สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 406
บทที่406 ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม!
หลีหงเห็นหลีเช่าเทียนสามารถยอมรับผิดได้ไวขนาดนั้น ท่าทางบนหน้าจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย หลังครุ่นคิดสักครู่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “มีผู้อาวุโสทั้งสองคนนั้น หลานต้องเอาที่หนึ่งของสุดยอดดาบสามเล่มมาได้ นั่นเป็นเรื่องที่อยู่ในหลักเหตุผล พวกเขาเป็นบุคคลที่มีบารมีสูงของวงการพนันเพชรพลอย เดิมทีคนทั่วไปเชิญจะพวกเขาไม่ได้กัน ก่อนหน้านี้ปู่ไปหาพวกเขาด้วยตัวเองสักพักหนึ่ง ถึงตามรอยของพวกเขาเจอในหุบเขาลึก…….”
หลีเช่าเทียนเงยหน้า มองทางหลีหง ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “คุณปู่ครับ พวกเขาเก่งกาจกันมากจริงๆ มีพวกเขาคอยช่วยเหลือ ผมที่อยู่ในสุดยอดดาบสามเล่ม มั่นใจว่าจะต้องได้ชัยชนะแน่นอนครับ”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว หลานยังไม่รู้สถานะของพวกเขา…พวกเขาสองคนแต่ละคนต่างเคยคว้ารางวัลชนะของสุดยอดดาบสามเล่มมาสามครั้ง ภายใต้สถานการณ์ปกติ เพียงแค่ลงมือคนเดียวก็สามารถช่วยหลานจัดการศัตรูทั้งหมดของงานพนันเพชรพลอยได้หมดแล้ว ถึงสถานการณ์ครั้งนี้จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ แต่อีกคนหนึ่งก็ออกมาเช่นกัน โดยพื้นฐานสร้างชัยชนะไว้อย่างมั่นคงแล้ว”
ในน้ำเสียงของหลีหงเผยเสียงหัวเราะที่ลุ่มลึก เอ่ยปากพูดแบบนิ่งๆ
“เพียงแต่น่าเสียดายชิงเยียน พวกเขาสองคนข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลจากหู้ไห่ กลับคิดไม่ถึงว่าโชคร้ายแบบนี้” หลีหงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทันใดนั้นทอดถอนใจไปทีหนึ่ง
“พวกเขามาเข้าร่วมงานพนันเพชรพลอย น่าจะไม่ใช่พุ่งมาที่สุดยอดดาบสามเล่ม ผมได้ยินว่าเฉินเป่ยสละสิทธิ์สุดยอดดาบสามเล่มด้วยตัวเอง” หลีเช่าเทียนพูดขึ้น
“สละสิทธิ์เอง?” หลีหงตะลึงนิดหน่อย ทันใดนั้นหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ทำเอาหลีเช่าเทียนไม่รู้สาเหตุ
“ดี สละสิทธิ์เองไปคนหนึ่ง…เช่าเทียน ถึงตอนนั้นหลานต้องขอบคุณชิงเยียนดีๆ สักหน่อยแล้ว เป็นแบบนี้ หลานก็ลดคู่แข่งไปได้คนหนึ่งแล้ว” หลีหงลุกขึ้นยืนทันที เสียงหัวเราะเบิกบาน มองทางหลีเช่าเทียน พูดกำชับ “หลังงานพนันเพชรพลอย เรียกชิงเยียนกลับมากินข้าวที่บ้านตระกูลหลีสักมื้อแล้วกัน หลายปีแล้วที่เธอไม่ได้กลับมาสถานที่แห่งนี้”
หลีเช่าเทียนมองทางหลีหงแล้วถามว่า “คุณปู่อยากให้เธอกลับมาบ้านเหรอครับ?”
หลีหงสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาลุ่มลึก ยากจะปรากฏความเสียใจเจ็บปวด “ปู่เคารพการตัดสินใจทุกอย่างของเธอ”
หลังจากหลีหงพูดจบ ไม่นานก็เดินออกไปจากห้อง ส่วนหลีเช่าเทียนลุกขึ้นมา จนกระทั่งส่งหลีหงออกไปจากห้องเสร็จ
หลีหงพึ่งเดินออกไปจากห้องได้ไม่นาน ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ขยับเข้ามาใกล้ข้างกายของหลีเช่าเทียน สีหน้าเต็มไปด้วยการเอาใจนอบน้อม “คุณชายหลีครับ พาดหัวข่าวของเยี่ยนจิงออกมาใหม่แล้วครับ”
“เป็นยังไงบ้าง?” ความอ่อนโยนเฉยชาบนหน้าของหลีเช่าเทียนหายไป ถูกความน่าสะพรึงกลัวที่ล้ำลึกเข้ามาแทนที่
“กระแสความโด่งดังของเฉินเป่ยและหลีชิงเยียนไม่ได้ลดลงเลยครับ แต่ทว่ายังเพิ่มขึ้นอีก จากการวิเคราะห์ประเมินดูของบุคลากรผู้เชี่ยวชาญแล้ว เป็นแบบนี้ต่อไป คุณชายหลีครับ ตั้งแต่ต้นจนจบคุณอยู่ลำดับที่สองมาโดยตลอด ต้องโดนเฉินเป่ยกดอยู่หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ……”
“ปัง!”
เพราะปล่อยมือออก แก้วชาใบนั้นในมือของหลีเช่าเทียนจึงร่วงลงทันใด แก้วชาจื่อซาที่คุณภาพชั้นดีตกลงบนพื้น น้ำชาที่ร้อนหกกระจาย แก้วชาที่ราคาหลายแสนใบนั้น แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ สภาพสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้สีหน้าของหลีเช่าเทียนยังคงเรียบนิ่ง แต่ในแววตาลึกของเขามีความหนาวเหน็บก่อหวอดขึ้น กลับยิ่งดุเดือดเย็นยะเยือก
“หนึ่งอาทิตย์งั้นเหรอ?” หลีเช่าเทียนยื่นมือหยิบแก้วชาสมบูรณ์ที่ไม่ได้โดนขว้างแตกใบหนึ่งจากบนถาดขึ้น เป่าๆ น้ำชา จิบไปอึกหนึ่งเบาๆ พลันเอ่ยปากนิ่งๆ “ฉันไม่สนว่าจะใช้วิธีอะไร เยี่ยนจิงคือถิ่นของฉัน เขาจะยึดครองอิทธิพลไปไม่ได้โดยเด็ดขาด”
“ครับ!”
………….
หลังช่วงเช้าผ่านไป เยี่ยนจิงในช่วงบ่ายถูกข่าวหนึ่งครอบคลุมมาอีกครั้ง กระตุ้นการสะเทือนในวงแคบแล้ว
ที่งานพนันเพชรพลอยมีม้ามืดเกิดขึ้นมา แม้แต่จางเป่าเฉิงยังยอมศิโรราบให้ ผู้อำนวยการสมาคมการพนันเพชรพลอยของเยี่ยนจิงออกหน้าด้วยตนเอง เชื้อเชิญเฉินเป่ยเข้าร่วมสุดยอดดาบสามเล่ม ผลปรากฏว่าเฉินเป่ยปฏิเสธอย่างคาดไม่ถึง
โควตาลำดับสุดท้ายของสุดยอดดาบสามเล่มจึงตกไปอยู่ที่ตัวของจางเป่าเฉิงอย่างจับพลัดจับผลู
ไม่นานข่าวเรื่องนี้ได้แพร่ออกไปในเยี่ยนจิงด้วยความราดเร็ว กลายเป็นเรื่องซุบซิบในวงสนทนาหลังอาหารของผู้คนมากมาย เฉินเป่ยสองคำนี้ ประทับตราเข้าไปในสมองของคนมากมายอย่างว่องไวมากเช่นกัน
แม้กระทั่งตอนเย็นที่เฉินเป่ยขับรถไปรับหลีชิงเยียนเลิกงาน ต่างถูกคนจำขึ้นได้แล้ว สาวงามคนหนึ่งที่มัดผมหางม้า และทั่วตัวแพร่กระจายกลิ่นอายสดใสกระตือรือร้นออกมา อยากถ่ายรูปกับเฉินเป่ย
เฉินเป่ยกำลังพิงอยู่หน้ารถสูบบุหรี่แบบอันธพาลมาก เจอเข้ากับสถานการณ์แบบนี้ สายตาของเขากวาดผ่านสาวสดใสที่มัดผมหางม้าคนนั้น ชั่วขณะนั้นดวงตาประกายแวววาว ยิ้มอย่างอันธพาลตอบรับไปแล้ว
ไม่นานสาวสดใสคนนั้นก็หยิบไม้เซลฟี่ออกมาแล้ว เฉินเป่ยโอบไหล่ของสาวงามคนนั้นไว้ บนผมหางม้าของสาวงามยังมีกลิ่นหอมของแชมพูอ่อนๆ หลงเหลืออยู่ แทรกเข้าในโพรงจมูกของเฉินเป่ยไปโดยตรง
หลังถ่ายรูปเสร็จ ทันใดนั้นเฉินเป่ยรู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่ด้านหลัง เสียงเย็นเฉียบที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ล้นหลามลอยเข้าในหูของเฉินเป่ย “อยากจู๋จี๋กัน ก็อย่ามาพิงบนรถฉัน”
