สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 278
บทที่278 เห็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม
เฉินเป่ยคาบซิการ์อยู่ สีหน้าเรียบนิ่ง แต่เป็นชิงเหนียน จึงยากจะมองอะไรจากบนหน้าของเฉินเป่ยออก
ชิงเหนียนถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจเฉินเป่ย แม้แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเดิมทีตนเองมองเฉินเป่ยไม่ทะลุเลย
แค่เทียบกับคนมากมาย เขายิ่งเข้าใจเฉินเป่ยเท่านั้นเอง
“ฮู้……” เฉินเป่ยพ่นควันบุหรี่ออกมา สีหน้าเฉยชา ล้ำลึกอย่างยิ่ง ค่อยๆ ถามขึ้น “มีอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไร พวกเขาล้วนเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ ได้ยินพี่อยู่ที่หัวเซี่ยเจอเรื่องพวกนี้เข้า เลยอยากมาที่หัวเซี่ย” ชิงเหนียนพูดโน้มน้าว “ลูกพี่ ช่วงหลายปีนี้ พี่เหนื่อยเกินไปแล้ว เอาทุกเรื่องมาแบกไว้บนไหล่ แม้กระทั่งตอนนี้พวกกระจอกๆ บางส่วนยังต้องเป็นพี่ลงมือเอง……ช่างฉุดสถานะพี่ลงต่ำเหลือเกิน”
สีหน้าเฉินเป่ยเรียบนิ่ง “นี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง แค่เพื่อเมียของฉัน ฉันถึงทำขนาดนี้”
ชิงเหนียนหมดคำจะพูด นี่เฉินเป่ยรักหลีชิงเยียนมากแค่ไหน คาดไม่ถึงไม่อนุญาตให้นายพลหลงลูกน้องของเขามาแทรกแซง
“หัวเซี่ยยังมีสิ่งที่ปิดซ่อนอีกมากเหลือเกินที่พวกเราไม่รู้ ถ้าเกิดคนของประเทศนี้หลายคนนั้นลงมือ…….” น้ำเสียงชิงเหนียนมีความกังวลอย่างลึกๆ
“นายก็บอกมาแล้วว่าเป็นคนของประเทศนี้ ฉันยังจะกลัวพวกเขาทำไมกัน?” เฉินเป่ยชายตามองชิงเหนียนทีหนึ่ง คาบซิการ์ไว้ บนหน้าเผยความรำคาญและเล่นแง่ออกมา “ฉันจะไม่ทำลายหัวเซี่ย พวกเขาย่อมไม่ลงมือกับฉัน……ที่ฉันกลับมา เพราะสะสางเรื่องในอดีต” เฉินเป่ยพูดอยู่ แววตาเผยความหมายซับซ้อนที่ไม่หายไปออกมาอย่างไม่รู้ตัว…….ที่เขาไม่ได้บอกชิงเหนียนคือเขามีการวางแผนและคาดเดาต่อเรื่องในตอนนั้นแล้ว
เรื่องตอนนั้นไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นโดยเด็ดขาด อิทธิพลที่พัวพันเข้ามาในครั้งนั้น เพียงแค่ที่เยี่ยนจิง ก็มีอิทธิพลหลายสิบคนแล้ว…….ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอกจากเยี่ยนจิงอีก
“งั้นจูเชี่ยล่ะ……..อะแฮ่ม…….. จูเชี่ยบอกกับผมว่าเธอคิดถึงพี่มากเลยล่ะ……” ชิงเหนียนกระแอมอย่างกระอักกระอ่วน น้อยมากที่หน้าจะแดง
“ให้เธออยู่ในฐานทัพอย่างสบายใจ ฉันจะกลับไปเอง” เฉินเป่ยเอ่ยปากเรียบๆ
