สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 403
บทที่403 ทำไมถึงแต่งเข้าบ้านผู้หญิง
“ราชาหลง?” วัยรุ่นชายคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนกะทันหันแล้ว เขากับเต๋อกุลา ตะลุยทั่วทั้งโลก มีน้อยคนมากที่สามารถทำให้พวกเขาสนใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลง
และราชาหลงสามคำนี้ ก็ทำได้แล้ว
ราชาหลง ของต้องห้ามในยุคปัจจุบันใช้มือข้างหนึ่งยังนับยังได้…พอชื่อเรียกของเขาขึ้นมา เหมือนกับยิ่งทำให้ที่ว่างกลางอากาศล้วนปรากฏแรงกดดันที่หนักอึ้งอยู่ ทำให้คนเหมือนจะหยุดหายใจ
“เขาปลดเกษียณแล้ว ทำไมถึงยังก่อความวุ่นวายอีก?” วัยรุ่นชายจับแหวนเพชรแซฟไฟร์ราคาหลายร้อยล้านวงหนึ่งที่อยู่ในมือเล่น พลางถามขึ้น
“เขาอยู่ที่หัวเซี่ย…เยี่ยนจิง!” เต๋อกุลาวางโทรศัพท์ลง ค่อยๆ พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตึง!”
มือของวัยรุ่นชายกระตุกอย่างฉับพลัน แหวนเพชรแซฟไฟร์ในมือตกลงบนพื้น
“เป็นไปได้ยังไงกัน!” วัยรุ่นชายส่งเสียงตกใจโดยจิตใต้สำนึก
เต๋อกุลานั่งอยู่บนโซฟา ค่อยๆ คลำซิการ์แท่งหนึ่งออกมาจากหน้าอก พลันใช้กรรไกรที่งดงามตัดซิการ์ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความล้ำลึกและเคร่งขรึมอย่างยากจะจินตนาการ
“ดูแล้ว ที่ฉันมาหัวเซี่ยคือถูกแล้ว…นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเขาที่นี่” เต๋อกุลาบ่นพึมพำ
“มีรูปถ่ายรึเปล่าครับ?” วัยรุ่ยชายเอ่ยปาก สีหน้ามีความรู้สึกร้อนแรงแวบผ่าน ในใจของเขาเปลี่ยนไปจนไม่สามารถรอได้อีก เขาอยากเห็นสักหน่อว่าใบหน้าของเทพเจ้าแห่งสงครามที่ไร้ศัตรูในตำนานคนนั้น
“รูปถ่าย?” เต๋อกุลาหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าแล้ว “ไม่มีใครเลย ที่สามารถมีรูปถ่ายของเขาได้ ในสายเมื่อกี้ของฉันนั้น ได้แต่รีบส่งข่าวมา ในโซนพนันระดับต่ำของงานพนันเพชรพลอย มีคนหนึ่งมือถือมีดหลงหยาไว้ ปรากฏตัวที่งานพนันเพชรพลอย”
“มีดหลงหยา? นั่นเป็นชื่อเรียกอาวุธของราชาหลง!” วัยรุ่นชายสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ พลันพูดขึ้น
“ถ้าราชาหลงปรากฏตัวขึ้นที่นี่จริง ก็พิสูจน์ได้ชัดว่าข้อวินิจฉัยของฉันไม่ได้ผิด… ในหลายปีก่อนมีความเป็นไปได้มากว่าราชาหลงพึ่งโอกาสครั้งหนึ่งของงานพนันเพชรพลอย ผุดขึ้นอย่างฉับพลัน……” เต๋อกุลาเอ่ยปากนิ่งๆ
“ผู้ที่เคยเจอราชาหลงได้…น่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลต่างประเทศ!” วัยรุ่นชายยักคิ้วเล็กน้อย
เต๋อกุลาหัวเราะนิ่งๆ ยกแก้วชาที่วางไว้บนโต๊ะกระจกขึ้น มองทางวัยรุ่นชาย พลางถามว่า “แกคิดว่ามีแค่พวกเราผู้มีอิทธิพลเดียวที่จ้องดูหัวเซี่ยอยู่เหรอ? ยังมีผู้มีอิทธิพลเก่าแก่มากมาย พวกเขาแอบจ้องมองหัวเซี่ยอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้ลงมือมาโดยตลอดเท่านั้นเอง”
วัยรุ่นชายตกใจทันใด “ยังมีอิทธิพลอื่นอีกเหรอ? พวกเรามีเป้าหมายอย่างเดียวกันกับพวกเราเหรอ?”
