สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 374
บทที่ 374 เขารนหาที่ตายก็ให้ตายสมดังใจไปซะ!
………
ตะวันบ่ายคล้อย อาทิตย์อัศดง บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปสาขาเยี่ยนจิง หลังจากที่หลีชิงเยียนมัวแต่วุ่นวายกับการทำงานมาทั้งหมดจนงานเสร็จแล้วนั้น ร่างกายก็อ่อนตัวลงนั่งพิงเก้าอี้ทำงาน ใบหน้าที่งดงามดั่งแกะสลักไว้ แต่มีแต่ความเหนื่อยล้าที่เขียนอยู่เต็มหน้า
หลังจากที่ท่านประธานเทพธิดาถอนหายใจยาวแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนแล้วปิดไฟในห้องทำงาน พร้อมทั้งใส่รองเท้าส้นสูงอันงดงาม เดินย่างเท้าออกไปด้านนอก ด้วยท่าทางสง่างาม
เสียงกังวานของรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนอยู่ในตึกบริษัทใหญ่อันเงียบงัน เงาอันเซ็กซี่ของหลีชิงเยียนท่ามกลางแสงสะท้อนของดวงไฟที่หลงเหลืออยู่หลายดวง จนทำให้มันมีแสงแห่งความหมดหวังเล็กน้อย
ทั้งตึกของบริษัท … นอกจากพนักงานที่ทำหน้าที่ดูแลตึกของบริษัทตามภาระงานปกติแล้ว เหมือนว่าคนอื่นๆ ต่างเลิกงานกันแล้ว หลีชิงเยียนกลายเป็นคนสุดท้ายที่เลิกงาน
หลังจากเดินออกจากตึกของบริษัทแล้ว ลมเย็นอ่อนๆ ก็พัดมาตีหน้า ผมหน้าม้าของหลีชิงเยียนนั้นแตกกระจาย จนทำให้หลีชิงเยียนรู้สึกสดชื่นตื่นตัวกลับมาเล็กน้อย
ไม่นาน รถเก๋งสีดำสไตล์ธุรกิจแบบธรรมดาทั่วไปก็ขับออกมาจากโรงรถ พร้อมทั้งมุ่งหน้าและจอดลงด้านหน้าของหลีชิงเยียน
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หลีชิงเยียนไม่ได้ดูหน้าคนขับรถให้ชัดเจน ใบหน้ารูปไข่ที่งามหมดจด พลันเกิดอาการประหลาดใจทันที สองวันก่อนเธอวางสายโทรศัพท์แล้ว รถถึงได้ขับออกมาอย่างเงียบเชียบ แล้วจอดตรงด้านหน้าเธอ
แต่ว่าวันนี้เป็นอะไรไป คนขับรถช่างทันเวลาเหมาะเจาะ จนทำให้หลีชิงเยียนตกใจ
รถเก๋งสีดำพลันจอดลงตรงหน้าหลีชิงเยียน หลีชิงเยียนไม่ได้คิดมากมายอะไร เปิดประตู พร้อมทั้งสอดตัวลงไปนั่งในเบาะหลังทันที
“กลับไปที่โรงแรม” หลีเชิงเยียนเอ่ยปากพูด น้ำเสียงยังคงเย็นชาเช่นเดิม ทว่าช่างเป็นเสียงที่ชวนให้คนหลงใหลเสียจริง
หลีชิงเยียนไม่เห็นว่า คนที่นั่งอยู่ตรงคนขับนั้น มุมปากเริ่มกระดกขึ้นและมีอาการหยอกล้อเล็กน้อย
คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งเบาะหลัง ไม่นาน หลีชิงเยียนก็ขมวดหัวคิ้วขึ้น พร้อมทั้งเอามือกอดอก จมูกโด่งพลันได้กลิ่นสักอย่าง เธอได้กลิ่นบุหรี่จางๆ มันเป็นกลิ่นหอมของกล้วยไม้ จนเป็นกลิ่นที่เตะจมูก
ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนเริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองด้านหลังของคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถ สีหน้าเริ่มออกอาการไม่น่ามอง ท่าทางเคร่งขรึม น้ำเสียงตักเตือน “ฉันเคยพูดแล้วไง อย่ามาสูบบุหรี่ในรถของฉัน นี่เป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ถ้ามีครั้งต่อไป คุณก็ไม่ต้องมาทำงานแล้ว”
คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับนั้นไม่หือไม่อือ ราวกับว่าไม่ได้ยินว่าหลีชิงเยียนกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
ไม่แค่เท่านั้น ในรถ มีแต่กลิ่นบุหรี่อบอวล จนมันเหม็นตลบไปทั้งคัน
ท่านประธานเทพธิดาเริ่มขมวดหัวคิ้วไว้แน่น เธอก็เห็นว่า ในเวลานั้นคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งขับรถคนขับคนนั้น ไม่ได้สนใจคำพูดของเธอเลย ถึงขั้นควานหาบุหรี่ออกมา พร้อมทั้งจุดบุหรี่ที่ตำแหน่งคนขับรถอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย!
