สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 273
บทที่273 เปิดโปงสถานะ!
ซูเหลยจ้องมองรถอาวดี้ที่หายไปอยู่ตั้งนาน ทันใดนั้นถึงได้สติกลับมา
หล่อนก้มหน้ามองนิดหน่อย เลือดสดทั้งตัว หล่อนส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นหมุนตัวเดินไปทางหลีชิงเยียนทีละก้าว
หลีชิงเยียนเห็นว่ากำจัดอันตรายเสร็จ ในที่สุดก็ไม่สนใจผมยาวยุ่งเหยิง มองตนเองขึ้นมาดูกระเซอะกระเซิงอย่างสุดจะทน เธอใส่รองเท้าส้นสูงคู่นั้น ออกแรงสุดกำลัง พุ่งเข้าไปหาซูเหลย
“ประธานหลี อย่าเข้ามา” ซูเหลยเอ่ยปาก หล่อนอยากเตือนหลีชิงเยียน ตรงนี้ทุกที่ล้วนเป็นศพมากมายและกองเลือดนอง จึงบอกให้หลีชิงเยียนไม่ต้องเข้าใกล้
แต่หลีชิงเยียนพุ่งเข้าไปตรงหน้าของซูเหลยอย่างไม่สนใจอันตราย กอดซูเหลยเอาไว้ ไม่สนใจว่ามือเรียวเล็กและขาวเนียนของตนเองจะเปื้อนเลือดสดเข้าแล้ว
“ประธานหลี อย่าแตะฉัน” ซูเหลยตอบสนองกลับมาทันที หลีชิงเยียนรักสะอาด หล่อนหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ
“ไม่” หลีชิงเยียนกุมมือของซูเหลยเอาไว้ ส่ายๆ หน้า ในดวงตาเผยความหมายที่แน่วแน่ออกมา
ซูเหลยมองทางหลีชิงเยียน ในสายตาเผยความสับสนออกมาโดยสัญชาตญาณ
แต่ไม่นานหล่อนก็มีปฏิกิริยาเข้ามาแล้ว หลีชิงเยียนกำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของหล่อน ถึงได้ทำแบบนี้
“ประธานหลี คุณไม่เป็นไรนะคะ?” หลังโอบกอดอยู่สักพัก ซูเหลยจึงสังเกตดูหลีชิงเยียนสักหน่อย ถามด้วยความห่วงใย
“ฉันไม่บาดเจ็บ แต่ว่าเธอ……” หลีชิงเยียนพูดอย่างจิตใจกระสับกระส่าย
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ พวกนี้ไม่ใช่เลือดของฉัน” ซูเหลยส่ายๆ หน้า พูดอธิบาย
หลีชิงเยียนชำเลืองมองศพที่จมกองเลือดบนพื้นพวกนี้ทีหนึ่ง ใบหน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเครืออยู่นิดๆ ถามว่า “คนพวกนี้……สรุปเป็นใครกัน?”
ซูเหลยก้มหน้ามองทีหนึ่ง ลายสักที่ดุร้ายบนศพ ผีห่าซาตานทั้งหลาย……ทั้งยังมีมีดยาวที่วิญญาณชั่วร้ายพุ่งทะยานแต่ละเล่มนั้น ซูเหลยที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนก็วินิจฉัยออกมาได้ในแวบหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “อิทธิพลใต้ดินของที่เยี่ยนจิง น่าจะไม่ใช่คนหู้ไห่……เพียงแต่ไม่รู้ทำไมถึงมาจ้องพวกเรา”
“พวกเราพึ่งมาถึงเยี่ยนจิง ทำไมถึงไปเกี่ยวข้องกับอิทธิพลใต้ดินของที่นี่ได้ล่ะ?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วแอบพูดในใจ ทันใดนั้นในใจเธอสั่นไหว นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง……ชั่วขณะนั้นทำให้ดวงตาเธอมีความซับซ้อนปรากฏขึ้น
หรือว่าเป็น…….คนตระกูลเดียวกัน?
