สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 282
บทที่282 หวนคิดถึง
เจ้าของภาพด้านหลังคนนี้ ยังเป็นใครได้อีก?
คนของตระกูลหลีที่เคยมาหู้ไห่ เพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
จนท้ายที่สุด ผลสุดท้ายของสองพี่น้องตระกูลหลีคนหนึ่งตายคนหนึ่งพิการ
เฉินเป่ยหรี่ดวงตาขึ้น ก่อนหน้านี้เขาเมตตากรุณามากเกิน ถึงไว้ชีวิตพี่น้องสองคนนี้ นึกไม่ถึงว่าวันนี้ยังเจอเข้าที่นี่อีก
เป็นความบังเอิญเหรอ?
เฉินเป่ยมองหลีเช่าเทียน ภายใต้การคุ้มครองอารักขาของบอดี้การ์ดหลายคน ไม่นานก็หายไปในฝูงชนแล้ว
ที่ที่ไม่ไกลนัก รถไมบัคคันหนึ่งติดเครื่องยนต์เงียบๆ ขับออกไปไกลด้วยความรวดเร็ว…….
เฉินเป่ยคลำหาบุหรี่มวนหนึ่งออกมา มองรถยนต์ที่ขับไปไกล ค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา แววตาล้ำลึกอย่างไร้ขีดจำกัด…….
ในรถ หลีเช่าเทียนนั่งอยู่แถวหลัง สีหน้าปกติ แต่แขนข้างเดียวของเขากลับกำลังสั่นเทาเล็กน้อย แยกไม่ออกว่าเจ็บปวด หรือว่าฮึกเหิม
ผ่านไปตั้งนาน หลีเช่าเทียนจึงเอ่ยปากช้าๆ พูดกับเลขาฯ ที่อยู่ข้างกายเขา “หาเบื้องหลังของสำนักฝึกวิทยายุทธสักหน่อย”
ตระกูลหลีที่เยี่ยนจิง อิทธิพลเกรียงไกร ส่วนหลีเช่าเทียนก็ยังเป็นเสาหลักในอนาคตของตระกูลหลี หลีหงจึงให้ความสำคัญกับเขา บนตัวมีกำลังแฝงอยู่อย่างไม่จำกัด
เลขาฯ ผู้ช่วยที่หลีหงจัดเตรียมให้เขาย่อมมีอำนาจไม่น้อย เทียบกับก่อนหน้านี้ที่หู้ไห่ ราวกับปลาได้น้ำ
ก่อนหน้านี้หลีเช่าเทียนต้องการระดมเงินทุนจำนวนมาก แต่ยังต้องผ่านความเห็นชอบของตระกูล ทว่าตอนนี้ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้โดยสิ้นเชิง
หลายๆ ที่ อำนาจทั้งหมดของหลีเช่าเทียนมากมายกว่าเมื่อก่อน แม้กระทั่งรู้เรื่องลับที่ไม่เคยรู้มาก่อนของเยี่ยนจิงและตระกูลมากมายแล้ว
อย่างเช่นปี1998 เรื่องสยองขวัญใหญ่ที่เกิดในหัวเซี่ย……กลายเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่รู้ว่าคนมากมายแค่ไหน หน้าเปลี่ยนสีแล้ว
ทั้งยังมีพวกข่าวฉาวคนดังมากมาย…….ความลับการบริหารบ้านเมืองของหัวเซี่ย……เป็นต้น เมื่อก่อนหลีเช่าเทียนไม่มีสิทธิ์รับรู้เรื่องพวกนี้ แต่หลังจากเขาถูกหลีหงเลือกให้เป็นผู้สืบทอด สำหรับเขาเรื่องพวกนี้ไม่ถือว่าเป็นความลับอีกต่อไป
แม้กระทั่งพูดได้อย่างไม่เกินเลยว่าหลีเช่าเทียนแตะต้องความลับสำคัญมากมายของตระกูลเข้าแล้ว นี่หมายความว่า ไม่ช้าหรือเร็วก็จะกลายเป็นนายใหญ่ของตระกูลหลี
ไม่เพียงแค่นี้ ลูกน้องคนใช้มากมายภายในบ้านหลีได้ค่อยๆ เริ่มเรียกเขาว่า “นายน้อย”
