สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 366
บทที่ 366 ร่องรอยมือสังหาร!
ทางผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถรับสภาพไว้ได้อีกแล้วถึงตายเขาก็ไม่เชื่อว่า เฉินเป่ยใช้เข็มทองคำเรียวยาวๆ หลายเล่ม ก็สามารถเปลี่ยนลิขิตจากสวรรค์ จนสามารถกระตุ้นระบบภายในของหัวหน้าหลี่ได้!
สำหรับทางการแพทย์ทางตะวันตกแล้ว มันเป็นเรื่องที่เฉกเช่นอาหรับราตรีที่แปลกประหลาดโกหกกันทั้งเพ! ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ตามความจริง!
เฉินเป่ยจ้องมองพวกนักวิชาการอย่างเงียบๆ จากนั้นก็อธิบายไปอย่างง่ายๆ ว่า “ที่คุณคิดเองเออเองว่าเป็นการช่วยชีวิตนั้น มันไม่มีอะไรมากไปกว่าในการช่วยฝังเข็มที่หัวใจและการเต้นของหัวใจเพื่อให้มันความสอดคล้องกัน… หรือว่าคุณคิดว่ามีแค่การแพทย์ทางตะวันตกเท่านั้นที่มีวิธีการในการช่วยชีวิตคนในยามฉุกเฉินเช่นนี้ แล้วทางการแพทย์จีนก็ไม่มีวิธีการแบบนี้งั้นเหรอ?”
“ความสำคัญของวิชาการฝังเข็มทองคำเป็นการปรับร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ… แต่ใครบอกคุณเล่าว่าการฝังเข็มทองคำนั้นนอกจากปรับสภาพร่างกายแล้วจะไม่มีประโยชน์อย่างอื่นเลย? หยงฉวน ไป่ฮุ่ย ถานจง เหอกู่ ทั้งหมดนี่เป็นตำแหน่งจุดฝังเข็มของร่างกายมนุษย์ ยามเมื่อคนเราเสียเลือดมาก และอยู่ในสภาวะช็อกจากการเสียเลือด ประโยชน์ของตำแหน่งจุดฝังเข็มเหล่านี้จะกระตุ้นร่างกายมนุษย์… ตัวเข็มทองอื่นอีก 45 เล่มจะคอยช่วยสนับสนุนการฝังเข็มทั้งสี่จุดนี้ ตามที่แพทย์แผนจีนต่างขนานนามว่าลมปราณในร่างกาย ลมปราณถูกปิดกั้นเอาไว้ได้สำเร็จ อาการในการรอดชีวิตของหัวหน้าถูกกระตุ้นขึ้น ย่อมสามารถตื่นขึ้นมาได้” เฉินเป่ยอธิบายด้วยเสียงเรียบเฉย
เฉินเป่ยมองทางผู้เชี่ยวชาญที่สีหน้ากระตุก ท่าทางผงะเล็กน้อย พลันยิ้มให้ “หรือว่าขนาดเรื่องลมปราณพวกนี้คุณก็ยังไม่รู้เรื่องเลยเหรอ?”
ทางผู้เชี่ยวชาญสีหน้าผงะเล็กน้อย จากนั้นเมื่อรู้ตัวพลันส่งเสียงงึมงำในลำคอ พลันเอ่ยออกมา “ฉันย่อมรู้ว่านี่มันคืออะไร ฉันยิ่งรู้มากไปกว่านั้น นี่เป็นทฤษฎีทางการแพทย์แผนจีน แต่ก็ไม่มีผลอะไรสักนิด!”
“ทฤษฎีงั้นเหรอ?” เฉินเป่ยแสยะยิ้ม “การปฏิบัติทั้งหมดโดยอาศัยทฤษฎีเป็นพื้นฐาน…ทฤษฎีคือการยังไม่ได้ปฏิบัติเท่านั้นเอง ใครบอกคุณว่ามันใช้ไม่ได้?”
สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญยิ่งดูไม่ได้มากขึ้น เฉินเป่ยกล่าวอย่างปกติ “ขนาดกลอุบายฉ้อฉลของแกยังอธิบายไม่ถูกต้องเลย แต่ดันมาโกหกหน้าตายพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ…. คุณภาพประเภทอย่างแก สมควรแล้วเหรอกับการที่ใครต่อใครต่างเรียกแกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญวงการแพทย์มือฉกาจอันดับต้นๆ ของเมืองหู้ไห่ พวกแกถามใจตัวเองกันแล้วหรือใจ ว่าพวกแกคู่ควรกับคำพูดนั้นไหม?”
เฉินเป่ยสาวเท้ายาวเดินมุ่งหน้าไปทางผู้เชี่ยวชาญ…ทุกก้าว มันยิ่งทำให้อารมณ์โกรธเคืองของเฉินเป่ยพลุ่งพล่านเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ … ยามเมื่อฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงพื้นในแต่ละก้าว จนบริเวณใต้ฝ่าเท้านั้นมีรอยพื้นแตกจนแยกเป็นตาข่ายแมงมุมอันน่าตกใจปรากฏให้เห็น!
“กรึบ กรึบ กรึบ!!”
เฉินเป่ยเดินมุ่งหน้าไปทางผู้เชี่ยวชาญ…ความเย็นยะเยือกในดวงตาถักทอจุดประกายออกมาเป็นสายตาอันเย็นเฉียบ… สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญซีดเผือดจนดูไม่ได้ … เพราะเขาทนรับสภาพกับพลังอำนาจที่แผ่รัศมีออกมาตัวเฉินเป่ยได้ พลันก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ ….
“ตึง!”
ผู้เชี่ยวชาญถอยหลังกรูดจนหลังชิดกับผนังกำแพง ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า พร้อมทั้งตามองมาที่เฉินเป่ย หัวใจเต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่ง!
“ถ่วงเวลาในการรักษาของฉัน แถมยังอยากจะทำลายชื่อเสียงแพทย์แผนจีนให้เสียหาย…จรรยาบรรณแพทย์อย่างแก ยากนักที่ได้รับคำสรรเสริญเยินยอ… ต่อไปอย่าให้ฉันเห็นหน้าแกที่เมืองหู้ไห่อีกเป็นอันขาด ไม่งั้นฉันไม่รับปากว่าตอนที่เจอหน้าแกอีกอาจจะชกหน้าแกสักครั้งก็ได้” เฉินเป่ยคลำหาบุหรี่ หลังจากจุดบุหรี่มวนนั้นแล้ว ก็สูบอัดเข้าปอด พลันค่อยๆ ปล่อยกลุ่มควันให้ลอยออกมาเป็นกลุ่มวงกลม
กลิ่นบุหรี่เหม็นฟุ้งไปทั่วบริเวณ ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นตกใจจนขาสั่นสะท้าน เขาจะเอาความกล้าบ้าบิ่นที่ไหนมาที่จะไม่เชื่อคำพูดของเฉินเป่ย พลันผงกหัวรับคำอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางราวกับเจ้าไก่แจ้ตัวน้อยที่กำลังจิกข้าวเปลือกเช่นนั้น
เฉินเป่ยค่อยๆ เอ่ยปากพูด.. พร้อมทั้งจ้องผู้เชี่ยวชาญคนนั้นตาเขม็ง น้ำเสียงหนักแน่นจนทำให้อีกฝ่ายสยดสยอง
“พอแล้ว เขาช่วยรักษาชีวิตคนมาก็ไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาต้องหวาดกลัวขนหัวลุกถึงเพียงนี้ก็ได้” เวลานั้นเอง มีน้ำเสียงอันอบอุ่นดังมาจากทางด้านหลังของเฉินเป่ย เฉินเป่ยจ้องตามองผู้เชี่ยวชาญอยู่สักพัก มุมปากกระตุกรอยยิ้มดูถูกดูแคลนออกมา พลันค่อยๆ หันตัวกลับไปมองทางด้านหลัง พร้อมทั้งเดิ่นมุ่งหน้าไปหาหัวหน้าทันที