ดวงตาของเทพธิดาท่านประธานชะงักทันที วินาทีต่อมา นัยน์ตางดงามของเธอพลันเปล่งแสดงความเยือกเย็นดั่งฤดูหนาวออกมาทันที!
แทบไม่สนใจเธอเลยสักนิด! นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอ กับพนักงานที่จองหองอวดดีขนาดนี้!
ใบหน้าของท่านประธานเทพธิดาเย็นเฉียบ กองไฟแห่งความโกรธสุมจนเป็นกอง!
เธอที่เป็นถึงเจ้านายผู้หญิงที่แสนเข้มงวด ยังกล้าหน้าด้านยั่วยุได้ขนาดนี้!
“คุณยังจะสูบบุหรี่ต่ออีก!” ท่านประธานเทพธิดาอดกลั้นจนหมดความอดทนแล้ว พร้อมทั้งตะคอกใส่อย่างไร้ความรู้สึก!
ส่วนคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถอยู่นั้นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จนทำให้หลีชิงเยียนไม่สามารถทนต่อไปได้ จนต้องตะโกนเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย “จอดรถ จอดรถเดี๋ยวนี้!”
รถเก๋งคันนั้น ถึงได้เบรกทันที ล้อรถกับพื้นผิวถนนเสียดสีฉับพลัน จนทำให้มีเสียงเสียดแก้วหูดังขึ้น แล้วรถถึงจอดสนิท
ความเฉื่อยกระแทกอย่างแรงอันผิดปกติเกิดขึ้นทันที จนทำให้หลีชิงเยียนที่นั่งอยู่เบาะหลัง หน้าคะมำ จนผมยาวดำขลับพาดไหล่ แถมยุ่งเหยิงจนมีความเซ็กซี่ตามมาเล็กน้อย
หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ความโกรธเคืองทำให้หลีชิงเยียนปลดสายเข็มขัดนิรภัยทันที แล้วเปิดประตูออก พร้อมทั้งเดินกระทืบเท้า เดินตรงดิ่งไปตรงที่นั่งคนขับรถด้านหน้า เธอคิดไว้ว่าจะลากเอาคนขับรถที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับออกมา เพื่อจะได้สั่งสอนสักรอบ ทว่าเมื่อดวงตาเธอเจอกับร่างกายของคนขับรถเข้าในเวลานั้น ใบหน้าพลันนิ่งไปทันที!
ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนพลันฉายประกายความรู้สึกทั้งตกใจจนไม่อยากจะเชื่อ! ร่างกายสั่นสะท้าน ราวกับไม่สามารถรับสภาพไว้ได้!
ตอนที่หลีชิงเยียนเมื่อเห็นเห็นท่าทางของใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นแล้ว … เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม ร่างกายที่ตื่นเต้นจนสั่นสะท้าน จนทำให้ตัวแข็งเกือบทั้งตัว!
