สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 299
บทที่299 มวยจูนถี่
นายพลท่านนั้นเดินมาตรงหน้าของเฉินเป่ย จ้องมองเฉินเป่ยจากด้านบนลงมา ในแววตาเต็มไปด้วยความสงบและเย็นชา ทั้งยังมีการดูถูกที่หนาวเย็นนิดๆ
เหมือนว่าในสายตาของเขา เฉินเป่ยไม่มีอะไรแตกต่างกับพวกต่ำต้อย
และมีเพียงตอนที่เขากวาดสายตาไปทางหลีชิงเยียนที่อยู่ด้านข้าง แววตาถึงเผยความละมุนและความโลภเร่าร้อนที่คนอื่นยากจะเห็นนิดๆ ออกมา
หลีชิงเยียนมองเห็นนายพลระดับสูงที่รูปร่างสูงใหญ่ท่านนี้ ในใจตึงแน่น รีบมองเฉินเป่ยแบบเต็มไปด้วยความกังวล กลัวเจ้าหมอนี่จะทำเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ตนเองเข้า
เธอจำได้ว่าระหว่างเฉินเป่ยกับนายพลท่านนี้มีความขัดแย้งกัน
หลีชิงเยียนที่ใส่รองเท้าส้นสูง เดินด้วยฝีก้าวสง่างามไปตรงหน้านายพล ซึ่งบังเฉินเป่ยเอาไว้ได้พอดี เผยรอยยิ้มฉอเลาะมีเสน่ห์เต็มเปี่ยมออกมา “นี่แค่ไม่เจอกันสองสามชั่วโมงเอง พวกเราก็เจอกันอีกแล้วนะคะ”
นายพลพยักหน้า กวาดตามองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง หัวเราะแบบเหยียดหยาม บอกว่า “ชิงเยียน ผมพาเพื่อนคนหนึ่งมาให้คุณเจอ พวกคุณทำความรู้จักไว้หน่อยก็ได้”
หลีชิงเยียนมองทางผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ดวงตางดงามเผยความฉงนออกมา ถามด้วยเสียงน่าดึงดูด “ท่านนี้คือ…….”
“ผมจางเป่าเฉิง เป็นหัวหน้าสมาคมของสมาคมประเมินราคาและสมาคมการพนันเพชรพลอยของหัวเซี่ย สวัสดีครับคุณหลี ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” ผู้อาวุโสถอดหมวกสักหน่อย โน้มตัวทำความเคารพ
ส่วนหลีชิงเยียนหลังได้ยินสถานะของจางเป่าเฉิง ใบหน้างดงามเปลี่ยนสีเล็กน้อย……..หัวหน้าสมาคมของสมาคมการพนันเพชรพลอยหัวเซี่ย ตำแหน่งนี้ เทียบกับหัวหน้าสมาคมของสมาคมการพนันเพชรพลอยเยี่ยนจิงของที่นี่แล้ว ยังสูงไม่รู้จะสูงกว่าแค่ไหน…….
และผู้ที่สามารถนั่งตำแหน่งหัวหน้าสมาคมของสมาคมการพนันเพชรพลอยได้ ฝีมือการพนันเพชรพลอยจะแย่ได้ที่ไหนกัน?
การดำรงอยู่บนยอดของวงการพนันเพชรพลอยในปัจจุบันนี้ หัวหน้าสมาคมของสมาคมการพนันเพชรพลอย ย่อมยึดครองหนึ่งในนั้น
แม้กระทั่งจางเป่าเฉิง เทียบกับอวี้ย้งเซวียนยังเข้าไปถึงจิตใจผู้คนได้มากกว่าหลายระดับ โดยเฉพาะอวี้ย้งเซวียนเป็นเพียงกำลังแฝงยิ่งใหญ่ที่ยังไม่เติบโตขึ้นมา ส่วนจางเป่าเฉิง เป็นบุคคลอาวุโสกว่าในวงการพนันเพชรพลอยตั้งแต่นานแล้ว สายตาร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ขอเพียงเป็นหินที่ผ่านการยืนยันจากเขา แทบจะไม่มีที่ไม่มีเพชรพลอยออกมา
“หัวหน้าสมาคมจาง สวัสดีค่ะ”
นายพลที่อยู่ด้านข้างมองเฉินเป่ยอย่างดูถูก บอกว่า “หัวหน้าสมาคมจางได้ยินเรื่องราวของคุณหลีมาโดยตลอด หลังได้ยินว่าผมรู้จักคุณหลี ก็เลยให้ผมพามาเจอสักหน่อย”
พูดจบ นายพลมองเฉินเป่ยอย่างยั่วยุแวบหนึ่ง และดวงตาของหลีชิงเยียนเผยความแปลกใจออกมา “หัวหน้าสมาคมจางคะ ฉันไม่ได้มีชื่อเสียงที่เยี่ยนจิง ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง……ไม่ควรค่าให้หัวหน้าสมาคมจางมาสนใจขนาดนี้หรอกมั้งคะ?”