ส่วนเฉินเป่ยพอได้ยินเสียงนี้ก็สั่นเทาไปทั้งตัวโดยจิตใต้สำนึก หันหน้าทันใด เห็นเพียงหลีชิงเยียนถือกระเป๋ายืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าหนาวเย็นดุจน้ำค้างแข็ง
เฉินเป่ยตะลึง และดูนาฬิกาอีกที พบว่าเวลาผ่านไปไวมาก เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงเวลาเลิกงานของหลีชิงเยียนอย่างคาดไม่ถึง
ส่วนสาวงามผมหางม้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงหาข้ออ้าง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของหลีชิงเยียนจ้องภาพด้านหลังของสาวผมหางม้าคนนั้นจากไป ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีกสักนิด เฉินเป่ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากพูดด้วยความหวาดผวา “ชิงเยียน……”
“หุบปาก”
หลีชิงเยียนหันหน้า ถลึงดวงตาใส่เฉินเป่ยอย่างแรง ดึงประตูรถออก นั่งเข้าไปที่นั่งแถวหลังแล้ว
ส่วนซูเหลยที่ตามมาด้านหลังหลีชิงเยียน แอบมองเฉินเป่ยด้วยความเห็นใจเต็มเปี่ยมแวบหนึ่ง ซูเหลยในฐานะคนที่เข้าใจเฉินเป่ยและหลีชิงเยียนมากที่สุดเพียงคนเดียว รู้ดีอย่างมาก หลีชิงเยียนเห็นเฉินเป่ยโอบไหล่กับผู้หญิงคนอื่น ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงมาก
เฉินเป่ยนั่งเข้าไปในรถ หลังกุมพวงมาลัย มองหลีชิงเยียนด้วยความระมัดระวังทีหนึ่ง หลีชิงเยียนนั่งอยู่แถวหลัง บนใบหน้างดงามราวกับปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง แม้แต่อากาศภายในรถยังเต็มไปด้วยแรงอาฆาตหนาวเย็นด้วย
ระหว่างทาง เฉินเป่ยไม่ได้พูดอะไรสักประโยคเดียว แม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้า
ไม่รู้ว่าหลีชิงเยียนยืนอยู่ด้านหลังของเฉินเป่ยนานแค่ไหน…และเสียงรองเท้าส้นสูงที่มักดังกังวานก็ไม่ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเฉินเป่ยด้วย…จากนั้นเฉินเป่ยถึงนึกขึ้นได้ หลีชิงเยียนในวันนี้ ไม่ได้สวมรองเท้าส้นสูงแบบเกินความคาดหมาย ทว่าสวมรองเท้าส้นเตี้ยคู่หนึ่ง…ดังนั้นถึงปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังเฉินเป่ยได้อย่างไร้เสียง
เฉินเป่ยหมุนพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง พลางคิดพิจารณาอยู่ในหัวด้วยความว่องไว เพียงแต่รู้สึกว่าคิดละเอียดแล้วยิ่งน่าหวาดกลัว ทำให้เขาหนังศีรษะชาแล้ว
ระหว่างทาง ห้องโดยสารในรถเงียบงันจนน่าประหลาดใจ มีเพียงแรงอาฆาตที่หนาวเย็น ท่วมท้นอยู่ในห้องโดยสารที่แคบๆ นี้
หลังรถยนต์จอดที่หน้าโรงแรม หลีชิงเยียนกับซูเหลยลงจากรถ เดินไปข้างในแบบหน้าไม่หันกลับมา เฉินเป่ยย่อมไม่ได้สังเกตเห็นความผิดหวังที่ประกายอยู่ในดวงตาของประธานนางฟ้านั้น
ตอนแรกหลีชิงเยียนคิดว่าเจ้าหมอนี่จะอธิบายอะไรกับตนเองบ้าง แต่ที่ทำให้เธอไม่มีทางรับได้คือเขาไม่พูดสักประโยคหนึ่งเลย
พอคิดแบบนี้ รองเท้าส้นเตี้ยใต้เท้าของหลีชิงเยียนยิ่งใช้แรงเพิ่ม ตึกๆๆ ราวกับระบายไฟโกรธของหลีชิงเยียนออกมาสุดชีวิต
หลังหลีชิงเยียนกับซูเหลยกลับมาถึงห้อง เธอก็ทนไม่ไหว กอดหน้าอก บนใบหน้าที่สวยเพริศพริ้งเขียนความเดือดดาลไว้เต็มหน้า ริมฝีปากงดงามแดงฉ่ำเผยอเล็กน้อย ต่อว่าด้วยความไม่พอใจสุดๆ “คนสารเลวนี่!”