ใบหน้านิ่งเรียบง่ายนี้ ทว่าราวกับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดใจ … มุมปากเผยอรอยยิ้มดูถูกออกมา พร้อมทั้งสร้างความทรงทำให้แก่หลีชิงเยียนอย่างลึกๆ จะทำยังไงก็ไม่สามารถทำให้เธอลืมเลือนไปได้!
หลีชิงเยียนสบตามองเฉินเป่ย เธอโมโหอยู่เต็มอก หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่เป็นความสับสน ที่แสดงออกมาทางสีหน้าอันซับซ้อนเข้ามาแทนที่อย่างไม่สามารถหายไปได้
ดวงตาของหลีชิงเยียนจ้องมองเฉินเป่ยอยู่สักครู่…. วินาทีนั้น เธอไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นเฉินเป่ย เพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป!
หลีชิงเยียนสบตาเฉินเป่ย ร่างกายสั่นเล็กน้อย หัวใจของเธอที่เต้นตามปกติดี … แต่พอตกอยู่ในอาการตื่นเต้น มันยากแก่การสงบลงได้!
เวลานั้นเอง เฉินเป่ยค่อยๆ พ่นควันออกจากปาก เขาจ้องมองหลีชิงเยียน พร้อมยิ้มให้เล็กน้อย “คิดถึงฉันหรือเปล่า?”
“ไอ้โรคจิต!” หลีชิงเยียนจ้องมองรอยยิ้มที่มุมปาก เพราะว่าเป็นการดูถูกตามปกติ แต่ใบหน้าของเธอนิ่งลงทันที ในใจนั้น รู้สึกอุ่นใจจึ้นมา
ใบหน้าอันเย็นชาของหลีชิงเยียนพ่นประโยคนั้นออกจากปาก จากนั้นก็เดินหันหลังกลับไปโดยคิดชีวิตเลย แถมเดินกระทืบเท้าทั้งๆ ที่ใส่รองเท้าส้นสูงอยู่แล้วเดินออกไปไกล เธอคิดว่าจะไปให้ไกลจากเฉินเป่ย ยิ่งไปให้ไกลเฉินเป่ยได้ยิ่งดี!
เฉินเป่ยจ้องมองแผ่นหลังอันเซ็กซี่ของหลีชิงเยียน พร้อมทั้งตะลึงเล็กน้อย เมื่อได้สติกลับมาแล้ว รีบพุ่งตัวออกจากรถเก๋ง แล้ววิ่งตามทันที อาศัยฝีมืออย่างเฉินเป่ยแล้ว หลีชิงเยียนยังเดินไปไม่ไกลนัก ก็ถูกเฉินเป่ยกอดเอวมาจากทางด้านหลังแล้ว
จิตใต้สำนึกร่างกายของหลีชิงเยียนสั่นเล็กน้อย จนตัวแข็ง ฝ่ามือใหญ่คว้าเอวคอดกิ่วของเธอเอาไว้ ความอบอุ่นของแผ่นอกที่แผ่ซ่านมาทางด้านหลังของเธอ กลิ่นบุหรี่ที่คุ้นเคย เตะเข้าจมูกของเธอ จนทำให้เธอสามารถวางใจได้ในเวลานั้น มันเป็นความรู้สึกอันปลอดภัย พลันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ความรู้สึกที่สูญเสียความปลอดภัยในช่วงหลายวันมานี้ หลีชิงเยียนแอบถอนหายใจ ร่างกายที่แข็งทื่อพลันยอมอ่อนข้อลงทันที ดวงตาฉายแสดงความรู้สึกอันสับสนพร้อมทั้งมึนเบลอไปหมด
“หลายวันมานี้ … คิดถึงฉันไหม?” เวลานี้เอง คำพูดที่ดูถูกของเฉินเป่ย ตามมาด้วยความร้อนผ่าวที่ตามมา ดังเข้าโสตประสาทของหลีชิงเยียน
ส่วนใบหูของหลีชิงเยียนนั้นถูกพ่นลมใส่… ร่างดายพลันสั่นอย่างรุนแรง จนเกิดปฏิกิริยาที่ตื่นเต้นผิดปกติ!