หลีชิงเยียนอดนึกย้อนความจำในอดีตขึ้นไม่ได้……ความทรงจำที่เมื่อหลายปีก่อนที่เกือบลืมไปแล้ว ค่อยๆ ปรากฏขึ้น……
“ประธานหลี คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” ซูเหลยเห็นร่างกายหลีชิงเยียนสั่นเทา ดวงตางดงามประกายแสงที่แปลกประหลาด จึงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ดึงหลีชิงเยียนออกมาจากความทรงจำทันใด
หลีชิงเยียนได้สติกลับ ส่ายๆ หน้า สีหน้าเพิ่มความเศร้าหมองและซับซ้อนขึ้น ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร”
เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งอิทธิพลใต้ดินพวกนี้มา แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะมีเพียงคนกลุ่มนั้นถึงจะจ้างคนมาฆ่าตนเองได้……เพราะสำหรับคนพวกนั้นแล้ว ตนเองถือเป็นคนชั้นต่ำของตระกูล ไม่ควรมีชีวิตต่อไป
ถึงแม้สาเหตุจะเพราะหลีหง ตระกูลหลีถึงไม่กล้าลงมือต่อหลีชิงเยียน แต่มักจะมีคนที่ในใจเคียดแค้นดูถูก ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง
ถ้าไม่ใช่ซูเหลย ตนเองคงโดนทำลายตายไปตั้งนานแล้ว
“นึกไม่ถึงว่าอิทธิพลใต้ดินของเยี่ยนจิงจะแกร่งขนาดนี้ แค่สาขาหนึ่งก็เกินคาดของฉันแล้ว” ซูเหลยพูดทอดถอนใจ “ถ้าเป็นสำนักใหญ่ งั้นพวกเราอาจจะจมสู่วิกฤตเข้าจริงๆ ……”
“ไม่หรอก” เสียงของซูเหลยพึ่งจบ หลีชิงเยียนเอ่ยปากกะทันหัน ซูเหลยหันหน้า มองทางหลีชิงเยียน เห็นเพียงหลีชิงเยียนสีหน้าสงบ บอกว่า “ช่วงเวลาสำคัญแต่ละครั้งเขาจะปรากฏตัวขึ้น”
ส่วนซูเหลยตอนที่มองเห็นหลีชิงเยียนพูดถึงเขาเผยท่าทางประหลาดใจ ในใจอดสั่นไม่ได้ ก่อนจะแอบถอนหายใจ
หล่อนย่อมมองเห็นภาพเงาคนคนนั้นที่หลีชิงเยียนพูดถึง เพียงแต่ว่าเทียบกับหลีชิงเยียนที่มองเห็นจากที่ไกลๆ ซูเหลยที่มองดูระยะใกล้ ยังมองได้แจ่มชัดมากกว่า
ซูเหลยมองเห็นอย่างชัดแจ๋ว ภาพเงาคนนั้นทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคย…….โดยเฉพาะภาพด้านหลัง แม้กระทั่งมีบางครั้งซูเหลยยังจำผิดง่ายดายมาก
ยังเป็นใครได้ ภาพเงาคนนั้นช่างเหมือนเฉินเป่ยเหลือเกิน
ซูเหลยอ้าๆ ปาก อยากพูดแต่ก็หยุดไป ท้ายสุดไม่ได้พูดอะไร หล่อนเพียงแค่สงสัยและไม่แน่ใจว่านั่นคือเฉินเป่ย
ทั้งสองคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นออร่าหรือว่าฝีมือ และการสังหารหมู่ในวันนี้ช่างแตกต่างราวฟ้ากับดิน เดิมทีไม่ใช่คนเดียวกันแน่นอน