จากอิทธิพลที่เกรียงไกรของตระกูลหลี ไม่นานผู้ช่วยก็ค้นหาออกมาได้ เขาวางโทรศัพท์ลง หันหน้าเอ่ยปากกับหลีเช่าเทียนด้วยความเคารพ “คุณชายครับ หาได้แล้ว เจ้าสำนักของสำนักฝึกวิทยายุทธนั้นมีเบื้องหลังอยู่ส่วนหนึ่ง มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหัวหน้าคนหนึ่งของสถานีตำรวจ และยังรู้จักผู้นำอิทธิพลใต้ดินไม่น้อยด้วยครับ พูดได้ว่าเขากวาดเรียบทั้งตำรวจทั้งมาเฟีย ขอเพียงอยู่ในสองเส้นทางนี้ ที่เยี่ยนจิงเกือบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขาครับ”
หลีเช่าเทียนสีหน้าเรียบนิ่ง เขาหัวเราะนิดหน่อย พูดพึมพำ “น่าสนุก…….เบื้องหลังแบบนี้ แต่ยังมีทีมรื้อถอนกล้ารับงานมารื้ออีก…….พวกเขานี่กล้ามากันจริงๆ เลย”
หลีเช่าเทียนเอ่ยปากช้าๆ เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจอย่างมาก “คุณชายหลีอยากค้นหาที่มาของทีมรื้อถอนรึเปล่าครับ?”
“ไม่ต้องค้น ฉันรู้ที่มาของทีมรื้อถอนอยู่แล้ว” หลีเช่าเทียนหัวเราะนิ่งๆ แววตาประกายแสงสติปัญญาล้ำลึก
เลขาฯ ตกใจ มองทางหลีเช่าเทียน แววตายิ่งเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใส
“คุณชายหลียังเป็นคุณชายหลีจริงๆ แวบเดียวก็มองเบื้องหลังของทีมรื้อถอนออกแล้ว” เลขาฯ ด้านข้างพูดอย่างสรรเสริญ
“นี่ไม่มีอะไรหรอก เล่ห์กลเล็กน้อยเท่านั้น” หลีเช่าเทียนพูดเรียบๆ สำหรับเขาแล้วนี่ไม่ถือว่าเป็นความสามารถอะไร เป็นเพียงการกระทำทั่วไปที่ไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรเท่านั้นเอง
เขาเพียงแต่ใส่ใจนิดหน่อย นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เฉินเป่ยคุยโทรศัพท์บนเวทีต่อสู้นั้น
“คุณชายหลีครับ พวกเราจะไปที่ไหนครับ?”
“อืม…….เดินเล่นอีกหน่อยแล้วกัน” หลีเช่าเทียนมองทางนอกกระจกรถ พูดขึ้นนิ่งๆ
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความลุ่มลึก ในใจเขาเงียบสงบมาตั้งนานแล้ว แต่ในเวลานี้กลับมีความสั่นไหวเกิดขึ้น
เขามองทางด้านนอกหน้าต่าง เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง เฉินเป่ยมาที่เยี่ยนจิง เหมือนบ่งบอกอะไรล่วงหน้าอยู่……
บางทีอาจจะมีมรสุมลูกหนึ่ง โหมพัดเยี่ยนจิง
……………
หน้าประตูสำนักฝึกวิทยายุทธ รถแบคโฮแต่ละคันขับลงมาจากบนรถบรรทุก ส่วนสำนักฝึกวิทยายุทธกลายเป็นซากปรักหักพังทีละนิด
หน้าประตูสำนักฝึกวิทยายุทธ ฝูงชนค่อยๆ แยกย้าย เสียงเจี๊ยวจ๊าวแต่ละเสียงค่อยๆ เบาลงแล้ว
สำนักฝึกวิทยายุทธแห่งนี้ สำหรับคนแถวนั้นถือว่ามีชื่อเสียงแย่มาก เจ้าสำนักมีความสามารถแข็งแกร่ง และยังมีเบื้องหลังอีก จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา ดังนั้นจึงสามารถทำให้เขาก่อกรรมทำเข็ญ โอหังก้าวราวมาได้นานขนาดนั้น