จางเป่าเฉิงหัวเราะฮาๆ พูดอธิบาย “ปีที่แล้วผมไปจัดการธุระบางอย่างที่หู้ไห่ เลยได้ยินเรื่องราวของคุณมา อยากเจอหน้าคุณมาตลอด แต่ไม่มีโอกาส ตอนนี้งานพนันเพชรพลอยให้โอกาสนี้มาพอดีเลย”
หลีชิงเยียนพยักหน้า จางเป่าเฉิงชี้ไปทางโซนพักผ่อนไม่ไกลจากตรงนี้มาก บอกว่า “พวกเราไปนั่งคุยกันที่นี่เถอะ”
ภายในโซนพักผ่อน หลีชิงเยียนกับจางเป่าเฉิงพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ส่วนเฉินเป่ยและนายพลอยู่ที่อีกโต๊ะตัวหนึ่ง
เฉินเป่ยไม่ได้มองนายพลท่านนี้ไปตรงๆ สักนิด สายตาของเขาอยู่ที่ตัวของหลีชิงเยียนตั้งแต่แรกจนจบ
และเห็นหลีชิงเยียนคุยกับจางเป่าเฉิงอย่างออกรสออกชาติ ทำให้ในใจเขาเริ่มปะทุความรู้สึกหึงนิดๆ ขึ้นมา ทันใดนั้นเสียใจขึ้นมาอยู่บ้าง
และเวลานี้ หลีชิงเยียนมองจางเป่าเฉิงอยู่ ยิ้มบอก “หัวหน้าสมาคมจางคะ ฉันเลื่อมใสคุณมานานมากแล้วค่ะ ชื่อของคุณ พูดได้ว่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วเลยค่ะ”
จางเป่าเฉิงปัดๆ มือแล้วยิ้มตอบ “การพนันเพชรพลอยตกต่ำ ผมเพียงแค่พยายามสุดความสามารถของตัวเองเท่านั้น”
จางเป่าเฉิงพูดอยู่ ก็เปลี่ยนหัวข้อ พูดว่า “คุณหลีครับ ได้ยินว่าช่วงนี้บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปกำลังหาที่ปรึกษาทางด้านการพนันเพชรพลอยเหรอครับ?”
หลีชิงเยียนพยักหน้าแล้ว ถามด้วยเสียงน่าดึงดูด “หัวหน้าสมาคมจางมีตัวเลือกอะไรดีๆ รึเปล่าคะ?”