ซูเหลยอยู่ด้านหลังของหลีชิงเยียน ปิดประตูห้องแทนหลีชิงเยียนแล้ว มองทางภาพด้านหลังที่เซ็กซี่มีเสน่ห์ของหลีชิงเยียน ซูเหลยเผยสีหน้าที่จำใจออกมาแล้ว
หลีชิงเยียนได้รับการศึกษาระดับสูงมา ทั้งยังกลับมาจากเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วย น้อยมากที่จะระบายความไม่พอใจออกมาในที่สาธารณะ ส่วนมากซูเหลยจะเห็นหลีชิงเยียนกลั้นความโมโหไว้
“รอกลับไปถึงหู้ไห่ก่อนเถอะ ฉันจะไม่ให้เขาได้อยู่ดีแน่!” ใบหน้าหลีชิงเยียนมีแรงอาฆาตที่เย็นเฉียบแวบผ่าน พูดกับตนเองอย่างเย็นชา
ซูเหลยมองหลีชิงเยียนที่กำลังโกรธเลือดขึ้นหน้า มุมปากฉีกรอยยิ้มที่จำใจขึ้น
………….
ไม่นานบนท้องฟ้าสูงก็มีพระจันทร์สุกสกาวโผล่ขึ้น ภายใต้แสงยามค่ำที่มืดมิดลุ่มลึก พระจันทร์ดวงหนึ่ง สาดส่องแสงโชติช่วงสีเงินลงมา หน้าประตูดรงแรมเปิดไฟสว่างเป็นพิเศษ น้ำพุพุ่งกระฉูดสูงสามสี่เมตร แสงไฟหลากสีแต่ละดวงสาดส่องออกมาจากภายในน้ำพุ มองจากระยะไกลเสมือนเป็นน้ำพุพ่นน้ำตกหลากสีสันนับไม่ถ้วนออกมาได้เอง ระยิบระยับแวววาว
และในเวลานี้ มาเซราติสีแดงคันหนึ่งแล่นเข้ามาจากระยะไกล สุดท้ายจอดลงข้างถนนที่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก
ที่นั่งอยู่แถวหลังในรถ คาดไม่ถึงเป็นเต๋อกุลาและวัยรุ่นชายคนนั้น
“ฉันจะไปตรวจดูสถานะของเขาหน่อย ถ้ามีอะไรผิดปกติ แกรีบออกไปทันที” เต๋อกุลาพูดขึ้น
วัยรุ่นชายเบ้ปาก “มีเวทมนตร์ของชนเผ่าเลือดอยู่ พ่อต้องระแวงขนาดนี้เลยเหรอ?”
บนหน้าที่ซีดเซียวและไม่มีสีเลือดเลยของเต๋อกุลาปรากฏความหนักหน่วงและเคร่งขรึมออกมา “ระวังไว้สักหน่อยไม่มีอะไรเสียหาย…ถ้าเป็นราชาหลงจริง ฉันยิ่งอยากลองความสามารถของเขาดูหน่อย ฉันสงสัยมาก ตอนนั้นที่ทำให้ทั้งปราสาทถอยออกจากการต่อสู้ที่ต่างประเทศเพียงคนเดียวได้ สรุปแล้วเขาครอบครองฝีมือแบบไหนไว้กัน ทำให้ท่านผู้อาวุโสของพวกเราต่างปิดซ่อนเรื่องราวไว้ลับมาก”
วัยรุ่นชายตะลึงนิดหน่อย คำพูดของเต๋อกุลาทำให้เขาตอบสนองเข้ามา “พ่อไม่ได้อยากไปตรวจดูเขา พ่ออยากฆ่าเขาทิ้ง?”