ใครจะไปคิดว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาไม่เป็นที่ดึงดูดใจโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน โจมตีเจ้าสำนักออกไปยกหนึ่งภายใต้การจับจ้องของทุกคน
เจ้าสำนักที่แต่ไหนแต่ไรฝีมือทระนงองอาจ และความสามารถเกรียงไกร ทว่าอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ กลับโดนต่อยจนไม่มีแรงโต้กลับสักนิด
มีพยานบุคคลที่เห็นมากับตาตนเองบางส่วนจำได้อย่างชัดเจน เจ้าสำนักที่ปกติโอหังเผด็จการ พออยู่ตรงหน้าของผู้ชายที่ธรรมดาไม่รู้จะธรรมดาไปถึงไหนคนนี้ กลับไม่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่นใดๆ
เจ้าสำนักจะเป็นหรือตายไม่มีใครใส่ใจ ผู้คนทั้งหมดต่างรู้ว่าคนเลวที่ทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ ตายไปเสียได้ก็ดี
ส่วนเฉินเป่ยที่ผู้คนมากมายชื่นชมไม่ขาดปาก เวลานี้กำลังนั่งยองๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง สูบบุหรี่อยู่อย่างไม่รักษาภาพลักษณ์สักนิด
ท่าทางแบบนี้ของเขา ไม่มีท่วงทีของผู้ชนะใดๆ สักนิดเดียว ทว่าเหมือนนักเลงหัวไม้ คนที่ไม่รู้ยังคิดว่าเขาเป็นนักเลงกระจอกที่ท่าทางลับๆ ล่อๆ
และในเวลานี้ ภาพด้านหลังของสาวสวยคนหนึ่ง กำลังช่วยพยุงผู้ชายผอมแห้งคนหนึ่งไว้ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เฉินเป่ย
“เพื่อน…….ครั้งนี้ขอบคุณคุณมากนะ” เห็นได้ชัดว่าผู้ชายที่ผอมแห้งคนนั้นฟื้นแล้ว เขาเงยหน้าขึ้น มองทางเฉินเป่ยอย่างอ่อนแรง
“เรื่องง่ายดายนิดเดียวเอง” เฉินเป่ยหัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก เหมือนเดิมทีไม่ได้สนใจเรื่องนี้
ส่วนผู้ชายคนนั้นส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น “ถ้าไม่ใช่คุณ ชีวิตนี้ของผมอยู่ตรงหน้าเจ้าสำนัก ต้องไม่รอดแน่ๆ ส่วนน้องสาวผมเสี่ยวเนี่ยน ก็คงไม่พ้นกรงเล็บของมัน”
ด้านข้าง เด็กสาวมัธยมที่พยุงผู้ชายผอมแห้งไว้ บนหน้ายังมีสีหน้าที่รู้สึกซาบซึ้งใจ มองทางเฉินเป่ย สายตาเต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรง ประหลาดใจและซับซ้อน
เมื่อสักครู่เฉินเป่ยทำให้พวกเขาตื่นตกใจเกินไปแล้ว ปกติไม่แสดงฝีมืออะไร พอลงมือกลับทำได้คล่องแคล่วมาก จัดการเจ้าสำนักไป……นี่พอจะพิสูจน์ทักษะและความสามารถของเฉินเป่ยได้แล้ว
“ประณามคนเลวชื่นชมคนดี นี่คือสิ่งที่ฉันสมควรทำ นายบาดเจ็บหนัก พลังชีวิตบอบช้ำ น่าจะต้องดูแลรักษาตัวดีๆ ถึงจะถูก” เฉินเป่ยเอ่ยปากเบาๆ
ผู้ชายอ่อนแรงหัวเราะแล้ว “คุณคือผู้มีพระคุณของผม ผมฉินฮุยและน้องสาวผมฉินเนี่ยนไห่ จะต้องไม่ลืมบุญคุณของคุณที่ช่วยชีวิตเราไว้เลย!”