หลังทั้งสองคุยกันสักพัก ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ชิงเหนียนบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นบอก “ผมกลับไปก่อนนะ วงจรปิดบริเวณนี้โดนผมควบคุมไว้หมดแล้ว”
ตอนที่ชิงเหนียนเดินมาถึงหน้าประตูห้องก็ชะงักฝีเท้า เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ พูดเสริมอีก “ใช่แล้ว ระหว่างทางมา มองเห็นด้านนอกโรงแรมมีพวกมาสอดส่องสองสามคน ถือโอกาสจัดการแล้ว ถึงตอนนั้นลูกพี่ก็ระวังตัวหน่อย”
หลังจากชิงเหนียนออกไป แววตาเฉินเป่ยเผยความล้ำลึกริบหรี่ จมสู่การครุ่นคิด
“พวกสอดส่อง……” เฉินเป่ยพึมพำกับตนเอง มุมปากโค้งเส้นรัศมีวงกลมขึ้น มีความหมายขบคิด
เขาลุกขึ้นยืนทันที ใส่เสื้อกั๊กหนังเก่าสุดจะทนตัวนั้น เดินออกจากห้อง
ในห้องพักของซูเหลย ซูเหลยนั่งอยู่ริมหน้าต่าง กำลังมองคนเดินไปเดินมาด้านนอกหน้าต่าง หล่อนกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่
ทันใดนั้นสายตาหล่อนนิ่งค้าง มองเห็นภาพด้านหลังของชิงเหนียนเดินออกจากในโรงแรม เดินไปทางโรลส์-รอยซ์ที่อยู่ด้านนอก
ตอนแรกหล่อนยังไม่ทันสนใจ แต่ตอนที่ชิงเหนียนนั่งเข้าในโรลส์-รอยซ์ ถึงกระตุ้นความสนใจของหล่อน
หล่อนยังเคยเจอโรลส์-รอยซ์เป็นครั้งแรกที่หัวเซี่ย โรลส์-รอยซ์แฟนทอม พาหนะอยู่ที่ต่างประเทศยังเห็นได้ยากมากคันนี้ คาดไม่ถึงจะปรากฏตัวที่หน้าประตูโรงแรมแห่งนี้
หลังซูเหลยมองเห็นภาพด้านหลังของชิงเหนียนก็ขมวดคิ้วทันที มีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
ความจำของซูเหลยดีมาก ในฐานะทีมรบพิเศษของหัวเซี่ย ความจำของหล่อนลึกซึ้งกว่าคนธรรมดาไม่น้อย
ตอนที่มองเห็นชิงเหนียนคนนี้ หล่อนรู้สึกมีความคุ้นเคยนิดๆ ขึ้นกะทันหัน ภาพด้านหลังของชิงเหนียนนั้น หล่อนมักจะรู้สึกว่าเคยเจอที่ไหนมาครั้งสองครั้ง
แต่อย่างไรเสียหล่อนก็นึกสถานะของชิงเหนียนขึ้นมาไม่ได้ สถานะของชิงเหนียนเห็นได้ชัดว่าสลับซับซ้อนอย่างมาก
“เอ๋……” ซูเหลยเอียงศีรษะ ครุ่นคิดอย่างหนัก คิดผลลัพธ์อะไรออกมาไม่ได้
ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของซูเหลยก็แข็ง มองเห็นหลังชิงเหนียนออกไปได้ไม่นานนัก เฉินเป่ยก็เดินออกจากโรงแรมไป
และสิ่งที่ไม่เหมือนกับชิงเหนียนที่สง่าผ่าเผยออกไปแบบธรรมดาคือเห็นได้ชัดว่าเฉินเป่ยกำเริบเสิบสานมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก เสื้อกั๊กหนังเก่าขาดอย่างสุดจะทนเปิดออกอิสระ ในปากคาบบุหรี่ไว้ สีหน้าโอหังราวกับนักเลงกระจอก เที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่มีอะไรขัดขวาง ไม่มีอะไรแตกต่างกับนักเลงอย่างยิ่ง