ซูเหลยแอบถอนหายใจเงียบๆ หล่อนยังคงสงสัยต่อเฉินเป่ย หล่อนไม่มีหลักฐานชัดแจ้งตั้งแต่ต้นจนจบ ที่จะพิสูจน์สถานะของเฉินเป่ย
ไม่เพียงแค่นี้ หลังผ่านการโจมตีของเฉินเป่ย ซูเหลยก็ไม่กล้าไปตรวจสอบเฉินเป่ยอีกแล้ว
ความลึกลับของเฉินเป่ยยากหยั่งถึง ทำเอาซูเหลยหวาดผวาแล้ว
“พวกนี้จะจัดการยังไง?” หลีชิงเยียนก้มหน้า มองกองเลือดและศพมากมายที่เป็นวงใหญ่ ใบหน้าซีดขาวขึ้นมา ในใจนึกหวาดกลัว
ถึงแม้เตรียมใจมาแล้ว และเคยเจอเหตุการณ์รบราฆ่าฟันมาสองสามครั้ง แต่ตอนที่มองเห็นฉากนองเลือดที่เหมือนนรกในโลกมนุษย์อีกครั้ง หลีชิงเยียนยังคงหนาวเหน็บในก้นบึ้งหัวใจ กลัวอย่างมาก
“ฉันจะไปโทรศัพท์ไม่เปิดเผยชื่อ ให้ตำรวจท้องถิ่นของเยี่ยนจิงเข้ามาจัดการ” ซูเหลยพูดขึ้น
หลีชิงเยียนพยักหน้า จิตใจรุ่มร้อนกระสับกระส่าย “ระวังหน่อยนะ”
หลีชิงเยียนเป็นห่วง ซูเหลยโทรศัพท์ไม่เปิดเผยชื่อ อาจจะโดนทางตำรวจจับเบาะแสได้
“วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” ซูเหลยยิ้มอ่อนๆ หล่อนในฐานะทีมรบพิเศษหัวเซี่ย โทรศัพท์อำพรางชื่อสายนี้เป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก ทางตำรวจไม่อาจหาหล่อนเจอแน่
หล่อนจัดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพื้นที่เล็กน้อย ถึงเวลาที่ทางตำรวจเยี่ยนจิงมา เดิมทีจากในเบาะแส ไม่มีทางที่จะหาซูเหลยกับหลีชิงเยียนออกมาได้เลย
ทั้งสองกลับมาในห้องที่โรงแรม หลีชิงเยียนนั่งลงบนเตียง ขมวดคิ้วแน่น “ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนั่นหนีไปที่ไหน”
ในใจซูเหลยสั่นไหว พูดปลอบใจกับหลีชิงเยียน “ประธานหลีคะ ในมือเขาไม่มีอาวุธ และไม่มีฝีมือแบบฉัน ย่อมเข้ารบไม่ได้”
“ฉันรู้” หลีชิงเยียนพยักหน้า พูดจานิ่งๆ “ฉันเพียงแค่ดูถูกเขา เดิมทีไม่ถือว่าเขาเป็นผู้ชาย”
ซูเหลยหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ในเวลานี้ ประตูห้องดังขึ้นตึงๆ
หลีชิงเยียนกับซูเหลยมองหน้ากัน ซูเหลยกำลังอยากจะเดินไปเปิดประตู กลับคาดไม่ถึงว่าการกระทำของหลีชิงเยียนจะไวกว่า รีบลุกขึ้นมา ราวกับหมาป่าหิวโหยเกือบจะกระโจนใส่ประตูห้อง
ประตูเปิดออก เฉินเป่ยยืนอยู่หน้าประตูห้อง กวาดตามองหลีชิงเยียนและซูเหลยที่ตกใจกันแล้วตะลึงนิดหน่อย ไม่นานก็ตอบสนองเข้ามา มองทางหลีชิงเยียนด้วยหน้าฮึกเหิม พูดเสียงดัง “ประธานหลี ในที่สุดคุณก็ไม่เป็นอะไรแล้ว คุณทำให้ผมกังวลแทบแย่เลย!”