“ถ้ามีตรงไหนที่ต้องการผม เพียงคุณบอกมาคำเดียว ผมจะต้องช่วยคุณเต็มที่แน่นอน” ผู้ชายให้ช่องทางติดต่อไว้กับเฉินเป่ย
“คุณทิ้งวิธีติดต่อไว้ได้มั้ยคะ?” เด็กสาวมัธยมคนนั้นกัดริมฝีปากแดงไว้ มองทางเฉินเป่ย ลูกตาประกายความหวังนิดๆ
เฉินเป่ยกวาดตามองเด็กสาวมัธยมคนนั้นทีหนึ่ง ใบหน้าสาวงามบริสุทธิ์นั้น ผมหน้าม้าสองข้างที่ถูกลมเบาๆ พัดขึ้น จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาที่เปล่งประกาย ทำให้คนเพียงแค่มองแวบเดียวก็ตีตราอยู่ในจิตวิญญาณลึกลงไป
เด็กสาวมัธยมปลายคนนี้ในเวลานี้ ตอนที่ต้องการช่องทางติดต่อ เผยความเขินอายออกมา สีแดงระเรื่อลอยผ่านแก้ม เป็นความดูดีอย่างยิ่ง ทำให้คนจิตใจหวั่นไหว
งดงามราวกับดอกไม้และหยก อ่อนเยาว์หยาดเยิ้ม
มิน่าเธอถึงทำให้เจ้าสำนักมีใจโน้มเอียงได้ แม้แต่เฉินเป่ยที่ปณิธานแข็งแกร่ง ตอนที่สายตาของเขาจ้องมองเธอเข้า ในแววตาลึกเผยความซับซ้อนนิดๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
น้อยมากที่เฉินเป่ยจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว……..เหมือนกลับไปยังอดีต มีภาพเงาของคนที่คล้ายกันมาก และใช้สายตาเหมือนกันแบบนี้จ้องมองเขาอยู่
ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน สายตานี้เกือบจะกลายเป็นตราประทับบนจิตวิญญาณแล้ว
ไม่มีใครรู้อดีตของเฉินเป่ย แม้ว่าจะเป็นชิงเหนียนก็ไม่รู้เช่นกัน เกิดอะไรขึ้นที่เยี่ยนจิงตอนนั้น……ทำให้ภาพเงาคนคนนั้นในความทรงจำของเฉินเป่ยค่อยๆ ห่างเฉินเป่ยไกลออกไป……
เฉินเป่ยมองเธออย่างลึกซึ้ง จำชื่อของเธอไว้ ฉินเนี่ยนไห่
“เพื่อน…….” ฉินฮุยเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง ดึงเฉินเป่ยกลับมาจากอาการใจลอย
“มีอะไรเหรอ?” ชั่วขณะนั้นเฉินเป่ยกลับคืนสู่ความสงบแล้ว แววตาดูไม่สุภาพขึ้นมา กวาดผ่านบนตัวฉินเนี่ยนไห่ไปหลายที เหมือนจะปกปิดความอับอายก่อนหน้านี้ไว้
สายตาที่เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายมาก ทำให้ใบหน้าฉินเนี่ยนไห่นิ่งค้าง แปลกประหลาดขึ้นมา เธอกอดหน้าอกตนเองไว้โดยสัญชาตญาณ ต่อต้านสายตาของเฉินเป่ยที่ทำให้ตนเองไม่สบายใจ
“เพื่อนชื่ออะไรกัน?” ฉินฮุยยิ้มถาม
“เอ๋อตงเฉิน” เฉินเป่ยมองฉินเนี่ยนไห่ไปอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง ทันใดนั้นหมุนตัวออกไป
ฉินฮุยยังอยากเรียกเฉินเป่ยเอาไว้ กลับพบว่าความเร็วของเฉินเป่ยไวเหลือเกิน ช่วงเวลาพริบตาเดียว ระยะห่างระหว่างกันกว้างระดับหนึ่งเลย
“นี่…….” ฉินฮุยหน้าตามึนงง เขาตอบสนองไม่ทัน สำหรับเฉินเป่ยที่ออกไปอย่างไม่ร่ำลาสักคำ ไม่การตอบสนองใดๆ
“พี่ คนนี้แปลกดีจัง” ฉินเนี่ยนไห่กอดแขนของฉินฮุยไว้ มองภาพด้านหลังเฉินเป่ยแล้วพูดขึ้น
“เขาเป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา ห้ามว่าเขาแบบนี้” ฉินฮุยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาฉับพลัน
ฉินเนี่ยนไห่แลบๆ ลิ้นอย่างซุกซน การกระทำนี้ยังเป็นความน่ารัก
…………….