เต๋อกุลากลับไม่ได้ตอบคำถามของวัยรุ่นชายอย่างตรงๆ ทว่ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และผลักประตูรถออก เสื้อคลุมที่ไม่มีแขนสีดำตัวหนึ่งที่ด้านหลัง ทำให้ทั้งตัวเขาราวกับวิญญาณ เข้าไปใกล้ทางโรงแรมด้วยความว่องไว
วัยรุ่นชายนั่งอยู่บนที่นั่งแถวหลังด้านในรถ เขาที่รู้สึกเบื่อมาก ล้วงกล้องส่องทางไกลอันหนึ่งออกมา สังเกตดูเต๋อกุลาอย่างเงียบๆ ราวกับเป็นวิญญาณ หลบหลีกการป้องกันแต่ละชั้นของวงจรปิดและพนักงานรักษาความปลอดภัยสารพัดไปได้อย่างสบาย ชั่วพริบตาเดียวภาพเงาสีดำคนหนึ่งราวกับตุ๊กแก ทั้งตัวแนบไปบนกำแพง รูปร่างประหลาด ปีนไต่ไปทางด้านบนโรงแรม
ในเวลานี้ ภายในห้องหญิงสาวหรูหราขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง หลีชิงเยียนใส่ชุดนอนผ้าลื่นมีระดับสีม่วงตัวหนึ่ง ผิวพรรณที่ขาวดุจหิมะ ภายใต้ชุดนอนมีระดับนั้น เห็นชัดบ้างเลือนรางบ้าง
รูปร่างปีศาจสาวของหลีชิงเยียน สามารถพูดได้ว่าเป็นสัดส่วนทองคำ หลังอาบน้ำเสร็จ เธอที่ใส่ชุดนอนอยู่ ไม่มีเครื่องสำอางขับให้เด่น หน้าสดเดินออกมา เห็นได้ชัดว่ายิ่งงดงามกระจ่างใส มีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปเพิ่มขึ้นแล้ว
หลีชิงเยียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นำแผ่นมาส์กหน้าที่พึ่งติดดึงลงมาอย่างระมัดระวัง ด้านนอกประตูมีเสียงของซูเหลยดังขึ้นมา “ประธานหลีคะ ถ้าไม่มีอะไรฉันนอนก่อนแล้วนะคะ”
“ฉันก็เตรียมตัวจะนอนแล้วเหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์” หลีชิงเยียนพึ่งตะโกนออกไปนอกประตูจบ ทันใดนั้นนอกหน้าต่างด้านหลังของหลีชิงเยียนก็มีลมแรงคำรามเข้ามา พัดผมยาวสลวยของหลีชิงเยียนที่สยายอยู่บนไหล่ขึ้นมา
หลีชิงเยียนหันหน้าไปโดยจิตใต้สำนึก ชั่วขณะนั้นใบหน้าเปลี่ยนสี
จากนั้นหลีชิงเยียนลุกขึ้นฉับพลัน เธอจ้องผู้ชายที่หน้าซีดขาว และริมฝีปากแดงดุจเลือดตรงหน้าคนนี้ตาไม่กะพริบ ดวงตากดลงอย่างแรง
“แกเป็นใคร?” ร่างกายหลีชิงเยียนสั่นเบาๆ ตาจ้องผู้ชายตรงหน้าคนนี้แน่น
ผู้ชายคนนี้ ทำให้ในใจของเธอเกิดความรู้สึกอันตรายที่น่ากลัวขึ้นมา
“เป็นผู้หญิงที่ไม่เลว รสชาติก็น่าจะดีมากด้วย” ผู้ชายที่มีใบหน้าแบบชาวยุโรปคนนี้สังเกตหลีชิงเยียน ทันใดนั้นแสยะปากยิ้ม เอ่ยปากพูดภาษาหัวเซี่ยไม่คล่องเท่าไรออกมา
ความจริงหน้าตาของผู้ชายคนนี้ไม่เลวนัก ถือว่าหล่อสง่ามาก เพียงแต่บนตัวของเขาเต็มไปด้วยท่วงท่าหนาวเย็น ทั่วทั้งตัวเย็นยะเยือก เพียงแค่เข้ามาใกล้ ก็ทำให้คนรู้สึกหวากกลัวมาก แม้แต่ในจิตวิญญาณลึกยังสั่นเทาไปหมด