“ว่าไงตาแก่ อาการดีขึ้นบ้างยัง?” เฉินเป่ยเดินมายืนตรงหน้าหัวหน้าหลี่ พร้อมทั้งพิจารณาหัวหน้าหลี่อยู่แวบหนึ่ง พร้อมทั้งเอ่ยถามแกมหยอกล้อกลับ
“ดีขึ้นมากแล้ว น่าเสียดายที่ต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง….” หัวหน้าหลี่ก้มหน้าก้มตา พลางมองขาของตนเองอยู่ข้างหนึ่ง พลางถอนหอยใจอย่างใจหาย พลันเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในนี้ ก็น่าจะสายเกินแก้ไปแล้ว ขาข้างนี้คงรักษาไม่ได้แล้ว คงต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง”
เฉินเป่ยถึงกลับผงะไปชั่วครู่ นัยน์ตาจดจ้องมองมาที่ขาของหัวหน้าหลี่ข้างที่ขาเสียพิการไป แววตาจ้องมองอยู่สักพัก พลันเอ่ยว่า “เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลไป ผมมีวิธีการของผม”
“แกมีวิธีการเหรอ?” หัวหน้าหลี่ถึงกับตกตะลึง พลันใช้แววตาอันตกใจมองมาทางเฉินเป่ย
“แกอย่าพูดเพ้อเจ้อ เมื่อครู่ผู้เชี่ยวชาญเขาก็บอกแล้วว่าขาข้างนี้ ต้องตัดขาถึงจะหยุดอาการลุกลามของเชื้อโรคได้ ถึงแม้ว่าจะใส่ขาเทียมที่เทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดก็ตาม ความสามารถในการเคลื่อนไหวของหัวหน้าก็ยังมีขีดจำกัด” หนึ่งในสายลับพิเศษสีหน้านิ่ง พร้อมทั้งขมวดคิ้วตอนพูดเตือนสติ
เฉินเป่ยกวาดตามองสายลับคนนั้นอยู่แวบหนึ่ง พลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ “พวกนายทำไมถึงไปเชื่อคำพูดของเขาได้ จนเหมือนว่าหัวหน้าของพวกนายถูกเขาช่วยชีวิตให้รอดกลับมาได้อย่างนั้นแหละ”
เฉินเป่ยพูดไป พร้อมทั้งกวาดตามองแมงปล่องที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ…ตัวแมงป่องในเวลานั้นไม่ได้ทำท่าทางเก่งฉกาจดั่งก่อนหน้านี้อีกแล้ว เมื่อมันสัมผัสถึงแววตาของเฉินเป่ยได้ พลันตัวสั่น จนร่างกายสั่นสะท้าน พร้อมทั้งหดหัวลงมา แทบไม่กล้าสบตากับเฉินเป่ยด้วยซ้ำ
หลังจากที่หัวหน้าหลีตื่นขึ้นมาแล้ว แมงป่องมันฉลาดเฉลียวกว่าผู้เชี่ยวชาญตั้งเยอะ…เฉินเป่ยใช้ความโหดเหี้ยมที่แท้จริงจ้องหน้ามัน… มันไม่กล้ากระโดดพุ่งเข้าหา..แถมทำตัวต่ำต้อยไม่ส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แทบไม่กล้าสร้างจุดสนใจให้เฉินเป่ยเห็นอีกเลย
ส่วนในเวลานี้ เฉินเป่ยใช้สายตาจ้องมองมัน แค่สายตาเท่านั้นเอง ยิ่งทำให้ตัวแมงป่องตัวสั่นสะท้านอยู่สามครั้ง
“แกมีวิธีจริงๆ ใช่ไหม?” หัวหน้าหลี่มองตามสายตาของเฉินเป่ย พลันจุดประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินเป่ยหันมามองทางหัวหน้าลี่ แถมยิ้มให้เล็กน้อย “อย่างน้อยก็สามารถทำให้ไม่ส่งผลกระทบในการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันของคุณ”