หัวหน้าสมาคมจางยิ้มแบบลึกลับ มองหลีชิงเยียนแบบรอยยิ้มมีความหมายลึกซึ้ง พยักหน้า ตอบว่า “ทางนี้ผมยังมีตัวเลือกอยู่คนหนึ่งพอดีเลยครับ”
“ใครคะ?” หลีชิงเยียนยักคิ้ว ใบหน้าสวยเพริศพริ้งเผยสีหน้าที่อยากรู้อยากเห็น
สามารถเป็นตัวเลือกที่จางเป่าเฉิงแนะนำได้ ย่อมเป็นผู้มีฝีมือดีจริงอยู่บ้างแน่นอน ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเด็ดขาด
หัวหน้าสมาคมจางมองหลีชิงเยียน หัวเราะนิดหน่อย “คุณหลี คนนี้ดูเหมือนจะห่างไกลอยู่มาก แต่ความจริงอยู่ใกล้มือมากๆ เลย”
“หา?” หลีชิงเยียนสีหน้ามึนงง ชั่วขณะนั้นตอบสนองเข้ามาไม่ทันเท่าไร มองจางเป่าเฉิงอยู่ ในใจผุดความคิดที่กล้าหาญอย่างหนึ่งออกมาแบบคาดไม่ถึง
“หัวหน้าสมาคมจาง ความหมายของคุณคือ…….” ชั่วพริบตาเดียวหลีชิงเยียนสีหน้าสงสัยขึ้นมา
จางเป่าเฉิงพยักๆ หน้า “ถูกต้องครับ ไม่รู้ว่าความสามารถของผมสามารถรับตำแหน่งที่ปรึกษาของบริษัทคุณได้หรือไม่”
หลีชิงเยียนงุนงง อย่างไรเสียเธอก็นึกไม่ถึง นี่พึ่งคุยกันมาได้ไม่ทันไร จางเป่าเฉิงอยากเข้าร่วมบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปด้วยตนเองแล้ว
ถ้าจางเป่าเฉิงเข้าร่วมกับบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป อนาคตกลายเป็นผู้ช่วยใหญ่ของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปเลยนะ
สมองหลีชิงเยียนอื้ออึง ผ่านไปตั้งนาน ภายใต้การเตือนสติของจางเป่าเฉิง ถึงได้ตอบสนองกลับมา
“ทำไมครับ ไม่ได้เหรอ?” บนหน้าจางเป่าเฉิงมีความไม่พอใจนิดๆ แวบผ่าน
“แน่นอนค่ะ ได้แน่นอน” หลีชิงเยียนกดความตื่นเต้นไว้ในใจ รีบพยักหน้าทันที อย่างกับลูกเจี๊ยบที่จิกข้าว
หลีชิงเยียนตื่นเต้นจนงงไปหมดแล้ว อย่างไรเสียเธอก็คาดไม่ถึง จางเป่าเฉิงยินยอมลดฐานะมาที่บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของตนเอง
“คุณมาที่บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของพวกเราได้ ช่างดีเสียจริงๆ เลย……..เป็นโชคดีของบริษัท ทำให้บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปมีหน้ามีตาขึ้นเลยค่ะ” หลีชิงเยียนกดอารมณ์ที่ฮึกเหิมไว้ในใจ บอกไป
หลีชิงเยียนพูดอยู่ ทันในนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อ ถามว่า “หัวหน้าสมาคมจางคะ เพียงแต่ฉันมีส่วนที่ไม่เข้าใจนิดหน่อย ทำไมคุณถึงเลือกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของพวกเราคะ สำหรับฉันนั้น ไม่มีจุดไหนของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปที่โน้มน้าวคุณได้เลย”
“ง่ายมาก วัฒนธรรมการพนันเพชรพลอยที่เยี่ยนจิงเป็นที่นิยมมากแล้ว ก้าวต่อไป ใจกลางของสมาคมของพวกเราจะไปตั้งที่หู้ไห่ พยายามพัฒนาที่หู้ไห่อย่างเต็มที่ ดังนั้นผมถึงจะร่วมงานกับบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของพวกคุณ”
จางเป่าเฉิงพูดอย่างสง่าผ่าเผยมาก หลีชิงเยียนฟังจนงงงวยอยู่บ้าง จนสุดท้ายก็ไม่เข้าใจว่าจางเป่าเฉิงพูดสาเหตุอะไร
แต่เธอไม่สนใจอีกแล้ว เธอโดนความดีใจที่มาอย่างกะทันหันทำสมองงุนงงแล้ว
ตอนที่หลีชิงเยียนและจางเป่าเฉิงคุยกันอย่างร้อนแรง นายพลมองเฉินเป่ยอย่างเมินเฉย รอยยิ้มหนาวเย็นขบคิด ราวกับกำลังสังเกตการณ์กระทำของสัตว์เลี้ยงน่ารักตัวหนึ่ง
มองดูสักพักหนึ่ง นายพลก็หัวเราะ รอยยิ้มดูถูก
ในที่สุดเฉินเป่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป กวาดสายตามองนายพล คาบบุหรี่ไว้ เอ่ยปากอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “ได้ยินว่าคุณเก่งกาจมาก?”