ภายในห้องพักของโรงแรม เฉินเป่ยนั่งอยู่บนโซฟา บนโต๊ะวางเหล้าขาวหลายหลัง ส่วนด้านข้างมีขวดเหล้าขาวเปล่ามากมาย
เฉินเป่ยนั่งอยู่บนโซฟา ดื่มเหล้าขาวเพียวๆ ไปอึกใหญ่แบบไม่พูดไม่จา ในใจเหมือนเจ็บจนเป็นเหน็บชา
ถ้าคนปกติอยู่ที่นี่ มองเห็นเฉินเป่ยดื่มเหล้าขาวหลายขวดขนาดนี้ เดาว่าต้องงงงวยกันหมดแน่
นี่เป็นเหล้าขาวบริสุทธิ์ คนทั่วไปดื่มไม่กี่แก้วเล็กก็รู้สึกเมาแล้ว แต่ขวดนี้ เดาว่าคนที่คอไม่แข็งพวกนั้นคงดื่มจนตายได้เลย
ส่วนบนโต๊ะของเฉินเป่ยตรงนี้ หากใช้จำนวนกล่องเหล้าขาวมานับแล้ว
นี่สามารถฆ่าคนได้มากเท่าไรกัน
ไม่รู้ว่าดื่มเหล้าขาวลงไปมากแค่ไหน บนหน้าของเฉินเป่ยถึงประกายสีแดงปลั่งนิดหน่อยขึ้น
จากนั้นเรอออกมาแล้ว ทั้งตัวเฉินเป่ยคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล่าที่เหม็นหึ่ง เขาล้วงกระเป๋าเงินออกมา ค่อยๆ เปิดกระเป๋าเงินออก ดึงรูปถ่ายใบหนึ่งด้านในออกมา
เขาใช้มือลูบที่รูปถ่ายใบนี้เบาๆ ภายในแววตาประกายความซับซ้อนและความงงงวยที่เห็นได้น้อยมาก
ในรูปถ่ายมีหลายคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวที่อายุน้อยสวยงาม ลักษณะเหมือนกับฉินเนี่ยนไห่ ถ้าฉินฮุยอยู่ที่นี่ มองเห็นรูปถ่ายนี้อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฉินเนี่ยนไห่ก็ได้……สองคนมีส่วนที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก
“เป็นคุณรึเปล่า……”
เฉินเป่ยพึมพำ ในแววตามีความเศร้าใจที่ไม่สลายหายไป
ถ้าชิงเหนียน เทพของโลกชั่วร้ายทิศตะวันตกเหล่านั้นเห็นฉากนี้เข้ากัน คงไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด…….ราชาหลงที่ไร้ศัตรูในตำนาน และยืนอยู่จุดยอดบนโลกนี้ คาดไม่ถึงจะมีวันหนึ่งที่เห็นสิ่งของแล้วคิดถึงคนขึ้นมาได้เช่นกัน
ไม่เพียงแค่นี้ ถ้าสภาพแบบนี้ของเฉินเป่ยถูกถ่ายเก็บไว้ แล้วแพร่ออกไปที่ต่างประเทศ คงกระตุ้นความฮือฮาอย่างมากในต่างประเทศขึ้นแน่
ทว่าเฉินเป่ยเพียงแค่ลูบรูปถ่ายใบนี้ การปรากฏตัวของฉินเนี่ยนไห่กระตุ้นความทรงจำมากมายของเฉินเป่ยขึ้น……ความทรงจำพวกนั้นที่เฉินเป่ยไม่ยอมพูดถึง
รูปใบนี้น่าจะถ่ายไว้เมื่อสมัยก่อนนานมาก คนในรูปถ่ายยังมีที่ลักษณะเหมือนเฉินเป่ยตอนวัยรุ่น ระหว่างคิ้วกับตา ปกปิดความสามารถที่เด่นชัดและความดุเดือดไว้ไม่มิด
เทียบกับเฉินเป่ยในตอนนี้ช่างแตกต่างกันอย่างมาก
เวลานี้ ในห้องพักห้องหนึ่งตรงกันข้ามกับเฉินเป่ย หลีชิงเยียนมองซูเหลยที่ยืนอยู่ตรงหน้า แววตามีความดีใจแวบผ่าน “เขากลับมาแล้วเหรอ?”