“แกจะทำอะไร!” ภายในใจหลีชิงเยียนปรากฏความตื่นตัวเกินกว่าปกติขึ้นมาฉับพลัน ผู้ชายคนนี้ทำให้หลีชิงเยียนพิงโต๊ะแน่น มือข้างหนึ่งกุมมือถือแน่น ขอเพียงผู้ชายด้านหน้ามีการเคลื่อนไหวใดๆ เธอจะกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจไปอย่างไม่ลังเล
ในใจของประธานนางฟ้าเต้นอย่างบ้าคลั่ง ความระวังและความประหม่าที่เธอมีต่อผู้ชายคนนี้พุ่งถึงขั้นสุด
ถึงแม้ภายนอกเธอจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฝืนทำเป็นสงบนิ่ง แต่ดวงตางดงามของเธอประกายความตกใจและสับสนอยู่
ทันใดนั้นผู้ชายคนนั้นก็ก้าวเท้าออกมา
ประธานนางฟ้าพึ่งอยากกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่ก็สายไปเสียแล้ว
ผู้ชายคนนั้นเหมือนก้าวเท้าออกมาตามชอบใจ กลับมีภาพวืดหลายภาพพัดผ่านกลางอากาศ ตามมาด้วยผู้ชายคนนั้นที่มาปรากฏตัวด้านหน้าของหลีชิงเยียนแล้ว
หลีชิงเยียนเบิกตาโต เดิมเธอมองการกระทำของชายคนนั้นได้ไม่ชัดเจน ความเร็วของผู้ชายคนนั้นดุจวิญญาณ ทำให้จิตใจเธอสั่นสะเทือน
นี่ยังเป็นคนอยู่เหรอ จากภายในใจของหลีชิงเยียนวินาทีนั้น แทบจะในชั่วขณะหนึ่งที่เห็นผู้ชายคนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์จะมีความเร็วที่เคลื่อนไหวได้ในพริบตาแบบนี้ได้อย่างไรกัน
การกระทำของผู้ชายคนนั้นไวเหลือเกิน แม้แต่เวลาที่หลีชิงเยียนจะแจ้งความยังไม่เหลือให้ หลีชิงเยียนยังไม่ทันกดปุ่มแจ้งตำรวจลง ฝ่ามือใหญ่ที่ราวกับคีบหนีบเย็นเฉียบข้างหนึ่งบีบลำคอของเธอเอาไว้ ยกเธอขึ้นมาดื้อๆ
ชั่วขณะนั้นใบหน้าที่ขาวเนียนไร้ตำหนิของหลีชิงเยียนแดงเถือกขึ้นมา เธอดิ้นรนสุดชีวิต แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ให้โอกาสใดๆ กับเธอ
มือของผู้ชายเย็นเฉียบเกือบจะไม่มีความอุ่นเลย หลีชิงเยียนเหมือนโดนศพที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาบีบไว้ ทำให้ในแววตาเธอเผยความหมดหวังนิดๆ ออกมา
ทันใดนั้นผู้ชายคนนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้หลีชิงเยียน ร่างกายของหลีชิงเยียนที่กำลังดิ้นรนอยู่ส่งกลิ่นหอมน่าดมอ่อนๆ ออกมา ผ่านไปในอากาศ แทรกเข้าโพรงจมูกของผู้ชายคนนั้นไปโดยตรง
หลังผู้ชายคนนั้นได้กลิ่นหอมเข้า ดวงตามีแสงรุ่งโรจน์ที่ชั่วร้ายแวบผ่านไปทันใด เขาก้มหน้า มองต้นคอที่อ่อนนุ่มของหลีชิงเยียน อ้าปากทันที เผยเขี้ยวแหลมคมสี่ซี่ราวกับค้างคาวออกมา กัดไปทางต้นคอที่บอบบางของหลีชิงเยียน……