ซูเหลยทำปากยื่น ถึงแม้หล่อนจะรู้ว่าเฉินเป่ยไม่ธรรมดา แต่มองเห็นเฉินเป่ยท่าทางแบบนี้ ในใจหล่อนยังอดแอบถุยน้ำลายไม่ได้
ท่าทางนี้ของเฉินเป่ย ใครจะไปคิดเชื่อมโยงเขากับสถานะลึกลับของเขาได้
เฉินเป่ยก็คือนักเลงธรรมดาคนหนึ่งแค่นั้นเอง
ซูเหลยครุ่นคิดแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องพักของตนเองแล้วเข้าไปในห้องของหลีชิงเยียน
“เธอว่าอะไรนะ? เขากับผู้ชายคนนั้นออกไปติดๆ กัน?” หลีชิงเยียนนั่งอยู่ขอบเตียง ใบหน้างดงามตกตะลึงนิดหน่อย
ซูเหลยพยักหน้า “ผู้ชายที่ขับโรลส์-รอยซ์คนนั้นออกไปก่อน แล้วเขาก็เดินตามออกไป” ซูเหลยบอกหลีชิงเยียนไปอย่างไม่สะเทือนอารมณ์
หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว “เธอรู้มั้ยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
ซูเหลยส่ายๆ หน้า “คุ้นตามาก แต่นึกไม่ออกค่ะ”
“ตามเขาไป ดูว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรอีก” หลีชิงเยียนเอ่ยปากอย่างไม่ลังเลสักนิด “ฉันมักรู้สึกว่าผู้ลึกลับเมื่อครั้งก่อนคนนั้น มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ตั้งแต่ต้นจนจบฉันก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร……อาจจะเป็นรู้จักผู้ลึกลับ”
ในใจซูเหลยสั่นไหว สายตาที่มองทางหลีชิงเยียนเพิ่มความลุ่มลึก แม้แต่หลีชิงเยียนยังรู้สึกถึงความผิดปกติเหรอ?
“รีบตามไป มีอะไรรายงานฉันได้ตลอดเวลา ฉันอยู่ที่โรงแรมคงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก” หลีชิงเยียนเร่งบอก
“อืม” ซูเหลยเดินออกจากโรงแรม ไม่นานก็พบเฉินเป่ยที่เดินเล่นอยู่บนถนนแล้ว
เฉินเป่ยในเวลานี้ดวงตาเปล่งประกาย มองไปรอบด้าน ท่าทางลับๆ ล่อๆ มีความรู้สึกเหมือนโจรกำลังมองหาเป้าหมายในใจของตนเองอยู่
ซูเหลย ในฐานะทีมรบพิเศษของหัวเซี่ย ฝีมือการสะกดรอยตามย่อมดีที่สุด หล่อนกับเฉินเป่ยรักษาระยะห่างที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ตามอยู่ด้านหลัง ทำให้เฉินเป่ยอยู่ภายในสายตาของตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ
ฝีมือสะกดรอยตามแบบนี้ ถ้าหัวหน้าหลี่เห็นเข้า เกรงว่าคงทอดถอนใจ การสะกดรอยตามของซูเหลยนั้น ต่อให้สายตามากมายของลูกน้องหัวหน้าหลี่ ยังยากจะถึงขั้นแบบซูเหลยได้เลย
แต่ทว่าไม่นานสีหน้าซูเหลยก็เปลี่ยนไปแล้ว
หล่อนคลาดร่องรอยของเฉินเป่ยไปแล้ว
“เป็นไปไม่ได้……” ซูเหลยพึมพำ หล่อนตามเฉินเป่ยมายังไม่ถึงห้านาทีก็ตามไม่ทันเฉินเป่ยแล้ว
