สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 413
บทที่413 ไม่เล่นเป็นเพื่อนแกแล้ว!
ด้านนอกโรงแรม บนพื้นสนามหญ้า เฉินเป่ยสีหน้าหนาวเย็นยืนที่ด้านหน้าเต๋อกุลา บนหน้าของเขายังหลงเหลือแรงอาฆาตแค้นที่ไม่สลายหายไป
เต๋อกุลาคุกเข่าที่พื้นอยู่อย่างนี้ ร่างกายสั่นเทาไม่เลิก ในแววตาประกายความตกใจและหวาดกลัว
ตอนนั้นราชาหลงยืนอยู่ด้านหน้าเขา เขายังไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
นี่คือกรรมตามสนองของเขาอย่างยิ่ง
“ราชาหลง ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของผม ขอเพียงท่านอย่าพาลโกรธตระกูลของผม…..” เต๋อกุลาพูดอ้อนวอน
“ภารกิจที่แกมาหัวเซี่ยคืออะไร?” เฉินเป่ยไม่ได้ฟังคำอ้อนวอนของเต๋อกุลา แต่ว่าจ้องเต๋อกุลาอย่างเย็นชาพลางถามขึ้น
“ภารกิจ…” เต๋อกุลาร่างกายสั่นเทา อย่างไรเสียเขาก็นึกไม่ถึงว่าแวบเดียวเฉินเป่ยก็มองเป้าหมายของเขาออกแล้ว
“ที่ต่างประเทศมีข่าวแพร่ออกไปว่าความเกรียงไกรของท่านเกี่ยวข้องกับหัวเซี่ย ผมเลยมาตรวจสอบดู” เต๋อกุลาได้เพียงเอ่ยปากอธิบายอย่างซื่อสัตย์
“ความเกรียงไกรของฉัน?” บนหน้าของเฉินเป่ยปรากฏการหยอกเย้าขึ้น เสียงหนาวเหน็บ เผยการเยาะเย้ยอย่างแรง “ทำไม ชนเผ่าเลือดคิดเพ้อเจ้อเหลวไหล อยากต่อต้านฉันแล้วเหรอ?”
ร่างกายของเต๋อกุลาสั่น เดิมทีหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้
“นับวันชนเผ่าเลือดยิ่งน่าสนใจขึ้น ตรวจสอบฉัน แกคิดว่าฉันจะให้แกมีชีวิตรอดต่อไปเหรอ?” เฉินเป่ยหัวเราะเย้ยหยัน ทำให้ดวงตาเต๋อกุลากดอย่างแรง เผยความดุร้ายไม่ลังเลออกมา
ทันใดนั้น เต๋อกุลาเงยหน้าขึ้น
เต๋อกุลาจ้องมองเฉินเป่ย สีหน้ามีความหมายคลั่งเพิ่มขึ้นมา ถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ราชาหลง นี่คือท่าน…อยากบีบผมให้ตาย?”
“ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นแกเลือกออกมาเอง” สีหน้าเฉินเป่ยสงบเหมือนก่อนหน้านี้ พูดอย่างเรียบเฉย “แกมาแล้ว ตาย นี่คือจุดจบของนาย”
ร่างกายของเต๋อกุลาสั่นเทาอย่างแรง มือทั้งคู่กำหมัดแน่น “ราชาหลง ผมก้มหัวให้ท่านแล้ว ท่านกลับอยากบีบให้ผมตายอีก!”
เฉินเป่ยส่ายหน้า “ถ้าแกเพียงแค่มาหาฉัน บางทีคงจะไม่มีจุดจบแบบนี้ แต่แกแตะต้องผู้หญิงของฉันแล้ว”
ตอนจุดอ่อนของผู้มีอำนาจถูกล่วงรู้ คนผู้นั้นย่อมต้องตาย เต๋อกุลารู้ดียิ่งกว่าอะไร ราชาหลง เพื่อปกป้องใครที่สุด
ส่วนหลีชิงเยียน เดิมทีเต๋อกุลาไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงของราชาหลง
ในความเป็นจริง ถ้าเต๋อกุลาเพียงแค่มาหาราชาหลง บางทีคงจะไม่มีจุดจบแบบในตอนนี้…แต่บนโลกใบนี้ไม่มียาแก้เสียใจทีหลัง
ทันใดนั้น เต๋อกุลาเงยหน้าอย่างดุร้าย มองทางเฉินเป่ย ตะโกนอย่างฉับพลัน “ราชาหลง นี่คือท่านบีบผมเองนะ!”