เฉินเป่ยพูดจบ ไม่รอหลีชิงเยียนมีปฏิกิริยาเข้ามา มุดเข้าไปในช่องประตูที่เปิดออก กอดหลีชิงเยียนไว้แน่นทีหนึ่ง ดมกลิ่นหอมอ่อนละมุนในอ้อมอก ยากจะควบคุมความตื่นเต้นในใจ “ประธานหลี คุณไม่รู้หรอกว่าผมเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน คุณไม่เป็นอะไรก็ดี คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“พอแล้ว!” หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว เวลานี้อารมณ์เธอไม่ดีมากๆ ย่อมไม่อยากใกล้ชิดแนบเนื้ออะไรกับเฉินเป่ย
เธอตวาดเสียงต่ำ หลังจากผลักเฉินเป่ยออก หมุนตัวเดินตึกๆๆ ไปที่ข้างเตียง นั่งลงมาด้วยท่าทางโมโหเดือดดาลที่ยากจะหายไป
เฉินเป่ยตะลึง มองซูเหลยทีหนึ่ง ซูเหลยส่งสายตาไปให้เขา จากนั้นสอบถามขึ้นเสียงดัง “นายไปไหนมากันแน่? ฉันกำลังต่อสู้อยู่ ช่วงเวลาที่ประธานหลีอยู่ในวิกฤต ทำไมถึงไม่เจอนายอีกแล้ว?”
เฉินเป่ยหัวเราะอย่างอึดอัด โค้งตัวเทชาแก้วหนึ่งจากกาน้ำชาด้านข้างให้หลีชิงเยียนและซูเหลยแบบเอาใจ ท่าทีเป็นมิตรเคารพ ยิ้มพูดอธิบาย “นี่ผมไม่ได้ไปหาคนมาช่วยหรอกเหรอ…….พวกคุณดูข้างนอก……”
เฉินเป่ยดึงม่านออก ชี้ทางกองเลือดและศพที่อยู่ไกลออกไปนอกหน้าต่าง หลีชิงเยียนกับซูเหลยมองตามทางนิ้วของเฉินเป่ย นั่นคือรถตำรวจคันสองคันที่ส่งเสียงร้องเข้ามา
“นี่……” ใบหน้าหลีชิงเยียนอึ้ง ไม่เข้าใจเรื่องราว
เธอมองทางซูเหลยอย่างไม่เข้าใจ พวกเธอพึ่งพูดเรื่องที่จะแจ้งความตรงหน้าประตูโรงแรม ต่อมารถตำรวจก็มาถึงแล้ว?
ความเร็วนี้พูดได้ว่าช่างน่าสยองขวัญ ช่างว่องไวเหลือเกิน
และซูเหลยยิ่งงงงวยแล้ว หล่อนส่ายๆ หน้า พูดอธิบาย “ประธานหลีคะ ฉันยังไม่ทันได้แจ้งตำรวจ…….”
“แน่นอนว่าเป็นผมที่แจ้งตำรวจ” ในเวลานี้ เสียงที่มีความภูมิใจดังขึ้น เฉินเป่ยมองนอกหน้าต่าง รถตำรวจคันแล้วคันเล่า สีหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจ “มีสองคนที่ถือมีดไล่ตามผมไป โชคดีที่ผมวิ่งเร็วจนสะบัดพวกมันทิ้งไปได้……จากนั้นผมไม่วางใจพวกคุณสองคน เลยรีบไปแจ้งความแล้ว”
เวลานี้เฉินเป่ยกำลังพูดจาเหลวไหล ตำรวจนี้เป็นชิงเหนียนใช้ลูกไม้พิเศษแจ้งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอตำรวจทั้งหมดรอบบริเวณนี้ได้รับข้อมูล ก็รีบมาที่นี่กันทั้งหมด
นี่เทียบกับความเร็วที่ออกมาจากสถานีตำรวจ ยังเร็วกว่าไม่รู้มากเท่าไร
“หึ ฉันนึกว่านายหนีไปถึงไหนแล้วซะอีก ที่แท้ไปแจ้งตำรวจ” หลีชิงเยียนกอดหน้าอก หัวเราะเยาะ ถึงแม้น้ำเสียงยังคงเสียดสี แต่สีหน้าก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
เฉินเป่ยหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน และหลีชิงเยียนสีหน้าเย็นชาทันใด พูดกับเฉินเป่ย “พอแล้ว ที่นี่ไม่มีธุระอะไรของนายแล้ว ออกไปเถอะ”
เฉินเป่ยตะลึง ส่วนหลีชิงเยียนเห็นเฉินเป่ยอ้ำๆ อึ้งๆ ชั่วขณะนั้นจึงปรับเสียงสูงขึ้นหลายระดับ “ออกไป!”