การสะกดรอยตามของหล่อน แม้จะอยู่ในทีมรบพิเศษก็ยังโดดเด่นมาก ในอดีตเคยได้รับคำชมของหัวหน้าทีม…….นอกจากจมูกสุนัข นอกจากนั้นยากมากที่จะมีใครมาเก่งกาจเทียบการสะกดรอยของซูเหลยได้
ส่วนปัจจุบันนี้ ความจริงได้โจมตีซูเหลยมาอย่างรุนแรง…….นี่พึ่งผ่านไปนานแค่ไหนกัน กลับไม่เห็นเงาของเฉินเป่ยแล้ว
ซูเหลยยังไม่ตัดใจ หล่อนมองไปทั่วทุกด้าน เฉินเป่ยเหมือนหายตัวไปจากในฝูงชนอย่างไร้เสียง ทำให้สีหน้าหล่อนเผยความหงุดหงิดออกมา
หล่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา ติดต่อหมายเลขของเฉินเป่ยไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
หล่อนย่อมไม่รู้ว่าเวลานี้มีภาพเงาคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งๆ ที่ด้านหลังหล่อนไปไม่ไกลนัก กอดหน้าอกมองท่าทางที่งงงวยของหล่อนอยู่ มุมปากฉีกเส้นรัศมีวงกลมที่ลึกลับขึ้น
หลังซูเหลยโทรศัพท์หาเฉินเป่ยไม่ติด จึงทำได้เพียงต่อสายโทรศัพท์ไปหาหลีชิงเยียนด้วยสีหน้าดูแย่ หน้าม่อยคอตก “ประธานหลี……ฉันตามไม่ทันแล้ว”
“ตามไม่ทันแล้ว?” ในสายนั้น หลีชิงเยียนแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าคาดคิดไม่ถึง ซูเหลยจะตามไม่ทันแล้ว…….แต่ว่าไม่นานหลีชิงเยียนสงบคืนมาดังเดิม พูดจาด้วยเสียงมีเสน่ห์ “ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องหาแล้ว กลับมาเถอะ”
พอวางสายโทรศัพท์ หลีชิงเยียนนั่งอยู่ในห้องพัก อ่านเอกสารที่อยู่ในแล็ปท็อปไปทีหนึ่ง ขมวดคิ้วขึ้น คาดไม่ถึงซูเหลยจะตามไม่ทัน…….นี่ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
คิดๆ อยู่ หลีชิงเยียนก็ขมวดคิ้วขึ้น เฉินเป่ยเจ้าหมอนี้ทำได้อย่างไรกัน สามารถทำให้ซูเหลยตามไม่ทันได้
หลังซูเหลยเก็บโทรศัพท์ มองไปรอบด้านอีกครั้ง มุมปากฉีกรอยยิ้มที่ขมขื่นขึ้น……
สรุปเป็นเพราะความสามารถของตนเองเสื่อมถอย หรือว่าเฉินเป่ยช่างเก่งกาจจนสะบัดหล่อนทิ้งได้อย่างง่ายดายกันแน่ นี่เดิมทีไม่อาจรู้ได้
ซูเหลยมองไปทางด้านหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ทีหนึ่ง ถึงค่อยๆ หมุนตัว เดินไปทางโรงแรม
ส่วนเฉินเป่ยมองซูเหลยจากที่ไกลๆ ภายในสีหน้าที่เรียบเฉย มีการขบคิดเพิ่มขึ้นมา
ตั้งแต่วินาทีนั้นที่ซูเหลยเดินออกมาจากโรงแรม เฉินเป่ยรู้อยู่แล้วว่าซูเหลยสะกดรอยตาม เมื่อสักครู่เขาเพียงแค่ทดสอบซูเหลยมาโดยตลอด ดูว่าฝีมือการสะกดรอยตามของซูเหลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เฉินเป่ยพึงพอใจมาก สำหรับเขานั้น การสะกดรอยของซูเหลยไม่เป็นแบบเดียวกับนักฆ่าบางส่วนแล้ว
