเยียนเชื่อไปหลายระดับ
สายตาหลีชิงเยียนตกบนแบล็กการ์ดในมือเฉินเป่ย แบล็กการ์ดงดงามละเอียดอ่อน เดินลายขอบทองล้อมรอบทั้งสี่ด้านของแบล็กการ์ด ก่อรูปเป็นรูปแบบที่น่าประหลาดใจเต็มไปด้วยความรู้สึกงดงาม
สไตล์ของแบล็กการ์ดเต็มไปด้วยสไตล์ของทางตะวันตก แบล็กการ์ดในมือของเฉินเป่ยมีผิววัสดุที่เหมือนกับผลึกหินดำ วิบวับแพรวพราว
ดวงตาหลีชิงเยียนเปล่งประกาย แบล็กการ์ดชั้นยอดขนาดนี้ใบหนึ่ง คาดไม่ถึงปรากฏอยู่ในมือของเฉินเป่ย…….ทำให้ในใจหลีชิงเยียนยากจะสงบ
แม้แต่ตนเอง หลีหยาง เจ้านายใหญ่ที่เธอเคยเจอมา ล้วนไม่มีใครครอบครองแบล็กการ์ดอันทรงเกียรติที่มอบให้โดยสหภาพธนาคารยุโรปใบนี้
และมันกลับปรากฏตัวในมือของเฉินเป่ยในตอนนี้…….หลีชิงเยียนแค่รู้สึกสับสนครู่หนึ่ง ทุกอย่างนี้ช่างดูเพ้อฝันเหลือเกิน ทำให้เธอไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
หลีชิงเยียนบีบแบล็กการ์ดใบนี้ไว้โดยไม่รู้ตัว ลมหายใจเร่งรีบ ตามองมันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ฉันไม่สนว่านายจะปิดบังฉันมากแค่ไหน แต่ว่าต่อไปถ้าให้ฉันเห็นนายเอามันออกมาอีก……” หลีชิงเยียนยักคิ้วขึ้น สีหน้าเย็นชาทันใด “ฉันจะให้นายชดใช้แบบยากจะจินตนาการได้”
น้ำเสียงหลีชิงเยียนหนาวเย็นราวกับน้ำค้าง สีหน้าเธอจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้กำลังล้อเล่น
หลีชิงเยียนรู้อย่างชัดเจน เป็นของที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เคยเจอ ง่ายมากที่จะดึงดูดความฮือฮาที่เยี่ยนจิง และดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็นบางอย่าง
และความวุ่นวายทั้งหลาย ปกติมักจะเริ่มต้นขึ้นแบบนี้
เฉินเป่ยดูเหมือนกุมแบล็กการ์ดไว้ แต่ในความเป็นจริงก็คือระเบิดที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดขึ้นเมื่อไร โดยเฉพาะในใจหลีชิงเยียนค่อยๆ เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น ก่อนหน้านี้มีคนไม่น้อยรู้ว่าในมือเฉินเป่ยกุมแบล็กการ์ดไว้
หลีชิงเยียนปวดหัวครู่หนึ่ง เจ้าหมอนี้ดึงดูดความสนใจของคนมีแผนการบางส่วนมาครึ่งใหญ่
แต่เฉินเป่ยกลับยังคงสบายอกสบายใจขนาดนั้น เหมือนว่าเรื่องอะไรล้วนไม่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้
มองท่าทางของหลีชิงเยียนที่กลัดกลุ้มกังวลแทนเฉินเป่ย ในใจเฉินเป่ยผุดความอบอุ่นขึ้นมา มองทางหลีชิงเยียน แล้วพูดเสียงละมุน “ชิงเยียน ขอบคุณนะ เป็นห่วงผมขนาดนี้”
หลีชิงเยียนมึนงง ซูเหลยที่อยู่ด้านข้างเผยสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมาทันใด สองคนนี้นับวันยิ่งคลุมเครือ
“ใครเป็นห่วงนาย? ฉันแค่คิดว่าพวกเราจะไม่ต้องโดนนายทำลำบากไปด้วยเท่านั้นเอง” หลีชิงเยียนตอบกลับหน้าตาเย็นชา แต่มีเพียงเธอเองที่รู้ว่าเมื่อสักครู่ในใจของเธอเต้นเร็วมาก
“ไม่ต้องคิดอีกแล้ว พอเจอปัญหาก็มีทางไปเอง ไม่เกิดเรื่องหรอก” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ
ในความเป็นจริง สถานการณ์แบบนี้เฉินเป่ยจะไม่พิจารณาถึงได้อย่างไรกัน?