“ได้เลย” เฉินเป่ยรีบรับปาก แล้วถอยออกไป
หลังเฉินเป่ยออกไป หลีชิงเยียนมองทางหน้าประตูที่เฉินเป่ยถอยกลับหายไป จากนั้นถอนหายใจทีหนึ่ง
หาได้น้อยมากที่บนใบหน้าขาวนวลงดงามของหลีชิงเยียนจะปรากฏความเหนื่อยล้านิดๆ
เรื่องวุ่นในวันนี้ทำให้หลีชิงเยียนเหนื่อยมาก ล้ามาก
ซูเหลยเห็นหลีชิงเยียนอ่อนล้าอย่างมาก จึงพูดด้วยเสียงต่ำที่รู้ตัวดีมาก “ประธานหลี ตอนนี้ก็ดึกแล้ว รีบพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันจะออกไปก่อน”
หลีชิงเยียนพยักหน้า ซูเหลยออกจากห้องไป ครุ่นคิดแวบหนึ่ง ทันใดนั้นไปที่หน้าประตูห้องของเฉินเป่ย
หล่อนลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เคาะประตูไป
“ฉันเข้าไปได้รึเปล่า?” ซูเหลยถามขึ้น
เฉินเป่ยพยักหน้า หลังซูเหลยเดินเข้าไป นั่งลงบนโซฟา
“ดึกขนาดนี้แล้วมาห้องฉันทำไม?” เฉินเป่ยมองทางซูเหลย ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
ซูเหลยจ้องมองเฉินเป่ยอยู่ หน้าตาที่ธรรมดาใบนี้กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ชาย ระหว่างคิ้วยิ่งมีความล้ำลึกที่พูดไม่ถูก
ส่วนดวงตาของเขาเหมือนบ่อน้ำลึกบ่อหนึ่ง จากในดวงตาทั้งคู่ของเขา เดิมทีซูเหลยยากจะจับอะไรได้
น้ำเสียงของเฉินเป่ยยังเต็มไปด้วยการเล่นแง่ แม้กระทั่งสำหรับซูเหลย ยังมีความเหลาะแหละหยอกเย้าอย่างหนึ่ง
ส่วนซูเหลยไม่ได้สนใจความเหลาะแหละแบบนี้อยู่แล้ว หล่อนเข้าใจเฉินเป่ยอย่างมาก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป คงโดนซูเหลยต่อยฟันร่วงไปหลายซี่ตั้งแต่นานแล้ว
ซูเหลยจ้องมองเฉินเป่ยตาไม่กะพริบตั้งนาน มองจนเฉินเป่ยหมดความอดทนอยู่บ้าง เริ่มขยับขึ้นมา พูดอย่างรำคาญ “สรุปอยากจะทำอะไร ถึงได้จ้องฉันแบบอารมณ์รักเต็มเปี่ยมขนาดนี้”
“คนคนนั้นก็คือนาย” ซูเหลยมองทางเฉินเป่ย พูดประโยคหนึ่งที่คาดไม่ถึงออกมา