“ค่ะ ฉันมองเห็นเขาถือของถุงใบใหญ่กลับไปที่ห้องแล้ว” ซูเหลยพยักหน้าพูดขึ้น
“ฉันจะไปดูหน่อย” หลีชิงเยียนลุกขึ้นอย่างเบิกบานใจ เดินไปที่ห้องพักของเฉินเป่ย จากนั้นเคาะๆ ประตู
ทว่ากลับไม่มีคนตอบรับ
หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว เสียงไพเราะที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดลอยเข้าไปในห้องจากด้านนอก “เฉินเป่ย”
“ไม่อยู่” ในห้องพัก สิ่งที่ทำให้หลีชิงเยียนและซูเหลยต้องงงงวยกันคือเสียงที่รำคาญของเฉินเป่ยลอยออกมาจากในห้องแล้ว
หลีชิงเยียนกับซูเหลยงุนงงกันอยู่พักหนึ่ง หลีชิงเยียนถึงตอบสนองเข้ามาก่อน
หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว ใบหน้างดงามเย็นชา แวบเดียวความโกรธในใจผุดขึ้นมา
“เปิดประตูออก ไม่ว่าเธอจะใช้วิธีอะไรก็ตาม” หลีชิงเยียนสั่งซูเหลยเสียงเย็นชา
ซูเหลยมองที่ประตูห้อง สีหน้าลังเล “ประธานหลี แบบนี้ไม่ดีมั้ง?”
หลีชิงเยียนกอดหน้าอก ทำเสียงฮึดฮัด “ช่างกำเริบเหลือเกิน เป็นเวลาที่ต้องปราบกำลังฮึกเหิมของเขาหน่อย ให้เขาอย่าดีใจจนเหลิงขนาดนี้!”
ซูเหลยจำใจ มองประตูห้องทีหนึ่ง ได้แต่ทำใจเด็ด ควักการ์ดธนาคารใบหนึ่งออกมาจากในอก
เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ซูเหลยก็เปิดประตูห้องออกได้แล้ว หลังจากได้รับสายตาที่เลื่อมใสของหลีชิงเยียน ซูเหลยพูดอธิบายอย่างไม่สนใจ “ฉันเพียงแค่ใช้วิธีที่ฉกฉวย ไม่มีอะไรยาก”
หลีชิงเยียนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรกับซูเหลย ก้าวเท้าเข้าไปในห้องแล้ว
ไม่นาน หลังหลีชิงเยียนมองเห็นข้าวของที่อยู่ในห้อง ใบหน้าอึ้งทึ่งไปถึงที่สุด มองขวดเหล่าเปล่ามากมายที่อยู่บนโต๊ะ ชั่วขณะนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป
เธอมองทางเฉินเป่ย พูดเสียงสั่น “นายดื่มไปมากแค่ไหน?”
“นิดหน่อย” สีหน้าเฉินเป่ยยังคงเรียบเฉย
“ดื่มไปมากขนาดนี้จะตายเอาได้นะรู้บ้างมั้ย?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วขึ้น จับเฉินเป่ยขึ้น ตะโกนอย่างเย็นยะเยือก
เฉินเป่ยมองทางหลีชิงเยียน กลิ่นเหล้าพุ่งสูง “ตายก็ตายสิ”
“นายตายแล้ว……ฉันจะทำยังไง?” หลีชิงเยียนไม่ได้ตรึกตรอง หลุดปากออกมา
แต่หลังจากเธอพูดออกมาก็เสียใจแล้ว รีบเปลี่ยนคำ ใช้น้ำเสียงทีเย็นเฉียบอยู่เหนือผู้คนพูดว่า “งานในบ้าน นายคงไม่ได้คิดจะให้ฉันจ้างคนใช้ฟิลิปปินส์เหล่านั้นทำหรอกมั้ง? บอกนายตามตรง เป็นไปไม่ได้!”