เต๋อกุลาพูดจบ ร่างกายทั้งตัวสั่นไหว ภาพวืดแต่ละภาพปรากฏขึ้นทันที
เฉินเป่ยสีหน้าแข็งทื่อ ด้านหลังของเขาเกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมากะทันหัน…เต๋อกุลา คาดไม่ถึงจะสามารถทำให้เขาเกิดอันตรายถึงชีวิตที่รุนแรงเช่นนี้ได้
ทันใดนั้นเต๋อกุลาหายไปอย่างฉับพลัน ฉากหนึ่งที่ยากจะเข้าใจปรากฏขึ้น…ตรงที่เดิมปรากฏภาพเงามืดนับไม่ถ้วน กระโดดสุดชีวิต ก่อนจะบินไปที่ระยะไกล
ดวงตาของเฉินเป่ยหดตัว นี่คือค้างคาว ค้างคาวนับไม่ถ้วน
มุมปากของเฉินเป่ยวาดเส้นรัศมีวงกลมขึ้น…เขาย่อมชัดเจนเป็นธรรมดา นี่คือเวทมนตร์รักษาชีพของชนเผ่าเลือดในต่างประเทศที่ขึ้นชื่อมาก
แปลงร่างเป็นค้างคาวนับไม่ถ้วน…ลูกไม้นี้ พอจะทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริดได้
แต่ทว่าสีหน้าเฉินเป่ยยังคงสงบนิ่ง ไม่ได้เผยความตกใจแปลกใจออกมามากนัก สำหรับชนเผ่าเลือด เขาเข้าใจดีกว่าคนไหนๆ…โครงสร้างร่างกายของชนเผ่าเลือดล้วนไม่เหมือนคนทั่วไป…ถ้าใช้จำแนกชนเผ่าเลือด เฉินเป่ยยินยอมเอาชนเผ่าเลือดไปรวมไว้ในประเภทคนเถื่อนสัตว์ป่าที่ไม่รู้จักใช้ไฟกัน
เต๋อกุลา ถึงแม้ภายนอกดูกิริยาท่าทางงดงาม สง่าผ่าเผย แต่เฉินเป่ยรู้ดีกว่าคนหัวเซี่ยเป็นไหนๆ ชนเผ่าเลือดอยู่ที่ต่างประเทศ ทำผิดกฎติดต่อกันจนทำให้คนสะอิดสะเอียนเจ็บปวดมากแค่ไหน
ถ้าไม่ใช่ชนเผ่าเลือดเป็นตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่ของยุโรป สิ่งที่เฉินเป่ยกลัวคือตอนสังหารทิ้งจะเหลือปัญหาตามมา สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งมากสุดอย่างชนเผ่าเลือดพวกนี้พอไม่ตายในช่วงสั้นๆ ก็หลบหนีจากยุโรป เที่ยวแก้แค้นนองเลือดไปทั่วต่างประเทศ…เฉินเป่ยน่าจะระเบิดปราสาทเต๋อกุลาทิ้งไปเสียตั้งแต่แรก
ในสายตาของเฉินเป่ย ชนเผ่าเลือดโหดเหี้ยมทารุณกว่าสัตว์ป่าอยู่มากทีเดียว คือสัตว์ป่าดุร้ายที่แฝงในร่างคนอยู่ชัดๆ
คนแบบสัตว์ป่านี้ สามารถมีลูกไม้ปกป้องชีวิตอย่างนี้ ย่อมถูกเขาเข้าใจได้ง่ายมาก
จิ้งจกยังสามารถตัดหางเอาชีวิตรอดได้ ชนเผ่าเลือดมีเวทมนตร์รักษาชีวิตที่วิเศษแบบนี้ได้ ไม่ถือว่าแปลกอะไร
เพียงแค่ลูกไม้แบบนี้ของเต๋อกุลา กลายเป็นค้างคาวฝูงใหญ่ ในสายตาของคนทั่วไป…เทียบกับหนังฟอร์มยักษ์ที่ใช้เทคนิคการถ่ายทำพิเศษของฮอลลีวูดพวกนั้น เดิมทีไม่มีอะไรแตกต่างกัน
ด้านในโรงแรม หลีชิงเยียนที่พิงขอบหน้าต่างแอบจ้องมองทุกอย่างนี้เงียบๆ มองเห็นเต๋อกุลาหายตัวฉับพลันจากที่ไกลๆ ค้างคาวฝูงใหญ่นั้นกระพือปีกออกไป ราวกับเมฆสีดำก้อนหนึ่ง ใช้ฉากยามค่ำที่มืดมิดลุ่มลึกมาบดบังไว้ เคลื่อนย้ายไปไกลอย่างรวดเร็ว เบิกตาโต มองฉากนี้แบบอึ้งทึ่ง
หลีชิงเยียนที่เคยเห็นแต่เทคนิคพิเศษในหนังฟอร์มยักษ์เท่านั้น ตอนที่เห็นฉากนี้เข้าจริงยังงงงวยไปเลย ใบหน้างดงามค้างตะลึง
“โอ้มายก็อด!” หลีชิงเยียนร้องตกใจ เธอหายใจเร่งถี่ผิดจังหวะ มองฉากนี้ด้วยความตะลึง จิตใจสั่นเทา ตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ซูเหลย เธอรีบดูสิ!” ดีที่หลีชิงเยียนสงบนิ่งกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาแล้ว ชั่วขณะนั้นหันหน้าเรียกซูเหลยที่นั่งบนเก้าอี้หายใจวนไปมาอยู่
