สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 267
บทที่267 เหตุการณ์ประหลาด!
หลีชิงเยียนทั้งสามคนพึ่งเดินออกจากโรงแรม ในรถอาวดี้คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ที่ถนนไม่ไกลนัก ดวงตาคู่หนึ่งของจางเสี้ยวเทียนแข็งตัวฉับพลัน
สายตาของเขาจ้องที่หน้าประตูโรงแรมไม่กะพริบ ทั้งตัวเขาสีหน้าเปลี่ยนไปหมด เขามองเห็นหลีชิงเยียนและเฉินเป่ยแล้ว ในชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่ลืมสองคนนี้ตลอดกาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินเป่ย ความอันธพาลบนหน้านั้นทำให้เขาชะงักไปนิดหน่อย ในดวงตาคู่หนึ่งมีแรงอาฆาตที่ราวกับดาบติดขัดอยู่
จางเสี้ยวเทียนกัดฟันกรอดๆ กุมหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น ทั้งตัวเขากำลังสั่นเทา นั่นคือความแค้นเคืองและฮึกเหิมที่ไม่มีทางควบคุมได้
เขารอเวลานี้มานานมากแล้ว
“ชายโฉดหญิงชั่ว ฉันจะให้พวกแกได้รับรู้ความเจ็บปวดของฉันร้อยเท่า!” จางเสี้ยวเทียนกัดฟันพึมพำ ส่วนเลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยปาก “ประธานจางครับ เหยื่อปรากฏตัวแล้ว จะให้…….”
“ลงมือ!” ไม่รอให้เลขาฯ พูดจบ จางเสี้ยวเทียนออกคำสั่งเสียงดุ
“ครับ” เลขาฯ พยักหน้า มองทางด้านหลังรถอาวดี้ รถยนต์ดำขลับที่เรียงตัวยาวแถวนั้น ภายใต้ฉากยามค่ำที่ล้ำลึก เห็นเพียงเค้าโครงของพวกมันแบบเลือนราง
เมื่อมองไปที่ไกลๆ รถยนต์พวกนี้ราวกับกลายเป็นสัตว์ดุร้ายแต่ละตัว เงาดำที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว
และในเวลานี้ ฝีเท้าเฉินเป่ยหยุดชะงัก ภายในใจสั่นไหวเล็กน้อย
เฉินเป่ยเงยหน้า ภายใต้สายตาที่สงบนิ่งปรากฏความสงสัยลุ่มลึกขึ้นฉับพลัน…….
“ทำไมไม่เดินแล้วล่ะ?” ฝีเท้าหลีชิงเยียนช้าลง หันหน้ามองทางเฉินเป่ย
เฉินเป่ยหรี่ดวงตาทั้งคู่ขึ้น คลำบุหรี่มวนหนึ่งออกมา หรี่ดวงตาอยู่ มองไปรอบด้าน
ทันใดนั้นสายตาของเขาจับจ้องไปบนรถยนต์สีดำที่จอดเรียงแถวยาวอยู่ข้างถนนนั้น แม้ว่าซูเหลยจะสังเกตเห็นได้ยาก แต่สายตาของเขากลับมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ความหนาวเย็นดุเดือดปรากฏขึ้นในสายตาของเขาอย่างฉับพลัน
แววตาของเขาดุเดือด ราวกับมีพลังเจาะทะลุ พอมองก็ดูรถยนต์พวกนี้ทั้งหมดออก
วินาทีนั้นจางเสี้ยวเทียนที่นั่งอยู่ในรถสะดุ้ง เขานึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเฉินเป่ยจะมองมาทางรถคันนี้กะทันหัน เหมือนมองเขามาตรงๆ ทำให้รู้สึกผวาจนสับสน
โดยเฉพาะสายตานั้นของเฉินเป่ย ทำให้จางเสี้ยวเทียนยากจะสงบนิ่ง
จางเสี้ยวเทียนจ้องเฉินเป่ยตาเขม็ง เขาจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างชัดเจน ลูกตาของเขา เวลานี้เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มองทางเฉินเป่ย ดวงตาทั้งคู่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น
ทั้งตัวจางเสี้ยวเทียนกลั้นลมหายใจไว้ บนตัวเฉินเป่ยมีความแปลกประหลาดและความลับที่พูดไม่ถูกมากเหลือเกิน ผู้ชายคนนี้ดูค่อนข้างลึกลับ