วินาทีต่อมา หลีชิงเยียนถึงได้สติกลับคืนมา ใบหน้างดงามถูกปกคลุม…ดวงตาที่ทอประกายความหนาวเหน็บในป่าลึกพร้อมทั้งเจตนาฆ่าขึ้นมาในเวลานั้น!
หลีชิงเยียนพยายามสะบัดให้หลุด ร่างกายขยับอยู่ตลอด ทว่าช่าวน่าเสียดายที่แขนของเฉินเป่ยมันดั่งกรงเล็บเสือ มันโอบรัดหลีชิงเยียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าหลีชิงเยียนจะสะบัดด้วยวิธีไหนก็ตาม ก็สะบัดไม่หลุดสักที
หลังจากที่หลีชิงเยียนดิ้นขลุกขลักอยู่ชั่วครู่ ใบหน้างดงามพลันเกิดอาการเขินอายขึ้นมาดื้อๆ … พฤติกรรมของเฉินเป่ยเมื่อครู่ ทำให้เธอโกรธเคืองถึงขึ้นขีดสุด…เพราะว่านั่นเป็นสิ่งต้องห้ามของเธอ ทว่าแค่เฉินเป่ยพ่นลมหายใจใส่…มันเป็นการกระทำบุกรุก!
ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนพลันแดงระเรื่อ ใบหน้าร้อนผ่าว.. พฤติกรรมของเฉินเป่ยเช่นนี้ นี่เป็นการลวนลวมเธอ! จนทำให้เธอมึนงงและยากแก่การรับไหวกับการที่ถูกลมหายใจร้อนผ่าวของเฉินเป่ยเป่ารดใบหู!
เวลานั้นเอง หลีชิงเยียนยกขาเรียวยาวที่ใส่รองเท้าส้นสูงอันแสนเซ็กซี่เอาไว้ พร้อมทั้งกัดริมฝีปากไว้แน่น แล้วเล็งเท้าถีบกระแทกมาที่เฉินเป่ยทันที!
“ซี๊ด!” รอยยิ้มดูถูกบนใบหน้าเฉินเป่ยพลันนิ่งทันที! ใบหน้าของเขาแข็ง พลันสูดลมหายใจเข้าทันที!
ส้นแหลมของรองเท้าส้นสูงของหลีชิงเยียน กระแทกลงบนเท้าของเฉินเป่ยอย่างแม่นยำไม่พลาดสักนิด จนทำให้ใบหน้าของเขาเจ็บปวดทรมาน!
ส่วนหลีชิงเยียนก็ใช้โอกาสนี้ในการผละให้ออกจากแขนทั้งสองข้างของเฉินเป่ย ตอนที่หันหลังกลับ มือเรียวงามพลันพาดบนไหล่ของเฉินเป่ย
ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนแดงระเรื่อ ปกติใบหน้าที่ขาวเกลี้ยงเกลาหมดจดก็สวยหยาดเยิ้มอยู่แล้ว ทว่าเมื่อหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ยิ่งทำให้คนหยุดหายใจ! ช่างสวยงามหยดย้อยจนโลกตะลึง!
ส่วนเฉินเป่ยที่สายตาคอยจับจ้องมือที่วางพาดไหล่ของตนเองนั้น ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที
วินาทีต่อมา หลีชิงเยียนใช้ท่าASHI WASA หนึ่งในท่าพื้นฐานในการป้องกันตัวจากอันตรายในระยะประชิด!
“โครม!”
เฉินเป่ยล้มนอกองกับพื้นจริงๆ แถมล้มในท่าจับกบ เคยฆ่าอภิมหาอำนาจคนมานับไม่ถ้วนยังสั่นสะท้าน เฉินเป่ยที่เคยอยู่ในดินแดนที่ไม่เคยมีใครรอดได้ท่ามกลางมรสุมห่ากระสุนระเบิดมานับครั้งไม่ถ้วน จนเป็นที่โจษจันว่าโหดร้ายมาก! ใครจะไปคิดได้ล่ะ ราชาหลงผู้กุมเรื่องราวต่างๆ ในต่างประเทศ พร้อมทั้งคอยสอดส่องโลก แต่มาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ทั้งสวยเซ็กซี่หยดย้อย กลับกลายเป็นไม่มีวิธีการป้องกันตนเองไปเสียดื้อๆ
ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนถลึงตาสบตามองเฉินเป่ย ทั้งโกรธทั้งเขินอายไปพร้อมกัน “ไอ้คนปลิ้นปล้อน ใครให้แกมาแตะต้องตัวฉัน!”