“มีบ้างที่ใช่ มีบ้างที่ไม่แน่” เต๋อกุลาส่ายหน้าแล้ว กลับไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ผู้มีอิทธิพลอื่นเหล่านั้น สรุปแล้วเป็นเพราะเป้าหมายใด ถึงได้จ้องมองเฉินเป่ยมาตั้งแต่ต้นจนจบ
“พ่อครับ เดิมทีพวกเราไม่มีทางยืนยันได้เหรอว่านั่นคือราชาหลงจริงหรือไม่” วัยรุ่นชายครุ่นคิดครู่หนึ่ง เงยหน้าพูดอย่างกะทันหัน
เต๋อกุลาพยักหน้า มุมปากฉีกรอยยิ้มที่แปลกประหลาดขึ้น ในยิ้มนั้นเพิ่มความโหดเหี้ยมทารุณขึ้น “ตั้งแต่แกมาที่หัวเซี่ย นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ดื่มด่ำรสชาติของเลือดสด”
“นานมากแล้วครับ ถึงจะพูดว่าไวน์แดงก็ดี แต่ยังไงก็สู้เลือดสดไม่ได้” วัยรุ่นชายเลียๆ ริมฝีปากที่แดงสดดุจเลือด ในแววตาเปล่งประกายแสงที่เร่าร้อน
“ยืนยันว่าเขาเป็นราชาหลงหรือไม่ ช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน ถ้าเขาไม่ใช่ราชาหลง แกก็ได้รับเลือดสดที่หวานหอมที่สุดตามปกติ” เต๋อกุลาเอ่ยปากพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
วัยรุ่นชายตะลึง ในน้ำเสียงเพิ่มความหมายเป็นกังวลหลายระดับ “งั้นถ้าเขาเป็นราชาหลงจริงล่ะครับ งั้นความเสี่ยงไม่ใช่จะมากเกินไปเหรอ?”
“แกลืมพรสวรรค์ชนเผ่าเลือดของพวกเราแล้วเหรอ?” เต๋อกุลาหัวเราะนิ่งๆ “ตอนนั้นถึงราชาหลงจะแข็งแกร่งแค่ไหน ท้ายที่สุดตระกูลพวกเราก็ไม่เจอฆ่ายกครัวเหมือนตระกูลอื่น นั่นเป็นเพราะพรสวรรค์ของพวกเรา ทำให้พวกเราเกือบจะกลายเป็นร่างที่ไม่ตาย…ถึงแม้เขาจะเป็นราชาหลงจริง ก็ยากที่จะจัดการฉันให้ตาย”
“และรอให้พวกเราได้รับของต้องห้ามนั่นแล้ว ราชาหลงจะมีอะไรน่ากลัว?” ในแววตาเต๋อกุลาเปล่งประกายแสงเย็นชา ในแววตาลึกปรากฏความโหดร้ายหนาวเหน็บ
………
รถยนต์ค่อยๆ ขับมาจอดที่หน้าประตูโรงแรมแล้ว เฉินเป่ยลงจากรถ ดึงเปิดประตูรถด้วยความเคารพ
ประตูรถเปิดออก รองเท้าส้นสูงที่งดงามข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้น ตามมาด้วยประธานนางฟ้าที่รูปร่างสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ตำหนิสักนิด ก้มตัวก้าวออกมาจากในรถ
“เจอกันมื้อเที่ยง” หลีชิงเยียนพูดมาประโยคหนึ่งเบาๆ จากนั้นเดินบนรองเท้าส้นสูงออกไปอย่างฉับไว
ส่วนซูเหลยเดินตามออกมาติดๆ หลังมองเฉินเป่ยด้วยสีหน้าซับซ้อนทีหนึ่ง รีบเร่งฝีเท้าขึ้น ตามหลีชิงเยียนขึ้นไปแล้ว
เฉินเป่ยจ้องซูเหลยและหลีชิงเยียนอยู่ คลำหาบุหรี่ม้วนหนึ่งออกมา พ่นควันบุหรี่ออกมาจ้องภาพด้านหลังของสองคนอยู่ ภายในสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความล้ำลึก……