ไม่เพียงแค่นี้ แค่สายตาปะทะกันเมื่อสักครู่ ก็ทำให้จางเสี้ยวเทียนรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างน่าประหลาดใจ
ขณะนี้ในใจจางเสี้ยวเทียนสั่นอย่างแรงเล็กน้อย เพราะมุมปากของเฉินเป่ยยกเส้นรัศมีวงกลมขึ้นฉับพลัน
“นายจะทำอะไรกัน?” หลีชิงเยียนมองทางเฉินเป่ย เห็นเฉินเป่ยไม่สนใจตนเอง ดวงตาจึงเพิ่มความโกรธเคืองขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ถอยหลัง” เฉินเป่ยเอ่ยปากกะทันหัน
“ถอยหลัง? ถอยหลังอะไร?” หลีชิงเยียนมึนงง เธอไม่เข้าใจคำพูดนี้เฉินเป่ยว่าหมายความว่าอะไร
และซูเหลยที่เงียบนิ่งไม่พูดจาที่อยู่ด้านข้างมองทางเฉินเป่ย แววตาประกายความซับซ้อน…….ตนเองไม่ได้รู้สึกถึงอะไรขึ้นมาเลย หรือว่าเจ้าหมอนี้รู้สึกอะไรขึ้นได้เหรอ?
“พวกเราโดนล้อมไว้หมดแล้ว” เฉินเป่ยคลำบุหรี่ออกมา หลังจุดไฟ ดูดไปทีหนึ่ง จึงค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา
“นายประสาทรึไง? บ้าไปแล้ว” หลีชิงเยียนมองดูรอบด้าน มองเฉินเป่ยด้วยหน้าตาแปลกใจ สีหน้าเธอค่อยๆ เย็นยะเยือกลงมา “พูดจาไร้สาระ นายอยากทำอะไรกันแน่!”
บางทีก็เป็นหลีชิงเยียนที่ยิ่งพูดยิ่งอารมณ์ขึ้น เธอคว้ามือของซูเหลยมา บอกว่า “เขาไม่ไป งั้นพวกเราไปเอง!”
หลีชิงเยียนพึ่งจับมือของซูเหลย ทันใดนั้นรถอาวดี้ที่จอดอยู่ข้างถนนก็สตาร์ทรถดังกระหึ่มขึ้นหมด คำรามเสียงสะเทือนเลือนลั่นแก้วหู
“บรื้นๆๆ!”
ตามมาด้วยไฟหน้ารถอาวดี้พวกนี้ที่เปิดสว่างทั้งหมด ทำให้หลีชิงเยียนสีหน้าเปลี่ยน
ส่วนซูเหลยอดมองเฉินเป่ยไปอีกไม่ได้ เหมือนตื่นตกใจที่คำพูดทั้งหมดของเฉินเป่ยกลายเป็นเรื่องจริง
เฉินเป่ยพ่นควันบุหรี่ออกมาช้าๆ สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยอย่างยิ่ง มีเพียงสายตาของเขาที่ลุ่มลึกเหลือเกิน
รถยนต์ค่อยๆ สตาร์ทขึ้น เครื่องยนต์คำรามเสียงกระหึ่ม ไม่นานรถยนต์ก็พุ่งเข้ามาแล้ว และไม่ได้ชนไปที่ตัวหลีชิงเยียน แต่ว่าปิดเส้นทางถอยหนีของหลีชิงเยียนไว้หมด แม้กระทั่งหน้าประตูโรงแรมก็ดักไว้ด้วย ไม่มีรอยรั่วเลยสักนิด
ซูเหลยสีหน้าอึมครึมลงมา แค่มองก็รู้ว่าเป็นการวางหมากที่ตั้งใจเตรียมการมาพร้อม
“ทำยังไงดี?” หลีชิงเยียนจับมือซูเหลยไว้ ใบหน้างดงามซีดขาว ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด จะว่าอย่างไรเธอก็เป็นแค่นางฟ้าในวงการธุรกิจคนหนึ่ง แถมยังเป็นคนธรรมดา ไม่เหมือนซูเหลยที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมามากมาย จึงสามารถรักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ตลอด
ซูเหลยอดไม่ไหวมองเฉินเป่ยไปหลายรอบ พอมองแบบนี้ยิ่งทำให้หลีชิงเยียนร้อนใจ บอกว่า “เธอยังจะมองเขาทำอะไรกัน เขาเป็นผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง พอมีอันตรายก็วิ่งหนีเร็วกว่าใครทั้งหมดแล้ว” หลีชิงเยียนเอ่ยปากเสียงรีบร้อน
พอซูเหลยมอง หล่อนมองเฉินเป่ยที่นิ่งเฉยอย่างลึกลงไปทีหนึ่ง หมดคำจะพูดอยู่บ้าง ลูกชายอกสามศอกคนหนึ่ง คาดไม่ถึงจะทิ้งผู้หญิงไว้ที่นี่แล้วหนีไปเองอย่างนั้นเหรอ?