เพียงแค่ไม่สามารถเทียบได้กับเฉินเป่ย ถ้าเฉินเป่ยอยากจะสะบัดซูเหลยทิ้งย่อมทำได้ทุกเมื่อ ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
รอซูเหลยออกห่างไปไกล เฉินเป่ยถึงหมุนตัว เดินไปที่ที่ไกลออกไป
เฉินเป่ยกะจะไปสถานที่จัดงานพนันเพชรพลอยในวันพรุ่งนี้ แต่ตอนที่ผ่านสำนักฝึกวิทยายุทธแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นความสนใจของเขาก็โดนดึงดูดไว้แล้ว
หน้าประตูสำนักฝึกวิทยายุทธเปิดออก หน้าประตูสำนักฝึกวิทยายุทธมีคนเบียดแน่น เบียดกันไปทางด้านในสุดชีวิต
หน้าประตูคนเดินขวักไขว่ เฉินเป่ยเดินเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไป เนื่องจากถูกฝูงชนที่หน้าประตูสำนักฝึกวิทยายุทธบังไว้หมด จึงลอดเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก เดินเบียดไปทางด้านในแล้ว
เฉินเป่ยไม่ได้ขัดขืน ถือโอกาสเดินตามคนมากมายเข้าในสำนักฝึกวิทยายุทธ จนมองเห็นลานกว้างขวางผืนหนึ่ง
อากาศในสำนักฝึกวิทยายุทธอบอ้าวกลิ่นเหม็น และมีผู้คนมากมายกำลังชี้ไม้ชี้มือไปตรงใจกลางลาน
เฉินเป่ยมองไปตามนิ้วของคนเหล่านี้ กระทั่งพบผู้ชายที่รูปร่างกำยำคนหนึ่ง ทั้งตัวล้วนเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กำลังดึงผู้ชายที่รูปร่างผอมแห้งอีกคนหนึ่ง ชกต่อยเตะอัด
ผู้ชายที่รูปร่างกำยำคนนี้ลงมือโหดเหี้ยม ส่วนผู้ชายที่รูปร่างผอมแห้งคนนั้นเดิมทีไม่ใช่คู่ต่อสู้ ถึงตอนท้ายก็ทำได้เพียงจับท้องเอาไว้ เลือดสดพุ่งกระจาย
“พี่……อย่าต่อยเลย……อย่าต่อยเลย……”
ในเสียงที่ร้องตะโกนโวยวายฮึกเหิมนั้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่เบามาก ไม่นานก็โดนกลบไปจนหมด ราวกับหินที่จมในมหาสมุทร
ส่วนเฉินเป่ยที่การได้ยินว่องไวเป็นพิเศษ แวบหนึ่งก็จับที่มาของเสียงได้แล้ว
เขามองเข้าไปตามเสียงนั้น มองเห็นสาวน้อยที่ใส่เครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง มัดผมหางม้ายาวๆ หน้าตาบริสุทธิ์น่ารัก เวลานี้มองผู้ชายที่ผอมแห้งคนนั้นที่อยู่บนลานต่อสู้ ดวงตาทั้งสองน้ำตาคลอ ดูขึ้นมาน่าสงสารเหลือทน ราวกับต้นหญ้าน้อยที่ดิ้นรนท่ามกลางลมแรง ทำให้คนเห็นแล้วอยากพาเธอเข้ามาในอ้อมอกโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นดูแลไว้ดีๆ
อายุสิบแปดปี สดใสงดงาม หญิงสาวคนนั้นเติบโตมาตีอย่างมาก ชุดนักเรียนที่ค่อนข้างหลวมปกคลุมรูปร่างที่สมบูรณ์แบบนั้นของเธอไว้ไม่มิด บวกกับท่วงทีที่บริสุทธิ์นั้น ทำให้สายตาผู้ชายมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์ดูหมิ่นอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมขึ้นหลายระดับ