น้ำเสียงของเฉินเป่ยอันธพาลอย่างมาก ยิ่งทำให้นายพลเหยียดหยาม
นายพลเอ่ยปากนิ่งๆ “ความต่างระหว่างคนกับคน เป็นสิ่งที่นายไม่มีทางจินตนาการได้ ฉันกับนาย นั่นอยู่คนละโลก…….” นายพลชี้ไปทางหลีชิงเยียนที่ไม่ไกลนัก มุมปากฉีกยิ้มหยอกล้อ “ชอบเธอใช่หรือไม่? แต่นายเองก็ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองหน่อยเถอะ นายมีอะไรคู่ควรกับเธอ?”
“ถ้าฉันเป็นนาย คงไม่โต้กลับคนที่เดิมทีตัวเองหาเรื่องไม่ได้อย่างเด็ดขาด สำหรับคนแบบพวกนาย พวกฉันคือเทพ เป็นเทพที่เดิมทีพวกนายหาเรื่องไม่ได้!”
เฉินเป่ยคาบบุหรี่ไว้ ได้ยินคำพูดพวกนี้ของนายพล เบ้ๆ ปาก “ช่างเถอะ เทพแบบนายนี้ ฉันคนเดียวตีได้เป็นสิบ”
การเหยียดหยามของเฉินเป่ยเหมือนแตะโดนความภูมิใจของนายพลเข้า เขามองเฉินเป่ยที่รูปร่างเล็กตัวดำผอมแห้งแวบหนึ่ง หัวเราะแบบดูถูกไปด้วย ส่ายๆ หน้าไปด้วย ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง พูดอย่างเหนือกว่า “ให้นายได้รับรู้หน่อย ความแตกต่างระหว่างคนเรา”
มุมปากนายพลฉีกรอยยิ้มอ่อนๆ เขาเกือบจะมีความมั่นใจเต็มร้อยเลย เฉินเป่ยที่ร่างกายผอมเล็กนี้ ไม่มีเรี่ยวแรง…….ส่วนเขาในฐานะนายพลระดับสูงของกระทรวงการป้องกันสงครามของเยี่ยนจิง เคยได้รับการฝึกฝนที่เข้มงวดโหดร้ายที่สุดของกระทรวงการป้องกันสงครามของเยี่ยนจิงมา ห่างไกลเกินกว่าเฉินเป่ยจะมาเปรียบเทียบได้
พลังของเขาเกินกว่าคนทั่วไปอยู่มาก
เฉินเป่ยสังเกตนายพลทีหนึ่ง ที่เกินความคาดหมายของนายพลคือเขาหัวเราะเล็กน้อย ยื่นมือกะทันหัน กุมข้อมือของนายพลเอาไว้ทีหนึ่ง
จากนั้นสีหน้าของนายพลก็เปลี่ยนแล้ว เฉินเป่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา หลังตรงดิ่งขึ้นมาฉับพลัน ทั้งตัวคนจากที่อ่อนแอไร้แรง กลายเป็นสูงใหญ่ขึ้นมา
ท่วงทีบนตัวของเฉินเป่ยเปลี่ยนไปเช่นกัน ดูแปลกหน้าเย็นชา มองนายพลอย่างยั่วเย้าและเหน็บแนม ส่วนนายพลจ้องมือของเฉินเป่ยด้วยสีหน้าดุร้าย กัดฟันแน่น
บนหน้าของนายพลมีเส้นเลือดปูดขึ้นมา……..แขนที่ดึงข้อมือของเขาข้างนั้นมีกล้ามเนื้อแต่ละก้อนโผล่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งเป็นพิเศษ
ข้อมือของสองคนกำลังลาดเอียงลง…….ที่ทำให้นายพลตกใจคือสิ่งที่เข้าใกล้โต๊ะนั้น เป็นหลังมือของเขา
ในแขนของเฉินเป่ยที่ดูเหมือนเรียวเล็กนั้น คาดไม่ถึงครอบครองพลังที่ทำให้นายพลนึกไม่ถึง
ถึงแม้นายพลท่านนี้จะผ่านการฝึกฝนของกระทรวงการป้องกันสงครามของเยี่ยนจิง แต่จะรู้ได้อย่างไร……..ที่เฉินเป่ยประสบมา เป็นการฝึกฝนปีศาจระดับขีดจำกัดของร่างกายคนที่โหดร้ายกว่าเขาเป็นร้อยเท่า
การฝึกฝนแต่ละรายการล้วนใกล้ถึงขีดจำกัดของร่างกายคน……และขีดจำกัดของร่างกายคน……มีอยู่เพียงระหว่างความเป็นความตายถึงได้รับการเลื่อนขั้น
เพียงแค่การฝึกฝนขีดจำกัด……..เฉินเป่ยก็วนไปวนมาบนเส้นความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน บอกว่าครอบครองพลัง กลับไม่สู้บอกว่าเขาเป็นคนในร่างสัตว์ดุร้ายยังจะดีกว่า
นายพลพยายามใช้กำลังหมดทั้งตัว แขนของเขาสั่นเทาเล็กน้อยเพราะใช้แรงเกินไป เขามองทางเฉินเป่ย สายตาเต็มไปด้วยความหมายตกใจ
เขามองเฉินเป่ยอยู่ ในสายตาไม่มีการดูถูกแบบก่อนหน้านี้ เขาไม่มีทางยอมรับ…….พลังของตนเอง คาดไม่ถึงยังสู้พวกต่ำต้อยแบบนี้ไม่ได้?