ซูเหลยไม่อยากเชื่อ นี่คือสิ่งที่เฉินเป่ยบอกว่าจะไม่ทำร้ายหลีชิงเยียน นี่คือผู้ชายคนนั้นที่พูดคุยกับตนเองในห้องทำงานจริงเหรอ?
เขาในตอนนี้ไม่มีอะไรที่แตกต่างกับพวกนักเลงหัวไม้ที่รังแกคนอ่อนแอกลัวคนเหนือกว่าเลย
อาวดี้แต่ละคันหยุดลงมา ล้อมรอบหลีชิงเยียนและซูเหลยไว้ แสงไฟนับไม่ถ้วนที่จ้าตามากสาดส่องมาที่หลีชิงเยียน ทำให้เธอเกือบจะลืมตาไม่ขึ้น
สถานการณ์ของซูเหลยดีกว่าหลีชิงเยียนอยู่หน่อย เวลานี้หล่อนสีหน้าหนักหน่วง ประตูรถเปิดออก ผู้ชายที่หน้าตาดุร้ายแต่ละคนเดินลงมาจากบนรถ
พวกเขาแต่ละคนล้วนแพร่กระจายวิญญาณชั่วร้ายที่น่าตกใจออกมา ทั่วตัวราวกับสักชูราที่มีชีวิตไว้ ในมือกุมมีดที่หนาและหนักเอาไว้ แววตาประกายเจตนาฆ่าอันเยือกเย็นอย่างโจ่งแจ้ง
ภาพเงาแต่ละคนทยอยปรากฏตัวขึ้น จัดรูปแบบเป็นวงกลมล้อมรอบ มองหลีชิงเยียนทั้งสามคนอย่างเย็นชา มีดที่อยู่ในมือหนาและหนักขนาดนั้น ราวกับสามารถฟันที่ว่างในอากาศออกได้
หลีชิงเยียนใบหน้าซีดเซียว เธอถูกซูเหลยพยุงเอาไว้ เธอกวาดตามองคนพวกนี้ทีหนึ่ง จิตใจอึมครึม เกือบจะตัดสินใจออกมาว่าคนพวกนี้หาเรื่องไม่ได้เด็ดขาด
หรือว่าเป็นอิทธิพลใต้ดินในตำนานของเยี่ยนจิงหรือเปล่า?
หลีชิงเยียนเคยได้ยินเกี่ยวกับอิทธิพลใต้ดินของเยี่ยนจิง เพราะหลากหลายสาเหตุ อิทธิพลใต้ดินใดๆ ที่มีตัวตนในเยี่ยนจิง ความสามารถแกร่งจนน่ากลัว แต่ละคนเกิดมาเพื่อหลั่งเลือด ไม่สามารถหยุดยั้งได้
หลีชิงเยียนไม่เข้าใจว่าตนเองไปผิดใจอิทธิพลใต้ดินกลุ่มนี้ได้อย่างไร
หรือเป็นเพราะสาเหตุของคนเลวนั้น? ในใจหลีชิงเยียนไม่ได้รับความเป็นธรรมครู่หนึ่ง เธอไม่เข้าใจ ทำไมขอเพียงมีเจ้าหมอนี้อยู่ ตนเองถึงเจอเรื่องไม่ดีล่ะ?