สีหน้าเฉินเป่ยสงบ มีเพียงดวงตาทั้งคู่ประกายความหมายที่ลึกล้ำผ่านไป
ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีอะไร ก็ใช้วิธีอย่างนั้นกลับไป ความยุ่งยากที่หลีชิงเยียนบอก เดิมทีเฉินเป่ยไม่ได้ใส่ใจสักนิด
แววตาเฉินเป่ยลุ่มลึกซับซ้อน……สิ่งที่เขาไม่กลัวมากที่สุดคือความยุ่งยาก ตอนนั้นอยู่ที่เยี่ยนจิงก่อสถานการณ์ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าคนประหลาดมากเท่าไรที่โดนเขาจัดการไปจนยับเยิน
ความวุ่นวายพวกนั้นที่หลีชิงเยียนพูดถึงในตอนนี้……ถือว่ามีอะไรเหรอ?
เพียงแต่ครั้งนั้นเขาเพียงตัวคนเดียว ตอนนี้ยังมีหลีชิงเยียนและซูเหลยอยู่ จึงทำให้ต้องกังวล
เมื่อมีความกังวลแล้ว นั่นก็คือมีจุดอ่อน เกรงว่าหลีชิงเยียนเองคงนึกไม่ถึงว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ราชาหลงที่ยโสโอหังสุดๆ จะมีคนมาหาเรื่องได้
“อาหารใกล้จะเย็นแล้ว กินเถอะๆ” ในเวลานี้ ซูเหลยพูดแทรกขึ้นกะทันหัน จึงสิ้นสุดบทสนทนาที่น่าอึดอัดนี้ลง
มุมปากเฉินเป่ยมีความหมายเล่นแง่ขึ้น พยักๆ หน้า หั่นสเต๊กเนื้อชิ้นหนึ่ง วางเข้าไปในจานของหลีชิงเยียน
“สเต๊กเนื้อไม่มีกระดูกสมัยนี้ เนื้อสัมผัสไม่ไหวเลย” เฉินเป่ยส่ายหน้า พูดทอดถอนใจ
หลีชิงเยียนเงยหน้า พูดอย่างหงุดหงิด “พูดเหมือนว่านายเคยกินสเต๊กเนื้อชั้นดีอย่างนั้นแหละ”
เฉินเป่ยหัวเราะนิดหน่อย สเต๊กเนื้อชั้นดี เขาย่อมเคยกิน เทียบกับเนื้อไร้กระดูก……เขายิ่งชอบเนื้อวัวโกเบของประเทศตี้กั๋วที่พอจะเรียกได้ว่าเด็ดมาก
หลังทานอาหารอิ่ม ทั้งสามคนคิดว่าจะเดินเล่นรอบโรงแรม ออกกำลังย่อยอาหาร
และวินาทีที่พวกเขาเดินออกมาจากห้องอาหารหรูนั้น ในห้องอาหารหลายแห่งของโรงแรมนี้ก็ได้รับข่าวในขณะเดียวกัน
“คุณผู้ชาย คนหัวเซี่ยนั้นเดินออกจากห้องอาหารแล้วครับ”
“ทอม นี่คือโอกาสดีของพวกเรา จะปล่อยไปไม่ได้”
“แจ็ค ผู้ครอบครองแบล็กการ์ดลำดับหนึ่ง ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดาเด็ดขาด พวกเราจำเป็นต้องคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ ครั้งนี้สำคัญอย่างยิ่ง”
แต่ละห้องอาหารเปิดประตูออกตามๆ กัน ภาพเงาคนแต่ละคนเดินออกจากด้านใน
“ผู้มีอิทธิพลคนอื่นๆ ก็กำลังเคลื่อนไหวที่จะก่อการร้าย พวกเราต้องรีบหาพวกเขากัน” ภาพเงาหลายคนนั้นที่มาจากลุ่มอิทธิพลทิศตะวันตกต่างพึมพำ พวกเขาล้วนเดาเป้าหมายและการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้
พวกเราสงสัยว่าสรุปเป็นใครที่ครอบครองแบล็กการ์ดลำดับหนึ่ง พวกเขาอยากค้นสถานะออกมา แล้วถือโอกาสนี้ตีสนิท
เวลานี้การคาดเดาที่พวกเขามีต่อเฉินเป่ยยังหยุดที่เฉินเป่ยมีสถานะของตระกูลโบราณบางที่ หรือเป็นชาวโพ้นทะเลที่กำลังเหลือล้นสักคน ที่ไม่ใช่คนหัวเซี่ย
และหลังจากที่พวกเขารีบร้อนเดินออกจากโรงแรม กลับคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะต้องเจอเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกคาดคิดไม่ถึงฉากหนึ่ง