หัวหน้าหลี่พยักหน้ารับรู้ความหมาย พลันถอนหายใจเล็กน้อย “ผิดที่ฉันเอง ตัวเองอดใจไม่ไหวที่จะขยับเขยื้อนร่างกาย จนมันต้องเสียหายหนัก เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย…เดิมทีคิดว่าคงติดค้างบุญคุณกับแกไว้แค่นิดหน่อยเท่านั้น ที่ไหนได้ไม่คิดเลยว่าจะติดหนี้บุญคุณแกไว้เยอะเชียว… การช่วยชีวิตเอาไว้ในครั้งนี้ ฉันกับลูกน้องของฉัน จะจดจนวันตายไม่มีวันลืมเลือน”
“เรื่องแค่นิดเดียวเอา ไม่ต้องมาขอบคุณกันหรอก” เฉินเป่ยเอ่ยปากพูดอย่างธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเขาแทบไม่ได้เอาเรื่องพรรค์นี้มาจำฝังใจเลย
ทว่าหัวหน้าหลี่เอาแต่ส่ายศีรษะไปมา พลันพูดกับเหล่าสายลับพิเศษที่ฝีมือเก่งกาจที่อยู่ด้านข้าง “ถ้าไม่ใช่คุณเฉินเข้ามาช่วยเหลือ… เกรงว่าเวลานี้พวกเขาคงเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ตระกูลตู้ตั้งแต่แรกแล้ว พวกแกยังไม่ขอบคุณ คุณเฉินกันอีกหรือนี่?!”
“ขอบพระคุณคุณเฉินที่เข้ามาช่วยชีวิตเอาไว้!”
น้ำเสียงอันเข้มงวดของหัวหน้าหลี่ ทำให้พวกสายลับมองมาทางเฉินเป่ย พลันนึกถึงทุกเรื่องที่พวกเขาทำไว้กับเฉินเป่ยก่อนหน้านี้ จนทำให้พวกเขายิ่งละอายใจหนักกว่าเก่า พลันหันมาขอโทษเฉินเป่ย ด้วยความเคารพอย่างเต็มเปี่ยม
“ทำไมฝีมือทางการแพทย์ของแกถึงได้เก่งกาจไปได้ขนาดนี้ล่ะ?” หัวหน้าหลี่มองมาที่เฉินเป่ย พร้อมถามคำถามด้วยความแปลกใจ เขาสงสัยมาก เพราะว่าในความทรงจำของเขานั้น เฉินเป่ยแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการแพทย์เลยสักนิด
สีหน้าของเฉินเป่ยฉายอาการหยอกล้อขึ้นมาเล็กน้อย มุมปากกระดกเล็กน้อย แถมยังยิ้มให้ “ใครบอกคุณล่ะว่าฉันไม่รู้เรื่องวิชาแพทย์อะ?”
“งั้นก็หมายความว่า ทักษะการแพทย์ของคุณเฉินต้องยอดเยี่ยมมาก” เวลานั้นเอง พลันมีเสียงประจบสอพลอดังขึ้นด้านหลังของเขา เฉินเป่ยกวาดตามอง ก็เห็นว่าแมงป่องยิ้มหน้าบาน แทบไม่มีร่องรอยที่โกรธเคืองดุร้ายกับเฉินเป่ยก่อนหน้านี้เลย
เฉินเป่ยกวาดตามองตามปกติ ถึงแม้ว่านัยน์ตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ตัวเขาก็ตาม พลันเบนสายตาไปที่หัวหน้าหลี่แทน พลันกล่าวว่า “ทางตระกูลตู้กับตระกูลจางทั้งสองตระกูลต่างได้รับผลกรรมที่ธรรมไว้แล้ว”
หัวหน้าหลี่พยักหน้าให้ สายลับที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งถามกลับทันที “ที่ตระกูลตู้ ตอนที่คุณตามหาพวกเราจนมาเจออยู่ในห้องใต้ดิน จนช่วยพวกเราออกมาได้แล้ว … ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกตระกูลตู้ใช้วิถีทางทำให้พวกเขาตกเป็นทาสรับใช้ ทำไมคุณไม่ยอมปล่อยพวกเขาออกมาล่ะ?”