มองเห็นภาพเงาคนกลุ่มนี้ที่แพร่วิญญาณร้ายน่าตกใจออกมา ใบหน้าหลีชิงเยียนยิ่งซีดเผือด ขาทั้งสองกำลังอ่อนแรง
เธอแน่ใจว่ามือทั้งคู่ของคนกลุ่มนี้เปื้อนเลือดสดเต็มไปหมด จากบนตัวของคนเหล่านี้ เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือด ซึ่งทำให้เธอสยองขวัญ
บรรยากาศเงียบสงบ แม้แต่ที่ว่างในอากาศยังสามารถได้ยินเสียงสั่นไหวเบาๆ เนื่องจากลมพัดมา เฉินเป่ยดูดบุหรี่ไว้ สีหน้าเรียบเฉยยืนอยู่ที่เดิม เหมือนไม่กังวลสักนิด ทั้งยังสังเกตไปทุกที่อีก
หน้าประตูโรงแรม ภาพคนเหล่านั้นที่พึ่งเดินออกมาถูกรถยนต์ดักทางกลับเข้าไป เฉินเป่ยที่มองไปไกลๆ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปขบคิดขึ้นมา
“น่าสนุก ในสถานการณ์แบบนี้ เขายังรักษาความนิ่งไว้ได้ ไม่ธรรมดาเลย” คนตะวันตกที่ชื่อทอมบ่นพึมพำกับตนเอง
“ดูแล้วเขาคงเป็นผู้ครอบครองแบล็กการ์ดลำดับหนึ่งจริง ที่กันดารอย่างนี้ ยังให้กำเนิดบุคคลแบบนี้ได้ ทำให้ฉันแปลกใจมากจริงๆ”
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวสักพักพวกเราค่อยเข้าไป ฉันอยากดูหน่อย ผลสรุปของเรื่องจะเป็นยังไง?”
ภาพเงาคนที่มาจากทิศตะวันตกแต่ละคนค่อยๆ พูดคุยถกเถียง ต่างฝ่ายต่างคาดเดาผลลัพธ์กันอยู่
และเวลานี้ จางเสี้ยวเทียนที่นั่งอยู่ในรถมองเห็นท่าทางนี้ของหลีชิงเยียน มุมปากฉีกรอยยิ้มหนาวเย็นขึ้นแล้ว
“ต่อให้แกจะสูงส่งแค่ไหน เจอกับคนพวกนี้ เดาว่าต้องฉี่ราดกางเกงแน่”
เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างดึงแชมเปญขวดหนึ่งออกจากตรงกลางที่นั่งระหว่างสองคน เพื่อเทเหล้าให้จางเสี้ยวเทียน ก่อนจะยื่นไปให้จางเสี้ยวเทียนแล้วบอกว่า “ประธานจางครับ การแก้แค้นครั้งนี้ของท่านช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกินครับ เหลือเงามืดไว้ให้หลีชิงเยียนแน่นอนครับ”
“เงามืด?” มุมปากจางเสี้ยวเทียนยกความหมายยั่วเย้าที่เหยียดหยามขึ้น “ถ้าเหลือเงามืดให้พวกเขา ฉันจะต้องจ่ายหนึ่งล้านไปทำไมกัน?”
สีหน้าเลขาฯ อึ้ง “ประธานจาง ความหมายของท่านคือ……”
จางเสี้ยวเทียนหัวเราะเยาะฮาๆ “ฉันอยากให้หล่อนกลายเป็นของเล่นฉัน ฉันต้องการให้หล่อนชดใช้คืนร้อยเท่า!”
เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างจางเสี้ยวเทียนอดสั่นด้วยความกลัวไม่ได้ ขนด้านหลังลุกซู่ขึ้นมา
“สำหรับไอ้หนุ่มคนนั้น…….หน้าบ้านฉันยังขาดหมาตัวหนึ่ง ยกให้มันแล้วกัน” จางเสี้ยวเทียนพูดนิ่งๆ “พอมาเป็นแบบนี้ หนึ่งล้านที่ฉันจ่ายไป ถึงเรียกว่าคุ้มค่า”
เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าแข็งทื่อ เหงื่อตกทันที
………….
ทันใดนั้นในภาพเงาของพวกที่หน้าดุร้ายนี้ หลบทางเส้นหนึ่งให้เองโดยฉับพลัน ชายกำยำที่ความสูงหนึ่งเมตรเก้าสิบ ราวกับภูเขาลูกเล็กค่อยๆ เดินมาถึงตรงหน้าของหลีชิงเยียน
กล้ามเนื้อบนตัวชายกำยำนับไม่ถ้วน แต่ละก้อนล้วนมีรอยสักนับมากมายอยู่ ดูขึ้นมาเหมือนร้ายกาจโหดเหี้ยม ทำให้คนไม่มีทางกล้ามองตรงๆ ได้
ชายล่ำสันเดินมาถึงด้านหน้าหลีชิงเยียน สีหน้าลุ่มลึกฉับพลัน ภายใต้แว่นตาดำที่มืดมิดราวกับหมึกคู่นั้น คล้ายกับมีคาวเลือดทะลุออกมาเลย
“เธอคือหลีชิงเยียน?” ชายล่ำสันค่อยๆ เอ่ยปาก คำพูดแต่ละคำสั่นสะเทือนอากาศ นำแรงกดดันใหญ่หลวงมามอบให้คนอื่น
“ฉันเอง” หลีชิงเยียนกัดฟันแน่น ฝืนบังคับไม่ให้ขาทั้งสองไม่อ่อนแรงอีก ดวงตามองทางชายล่ำสัน แล้วพยักๆ หน้า
วินาทีนั้น หลีชิงเยียนควบคุมแรงกดดันที่มาจากชายกำยำได้ ดวงตางดงามเต็มไปด้วยความหมายที่แน่วแน่ ร่างกายอ่อนช้อยของเธอนั้น วินาทีนี้ราวกับมีพลังมหาศาลเติมมาอย่างไม่มีมูล ทำให้เธอครอบครองความมั่นใจที่ไม่ก้มหัวให้อีกแล้ว
ชายกำยำจ้องมองหลีชิงเยียนอยู่ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมุมปากชายกำยำก็ฉีกรอยยิ้มเหี้ยมโหดดุร้ายขึ้น เขายื่นมือใหญ่ราวกับพัดจากใบปาล์มออก โบกเข้าไปทางใบหน้าสง่างามใบนั้นของหลีชิงเยียน
สำหรับเขาแล้ว ถึงผู้หญิงจะสวยสดงดงามแค่ไหน ก็เป็นแค่ของเล่นของผู้ชายโดยธรรมชาติ
ในเวลานี้ ซูเหลยที่กอดหลีชิงเยียนไว้เอียงตัวเล็กน้อย ขยับพาหลีชิงเยียนหลบฝ่ามือนั้นของชายล่ำสัน
และเฉินเป่ยที่ดูดบุหรี่อยู่ มองเห็นฉากนี้เข้าแล้ว ดวงตาที่สงบเพิ่มความเย็นขึ้นทันใด
เขาคลายก้นบุหรี่ออก ก้นบุหรี่ในปากเขายิงออกไปอย่างคาดไม่ถึง ชั่วพริบตาเดียวทะลุแว่นตาดำของชายล่ำสันคนนั้น
หลีชิงเยียนมองไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ซูเหลยมองเห็นชัดแจ๋ว
ซูเหลยหันหน้าทันที มองทางที่เฉินเป่ยยืนอยู่เมื่อสักครู่
แววตาของหล่อนเปล่งประกายไม่หยุด เหมือนจับเบาะแสสำคัญบางอย่างไว้ได้
แต่เฉินเป่ยหายตัวจากที่เดิมแล้ว ไม่รู้ไปทางไหนกัน