หลีชิงเยียนหอบหายใจ เธอในเวลานี้มีแต่อารมณ์ความโกรธมาแทนที่ ปกติก็เป็นท่านประธานเทพธิดาที่ฉลาดเฉลียวและเย็นชาดั่งน้ำค้างฤดูเหมันต์ ทว่าในเวลานี้บนตัวเธอไม่เห็นมีภาพปกติที่ปรากฏให้เห็น
เฉินเป่ยลุกขึ้นมาจากพื้น พร้อมทั้งหายใจเข้า แล้วบ่นกะปลกกะเปลี้ย “เมียจ๋า คุณนี่มือหนักจริงๆ …”
“ใครเป็นเมียแก!” หลีชิงเยียนตอกกลับทันทีอย่างอารมณ์ไม่ดี จนทำให้เฉินเป่ยหมดความอดทน จนต้องรีบแก้คำพูดทันที “ที่รัก ไม่ได้เจอฉันตั้งนานขนาดนี้ เพิ่งเจอก็ลงมือกันเลยเหรอ มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ไหม?”
“แก!” หลีชิงเยียนโมโหแล้วพูดออกมาทันที “ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนอย่างแกจะไปตายที่ไหน?”
เฉินเป่ยยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์ “งั้นก็หมายความว่าคุณเป็นห่วงฉันมากเลยนะสิ?”
“ไร้ยางอาย! ไอ้โรคจิต!” หลีชิงเยียนขี้เกียจไปสนใจเฉินเป่ย เธอพบว่าตนเองยิ่งไปสนใจเฉินเป่ย ก็จะทำให้ความโกรธของตนเองนั้นมันหายยาก!
“ดึกแล้ว กลับโรงแรมกันเถอะ มีใครหลายรอพวกเราอยู่ น่าจะรอจนทนไม่ไหวแล้ว” เฉินเป่ยพูดออกมา
หลีชิงเยียนลูบบริเวณตรงที่เฉินเป่ยเคยทำให้เจ็บก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินเฉินเป่ยพูดเช่นนั้น จนต้องเอ่ยปากถาม “หลายคน ใคร?”
มุมเฉินเป่ยกระดกขึ้น พร้อมทั้งอ้าปากพูด “กลับไปโรงแรมก็รู้เอง”
……
ด้านในโรงแรม เฉินเป่ยยืนติดหน้าต่าง ส่วนหลีชิงเยียนกับซูเหลยนั่งอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งจับจ้องเฉินเป่ยอย่างเย็นชา จนต้องถามทันที “คุณหายตัวอย่างไร้ร่องรอยไปหลายวัน ตกลงว่าไปทำอะไรมา?”
“ไปเยี่ยมเพื่อนเก่า” เฉินเป่ยตอบ
“เพื่อนเก่า ใคร?” หลีชิงเยียนที่ตัวแข็งทื่อ ถามคำถามกลับอย่างไม่ลดละ
เฉินเป่ยไม่ตอบคำถามนั้น แต่ตอบเรื่องอื่นอย่างเรียบเฉยแทน “ต่อไปคุณมีโอกาส ก้จะได้รู้จักเอง”
หลีชิงเยียนเหล่ตามองเฉินเป่ย พร้อมทั้งส่งเสียงในลำคอ เธอไม่ได้ถามต่ออีกแล้ว
…………
เวลานั้นเอง อีกห้องชุดห้องหนึ่งในโรงแรม โต๊ะไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ ปูด้วยผ้าแดงหน้าทั้งโต๊ะ แก้วไวน์งดงาม พร้อมทั้งจานกระเบื้อง อาหารเลิศรสที่จัดจานอย่างประณีตสวยงาม ถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะอย่างดี
พนักงานทุกคน กำลังเสิร์ฟอาหารอย่างขะมักเขม้นอยู่เรื่อยๆ
อวี้ย้งเซวียนนั่งอยู่ตรงกลาง หลังจากที่เปิดเหล้าChâteau Lafite-Rothschild– จากนั้นก็ชูแก้วไวน์ให้กับ ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสทุกท่าน ทำให้ทุกท่านต้องทนลำบากมาถึงที่ เป็นข้าน้อยที่ผิดเอง ดีว่าครั้งนี้ผมสามารถเรียกหน้าตาของบ้านตระกูลอวี้ของผมกลับคืนมาได้ ไม่ใช่แค่ตระกูลอวี้ของพวกเรา ถึงเวลานั้นต้องอับอายขายหน้า ให้คนในสังคม”
เวลานั้นเอง ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แล้วถามทันที “มันตายแล้วเหรอ?”