เฉินเป่ยไม่ได้อธิบาย แต่หัวหน้าหลี่พูดแทนให้ “มันง่ายมาก ถึงแม้ว่าพวกเราช่วยเหลือพวกเขาให้ออกมาได้ แต่ไม่อาจจัดการพวกเขาให้ดีได้พวกเขาก็จะกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ให้แทน หลังจากที่พวกเราไปแล้ว ย่อมมีคนจัดการพวกเขาได้ดีกว่าพวกเราอย่างแน่นอน”
“ใครเหรอ?” สายลับคนนั้นยังไม่เข้าใจความหมายนี้สักเท่าไหร่
“ก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองหู้ไห่ไง พวกเขาก็ไม่ได้นั่งกินภาษีอย่างเดียวนี่ เมืองหู้ไห่เกินเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทางสถานีตำรวจต้องได้รับข่าวแน่นอน” หัวหน้าหลี่พูดอธิบายความหมาย
สายลับคนนั้นยังครุ่นคิดอยู่ แต่ทางหัวหน้าหลี่นั้นหันมามองเฉินเป่ย พลางเอ่ยว่า “สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้ ก็คือทางตำรวจจะตามร่องรอยพวกเรามาถึงที่นี่ได้ไหม ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องมันจะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่หนักกว่าอีก”
“ไม่หรอก ฉันรู้จักคนคนหนึ่ง พูดง่ายมาก” เฉินเป่ยยิ้มเล็กน้อย แถมเป็นรอยยิ้มขี้เล่นเสียด้วย
“ขนาดทางตำรวจในหู้ไห่นายยังมีเส้นสายคนข้างในอีกเหรอ?” หัวหน้าหลี่ตะลึงไปชั่วขณะ พร้อมพูดเสริมไปอีก “ขนาดทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศยังมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในหน่วยงานตำรวจของหู้ไห่ด้วยซ้ำ …ไม่คิดเลยว่าแกจะมี…”
“ก็แค่สาวน้อยเผ็ดแสบทรวง ม้าป่าจอมผยอง คุณคิดว่าสั่งสอนได้ง่ายไหมล่ะ?” เฉินเป่ยเบะปากให้ แถมน้ำเสียงยังเยาะเย้ยเล็กน้อย “ทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศของพวกคุณต้องการเด็กเส้นไหมล่ะ? ทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศของพวกคุณอยากทำอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ต้องใช้เหตุผลหรอกเหรอ?”
หัวหน้าหลีหน้าตึงทันที นัยน์ตาพลันฉายแววตาละอายใจอย่างหนักหน่วงจนบอกไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมทั้งพูดว่า “ฉันรู้ คุณยังมัวแต่คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศ แต่เรื่องนั้นมันได้ผ่านไปแล้ว ถึงเวลาที่คุณต้องปล่อยวางมันได้แล้ว”
“ปล่อยวางเหรอ?” เฉินเป่ยไม่ตอบแสดงท่าทีใดๆ กับหัวหน้าหลี่เลย นัยน์ตาดำดิ่งถลำลึก นัยน์ตาลึกๆ ของเขานั้น ปรากฏความเจ็บปวดอันแสนทรมานพร้อมทั้งความสับสนออกมาไม่ขาดสาย… จนไม่สามารถสะบัดทิ้งไปได้…
ปล่อยวางเหรอ? มันจะปล่อยวางได้ด้วยเหรอ? ถ้าไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนหลายฝ่ายได้มีการร่วมลงมือสังหารหมู่… ในต่างประเทศจะกำเนิดราชาหลังที่เป็นมือหนึ่งของนักฆ่าสังหารได้อย่างไร?