หลังนั้นครู่หนึ่ง นายพลก็สั่นเทาไปทั้งตัว กัดฟันแน่น หลังมือของเขาเข้าใกล้โต๊ะไปทีละนิด ส่วนเฉินเป่ยยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอกสบายใจ ราวกับว่ามือข้างนี้ไม่ต้องใช้แรงแต่อย่างใด…….
“เฮือก…….” ในที่สุดนายพลท่านนี้ก็ต้านทานไม่ไหว ร้องตะโกนทันที อยากดึงแขนของตนเองกลับมา
แต่ความเร็วของเฉินเป่ยไวกว่า ดวงตามีการยั่วเย้านิดๆ ขึ้นฉับพลัน ร่างกายสูงใหญ่ของนายพลลอยขึ้นมาอย่างเบาหวิว โดนเฉินเป่ยโยนลงพื้นอย่างแรง
ทุ่มลงอย่างสวยงาม
การกระทำนี้ช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยความรู้สึกงดงามของกำลังป่าเถื่อน ถ้าเวลานี้มีผู้ตัดสินอยู่ที่ในเหตุการณ์ คงให้คะแนนเต็มสิบอย่างแน่นอน
“มีอะไรกัน?”
ความผิดปกติทางนี้ของเฉินเป่ย ทำเอาหลีชิงเยียนและจางเป่าเฉิงตกใจแล้ว ทั้งสองมองตามเสียงแปลกๆ มา พอมองก็เห็นนายพลนอนคว่ำอยู่บนพื้นอย่างกระเซอะกระเซิง ส่วนเฉินเป่ยท่าทางกำลังจัดการเขาที่มอมแมมนั้น
“นายเป็นบ้ารึไง!”
หลีชิงเยียนมองเห็นนายพลท่านนั้นหมอบอยู่บนพื้น ชั่วขณะนั้นร้อนใจแล้ว…….นี่คือนายพลระดับสูงของกระทรวงการป้องกันสงครามของเยี่ยนจิง เดิมทีจะหาเรื่องไม่ได้
เฉินเป่ยในครั้งนี้ อยากลากเธอไปเดือดร้อนด้วยกันเหรอ?
หลีชิงเยียนที่ใส่รองเท้าส้นสูงพุ่งเข้ามาด้วยความโมโหเดือดดาล ไฟโกรธที่มหาศาลเก็บไว้ไม่ได้อีก อยากระบายใส่เฉินเป่ย
ด้านข้าง ซูเหลยขยับมาใกล้อีกด้าน มุมปากฉีกขึ้นนิดหน่อย หล่อนเหมือนใกล้ได้เห็นการแสดงที่สนุกฉากหนึ่ง
“คุณไม่เป็นอะไรนะคะ?” หลีชิงเยียนรีบพยุงนายพลระดับสูงท่านนี้ขึ้นมา ถามด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไร” นายพลโบกๆ มือ มองทางเฉินเป่ย ในแววตากลับเผยความหมายหนักหน่วงออกมา
เขาค่อยๆ เดินเข้ามาทางเฉินเป่ย รอตอนที่เดินมาถึงตรงหน้าเฉินเป่ย ถึงหยุดลงมา
นายพลจ้องมองเฉินเป่ยอยู่ ถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หมัดเมื่อกี้นั้น ใครเป็นคนสอนนาย?”
เขามองเฉินเป่ย ในสายตาแฝงด้วยความตื่นตกใจที่ยากจะปิดซ่อนไว้