ตอนที่บุหรี่มวนนั้นของเฉินเป่ยใกล้จะสูบหมด รถยนต์คันหนึ่งคำรามมาจากระยะไกล ในที่สุดจอดลงด้านหลังรถของเฉินเป่ย ประตูรถเปิดออก ภาพเงาคนที่คุ้นเคยเดินลงมาจากบนรถ
เฉินเป่ยมองเห็นภาพเงาคนที่คุ้นเคยนั้น ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยิ้มแบบอันธพาลพลางเอ่ยปากพูด “ฝีมือขับรถของหัวหน้าสมาคมจางไม่ไหวเลยนะ ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น”
พอจางเป่าเฉิงลงจากรถก็ได้ยินเสียงของเฉินเป่ย ทำให้จางเป่าเฉิงชักสีหน้าลงมา เห็นได้ชัดว่าท่าทางอึมครึมอยู่บ้าง
จางเป่าเฉิงมองเฉินเป่ยอย่างเมินเฉยแวบหนึ่ง ที่งานพนันเพชรพลอย เฉินเป่ยทำให้จางเป่าเฉิงเสียหน้า แม้กระทั่งพูดได้ว่าทำให้ชื่อเสียงเขาเหม็นฉาวโฉ่ก็ไม่เกินไป
ใครจะไปคิดว่าในการวางเดิมพันครั้งนี้…จางเป่าเฉิงจะพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ แพ้อย่างราบคาบเลย
และระหว่างทางมุ่งหน้ามาที่โรงแรม จางเป่าเฉิงครุ่นคิดมาโดยตลอด สรุปตนเองแพ้ตรงไหนกัน…
และตอนนี้ พอจางเป่าเฉิงมองเห็นหน้าตาที่อันธพาลมากของเฉินเป่ย จึงทำให้ไฟโกรธในใจเขา เดิมทีไม่มีทางหายไปจากใจได้
ในเมื่อที่งานพนันเพชรพลอยเฉินเป่ยไม่ไว้หน้าตนเองเลยสักนิด ตอนนี้จางเป่าเฉิงจึงไม่ได้ทำหน้าดีอะไรต่อเขาเช่นกัน
และจางเป่าเฉิงเดินเข้าในโรงแรมอย่างไม่สนใจใคร เฉินเป่ยยิ้มกริ่มมองจางเป่าเฉิงอยู่ เหมือนไม่มีความไม่สบายใจเนื่องจากจางเป่าเฉิงทำสีหน้าไม่ดีใส่ตนเองเลยสักนิดเดียว
จนกระทั่งภาพเงาของจางเป่าเฉิงหายลับไปในโรงแรม รอยยิ้มอันธพาลบนหน้าของเฉินเป่ยนั้นถึงเหือดหายไปขึ้นมา เปิดประตูรถออก นั่งเข้าไปที่นั่งคนขับ จากนั้นค่อยๆ ขับรถยนต์เข้าไปในโรงจอดรถ
หลังเฉินเป่ยจอดรถเสร็จ กลับไปในห้องพักของโรงแรม ไม่นานกริ่งประตูห้องดังขึ้นมาทันใด
หลังเฉินเป่ยเดินไปเปิดประตูห้อง เห็นเพียงซูเหลยยืนอยู่หน้าประตู มองเฉินเป่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน ในแววตาเปล่งประกายความหวาดผวา
“คุณซู” เฉินเป่ยยกมุมปาก ยิ้มทักทาย
ซูเหลยพยักหน้าแล้ว หันหน้ามองซ้ายขวานิดหน่อย จากนั้นจงใจกดเสียงลง “ฉันมีธุระบางอย่าง ต้องการเข้าไปคุยในห้อง”
“เชิญ” เฉินเป่ยยิ้มเล็กน้อย เอียงตัวหลบทางให้ซูเหลยแล้ว
หลังซูเหลยเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงบนโซฟา สายตากลับสังเกตรอบด้านไม่หยุดด้วยความระแวดระวัง
“ไม่ต้องระแวงขนาดนี้หรอก นี่คือห้องของฉัน คงไม่มีเครื่องดักฟังหรอก” เฉินเป่ยนั่งลงมาแล้ว นั่งไขว่ห้าง จากนั้นก็เริ่มเขย่าขา
ซูเหลยพยักหน้า เงียบงันไปตั้งนาน หล่อนผู้ซึ่งแน่วแน่ตรงไปตรงมาแต่ไหนแต่ไร เป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับเฉินเป่ย เห็นได้ว่าลังเลไม่มั่นใจขึ้นมา
“มีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ” ในตอนนี้ เฉินเป่ยเอ่ยปากบอกทันใด
ซูเหลยถึงตัดสินใจได้ ไม่ลังเลอีกต่อไป มองทางเฉินเป่ยด้วยสายตาซับซ้อนอย่างยิ่ง “ฉันคิดว่าฉันรู้นายเป็นใครแล้ว”
“แล้วไงต่อล่ะ?” เฉินเป่ยสีหน้าสงบ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเพราะคำพูดประโยคนี้ของซูเหลยแม้แต่น้อย
“นายรู้ว่าฉันเดาได้แล้ว?” เฉินเป่ยไม่ได้ตกใจ กลับเป็นซูเหลยที่ตะลึงสักพัก พบว่าเฉินเป่ยสงบเรียบเฉยเช่นนี้ ทำให้หล่อนไม่สบายใจอยู่บ้าง
“ตั้งแต่ตอนที่เธอปรากฏตัวหน้าประตูห้องฉัน ฉันก็รู้แล้ว” เฉินเป่ยเอ่ยปากตอบนิ่งๆ
ใช่สิ วินาทีนั้นที่เฉินเป่ยส่งมีดหลงหยาออกไป เขาก็ทายได้แล้ว มีความเป็นไปได้มากที่ซูเหลยจะรู้สถานะของเขา
และถึงแม้เขาจะไม่เอาออกมา ตอนนั้นที่โซนพนันระดับต่ำ มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่เห็นมีดหลงหยาเล่มนั้นเข้าให้
สายตาที่ซูเหลยมองทางเฉินเป่ยยิ่งซับซ้อนขึ้นอีก “มีดหลงหยาเล่มนั้น เป็นของจริงเหรอ?”
ซูเหลยพูดชื่อของมีดเล่มนั้นออกมาแล้ว—หลงหยา ใช่ มีดที่ลักษณะแปลกเป็นพิเศษอย่างนี้ ถึงแม้อยู่ที่ต่างประเทศก็ยังเจอไม่มาก…ที่เหมือนมีดหลงหยาแบบนี้ ยิ่งมีเพียงแบบเดียว ไม่มีของปลอมใดๆ ปรากฏขึ้นเด็ดขาด
เพราะมันเป็นตัวแทนราชาหลง ใครเลยจะกล้าทำของปลอมเลียนแบบมันออกมา นั่นยิ่งเป็นการเหยียดหยามและไม่เคารพต่อราชาหลง
ราชาหลง…….ราชาหลงสั่นสะเทือนต่างประเทศ และมีดหลงหยา จะตามติดราชาหลง เป็นพยานบนเส้นทางนองเลือดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของเทพเจ้าแห่งสงคราม
ราชาหลงกุมมันไว้ เปลี่ยนแปลงรูปแบบของโลกหลายครั้ง ถึงแม้จะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าของราชาหลง แต่มีดหลงหยาเล่มนี้ กลับทำให้คนนับไม่ถ้วนจำได้ขึ้นใจ
ดังนั้นเสี้ยววินาทีนั้นที่ซูเหลยมองมีดหลงหยาชัดเจน ในสมองคำรามขึ้น ชั่วขณะนั้นหล่อนเกือบมึนงงไป รู้สึกเพียงว่าทุกอย่างเดิมทีไม่สมจริง
คาดไม่ถึงจะเป็นราชาหลง ความสามารถยิ่งใหญ่ ร่ำรวยมหาศาล
ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าหล่อนคนนี้ คือผู้มีตัวตนที่ยืนอยู่บนยอดสุดในโลก และได้รับความเคารพนับถือจากคนมากมาย
ระหว่างทาง จิตใจของซูเหลยสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรเสียหล่อนไม่มีทางรับได้ ผู้ชายคนนี้ที่หล่อนเคยคิดว่าคือพวกหลอกลวง ทั้งยังคิดหาทุกวิถีทางเปิดโปงเจ้าหมอนี่ กระชากหน้ากากที่แท้จริงของเขาออกมา
ตอนนี้ซูเหลยแค่รู้สึกว่าที่ตนเองทำทุกอย่างนี้ช่างน่าตลกมากแค่ไหน น่าเยาะเย้ยมากแค่ไหน