อวี้ย้งเซวียนมองท่านผู้อาวุโสไท่ซางอยู่แวบหน้า บนหน้าของท่านผู้อาวุโสไท่ซางยังมีผ้าก๊อซติดอยู่ ช่างน่าสงสารจนอดใจไม่ไหวจะมอง เขาเพิ่งฟื้นได้ไม่กี่วันมานี้
อวี้ย้งเซวียนพยักหน้าให้ พร้อมทั้งยิ้มหน้าบาน พลันพูดอธิบายทันที “จากข่าวที่เชื่อได้ มันไปจากเยี่ยนจิงแล้ว”
อวี้ย้งเซวียนมองมาทางท่านผู้อาวุโสไท่ซาง พร้อมทั้งยิ้มตอบด้วยความเคารพ “นี่ไม่ใช่ว่าอาศัยบารมีของท่านหรอกหรือ ไม่งั้นก็ไม่มีทางทำให้ไอ้เวรนั่นมันรีบออกไปจากเยี่ยนจิง ถ้ามันยังดื้อด้านอยู่ในงานการพนันเพชรพลอยอยู่ ตระกูลอวี้ต้องอับอายขายหน้าก็เพราะมัน”
ผู้อาวุโสไท่ซางไม่พูดต่อ ได้แต่ขมวดกัวคิ้วเอาไว้ ไม่ยอมคลายออกสักที
“ท่านซู เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก ฉลองกันสักหน่อย มันทำให้คุณได้รับบาดเจ็บ แสดงว่าต้องเป็นคนมีความสามารถมาก ถ้าเป็นหนึ่งในพวกเรา ผลลัพธ์คงไม่อายคาดเดาได้” เวลานี้เอง ผู้อาวุโสอีกคนเริ่มพูดประจบ
ท่านซูได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งค่อยๆ พูด “ฉันไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้”
“ผู้อาวุโส ยังต้องมีเรื่องอะไรที่คุณต้องไปกังวลอีก?” อวี้ย้งเซวียนสีหน้านิ่ง พร้อมทั้งถามทันที
ท่านซูกวาดตามองอวี้ย้งเซวียน นัย์ตาเปล่งประกายที่ไม่สามารถทำให้คนมองออกได้
ท่านซูได้แต่ส่งเสียงในลำคอ พร้อมทั้งถามอวี้ย้งเซวียนกลับ “ตอนแรกแกบอกกับฉันว่า เขาก็แค่มือสมัครเล่นไม่ใช่เหรอ?”
อวี้ย้งเซวียนพยักหน้า “ตอนแรกผมก็คิดไม่ถึง ว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นมันซ่อนเร้นเอาไว้ แถมยังทำร้ายคุณได้อีก”
“ทำร้ายฉันเหรอ?” ผู้อาวุโสไท่ซางยิ้มอย่างเย็นชา พร้อมทั้งกวาดตามองผู้อาวุโสท่านอื่นๆ แล้วพูดว่า “มันไม่ได้ทำร้ายฉันจนบาดเจ็บ…แต่มันก็เป็นคนในแก๊งอู่ตัง!”