“ฉันสามารถปล่อยวางได้ แต่ฉันไม่ปล่อยพวกเขาไป” เฉินเป่ยจ้องมองมาที่หัวหน้าหลี่ พลางค่อยๆ เอ่ยขึ้นมา
หัวหน้าหลี่ทำหน้าตกตะลึงเป็นอันดับแรก แต่ก็สามารถดึงสติกลับมาได้อย่างเร็ว พร้อมทั้งรีบทำสีหน้าขอโทษออกมา พลันพูดว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันไม่ได้หยุดค้นหาเลยสักครั้ง… ทว่าแทบไม่มีข่าวคราว หรือร่องรอยของญาติพี่น้องของคุณเลย ราวกับว่าถูกคนลบเลือนทุกอย่างออกไปเช่นนั้น… ขนาดศพที่น่าสงสัยยังไม่มีเลย…ฉันขอโทษ ฉันรู้สึกว่า พวกเขาคงไม่ได้อยู่ที่หัวเซี่ยแล้ว ไม่งั้น ด้วยช่องทางการหาข่าวของฉันแล้ว ต้องได้รับข่าวคราวกลับมาแล้ว”
เฉินเป่ยแสยะยิ้มให้ตนเอง “งั้นคุณก็หมายความว่าน่าจะไปอยู่ที่ต่างประเทศงั้นสิ?”
หัวหน้าหลี่ไม่ได้พูดต่อ เพราะว่าเขารู้อย่างชัดเจนว่า การเป็นราชาหลงนั้น ช่องทางในการหาข่าวของเฉินเป่ยนั้นย่อมแย่กว่าเขาเยอะด้วยเหรอ? ขนาดผู้ชายที่ตำแหน่งยืนอยู่เหนือที่สุดในโลกยังหามไม่เจอ แล้วตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ต๊อกต๋อยของทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศจะหาเจอไหมล่ะ?
………
เมืองหู้ไห่ บริเวณบ้านตระกูลตู้
กลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้งตลบอบอวลชวนอาเจียน ยามเวลาผ่านไปเรื่อยๆ กลิ่นคาวเลือดก็ส่งกลิ่นเหม็น ออกมาจากด้านในของบ้านตระกูลตู้
บริเวณด้านนอกของบ้านตระกูลตู้ ไม่มีคนอยู่สักคน ไม่มีใครหน้าไหนที่กล้าเข้าใกล้บ้านตระกูลตู้เลย…กลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้งที่ทำให้เกิดความรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจนั้น มันยิ่งทำให้พวกเขาพยายามเก็บอาการพะอืดพะอมเอาไว้อย่างยิ่งยวด พลางหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านทางนี้ไปแทน
บริเวณด้านนอกบ้านตระกูลตู้ กลุ่มเมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้นเป็นกลุ่มก้อน พลางเริ่มมีเม็ดฝนเล็กๆ โปรยปรายลงมา ถึงแม้จะเป็นสายฝนก็ตาม ก็มิอาจจะชะล้างกลิ่นคาวเลือดที่ส่งกลิ่นมาจากด้านในบ้านตระกูลตู้ได้
เวลานั้นเอง บนถนนระยะทางห่างไกลจากตัวบ้าน ก็มีเสียงไซเรนรถตำรวจแผดเสียงแสบแก้วหูดังมาแต่ไกล สายฝนที่พัดพลิ้วเป็นลงเป็นสาย ท่ามกลางกลุ่มรถตำรวจที่แล่นเข้ามา พลันจอดอยู่ด้านหน้าประตูบ้านตระกูลตู้
ประตูรถตำรวจถูกเปิดออก พลันมีรองเท้าหนังเหยียบย่ำลงบนโคลน จนน้ำกระฉอกออกไปทั่วทิศ ปรากฏคนที่มีรูปร่างเซ็กซี่หันตัวด้านข้างก้าวเท้าออกจากรถตำรวจ ชุดเครื่องแบบตำรวจนั้นไม่สามารถปกปิดรูปร่างอันเพรียวระหงสมสัดส่วนอันน่าภูมิใจของเธอเอาไว้ได้เลย
เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายเดินลงจากรถตำรวจ เย่ชวงมองบริเวณสวนของคฤหาสน์บ้านตระกูลตู้ที่ไม่มีคนอยู่เลยสักคน หัวคิ้วพลันย่นเข้าหากันทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
กลิ่นสังหารมันแผ่รัศมีออกมาอย่างหนักหน่วง!
ในใจของเย่ชวงนั้นผงะเล็กน้อย เธอทำคดีมานับไม่ถ้วน ทว่าครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เธอต้องมาพบเจอกับการฆาตกรรมอันน่าหวาดกลัวที่เย็นยะเยือกเช่นนี้!