หลังซูเหลยถูกหลีชิงเยียนเรียกขึ้นมา ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ถือโอกาสมองไปทางที่นิ้วมือเรียวขาวแวววาวของหลีชิงเยียนชี้ไป ทันใดนั้นมองเห็นค้างคาวดำมืดฝูงใหญ่ขึ้นบิน
สีหน้าของซูเหลยเปลี่ยนไป ฉากนี้ หล่อนไม่เคยเจอมาก่อน ตอนมองเห็นภาพที่ดุจเมฆสีดำผืนนั้น ร่างกายของซูเหลยสั่นเทาอย่างแรงไปหมด
“เธอเป็นอะไร?” หลีชิงเยียนที่เอาใจใส่ย่อมสังเกตถึงความผิดปกติของซูเหลย รีบถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ประธานหลี” ซูเหลยส่ายหน้าแล้ว ดวงตาจ้องเมฆสีดำผืนนั้นตาไม่กะพริบ แวบหนึ่งเป็นห่วงเฉินเป่ยขึ้นมา
“เธอรู้ที่มาของค้างคาวสีดำพวกนี้รึเปล่า? คนคนนั้นหายตัวไปกะทันหันเลย ต่อมาฉันก็มองเห็นค้างคาวมากขนาดนี้……” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วแน่น ถามอย่างพยายามครุ่นคิด
ซูเหลยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายๆ หน้า แต่สายตาที่หล่อนมองทางเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความซับซ้อน…หล่อนไม่ได้บอกหลีชิงเยียน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะความลับที่เป็นของหัวเซี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะซูเหลยเคยเป็นสมาชิกทีมรบพิเศษ เคยประสบเรื่องบางอย่างมาก่อน เดิมทีคงไม่รู้เรื่องพวกนี้เช่นกัน
ชนเผ่าเลือด คาดไม่ถึงเป็นชนเผ่าเลือด…ภายในใจซูเหลยเกิดความซับซ้อน สายตาที่มองทางเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความสับสนตกใจ…อย่างไรเสียซูเหลยก็นึกไม่ถึงว่าที่ตนเองพึ่งเจอไปนั้นจะเป็นชนเผ่าเลือด ชนเผ่าลึกลับที่อยู่ในประเทศห่างไกลนั้น ตนเองได้พบเจออีกครั้งหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง
“ค้างคาวสีดำพวกนั้น สรุปคืออะไรกัน?” หลีชิงเยียนพูดพึมพำกับตนเอง เธอคงไม่รู้ว่าค้างคาวฝูงใหญ่นั้น เกี่ยวพันถึงโลกอีกแห่งหนึ่ง
ซูเหลยโชคดีที่เคยสัมผัสชายแดนของโลกอีกแห่งหนึ่งมา และครั้งนั้น ทีมรบพิเศษย่อยที่ซูเหลยอยู่…ถูกชนเผ่าเลือดคนหนึ่งตามฆ่า ทั้งทีมย่อมเกือบจะโดนสลายหมด เหลือเพียงซูเหลยกับสมาชิกทีมรบพิเศษที่บาดเจ็บสาหัสทั้งตัวอีกคน โชคดีที่รอดตายมาได้
และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่ซูเหลยเข้าใจเป้าหมายภารกิจนี้—ชนเผ่าเลือด
จากนั้นเป็นต้นมา ซูเหลยคิดว่าตนเองคงจะไม่เจอสิ่งมีชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว…แต่ตอนนี้หล่อนไม่เพียงเจอเข้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นชนเผ่าเลือดคนนี้ เทียบกับคนนั้นที่ซูเหลยเคยเจอมา ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ถ้าไม่ใช่ยาสีม่วงหลอดนั้น ซูเหลยคงถูกชนเผ่าเลือดคนนั้นดูดจนเป็นศพไปตั้งนานแล้ว
ชนเผ่าเลือดผู้นั้นที่ซูเหลยเจอในครั้งนี้ กำลังต่อสู้ดุเดือดกับเฉินเป่ย ซูเหลยอดไม่ได้ที่จะเริ่มเป็นห่วงเฉินเป่ยขึ้นมา ชนเผ่าเลือดคนนี้ดูแข็งแกร่งกว่าชนเผ่าเลือดคนเก่านั้น และชนเผ่าเลือดในครั้งก่อน ทำให้ทีมรบพิเศษที่ซูเหลยอยู่พลังชีวิตบาดเจ็บหนัก เฉินเป่ยจะสามารถต้านทานชนเผ่าเลือดผู้นั้นไหวเหรอ?
ระหว่างที่ซูเหลยกำลังกังวล เฉินเป่ยจ้องมองค้างคาวสีดำล้ำลึกฝูงใหญ่นั้นอยู่ที่สนามหญ้า มองไปด้วยสายตาเย็นชาตรงๆ ไม่มีความหวาดกลัวสักนิดเดียว
“แกคิดว่าแกจะหนีรอดได้เหรอ?” เฉินเป่ยมองค้างคาวฝูงนั้นที่พึ่งบินไปได้ไม่ไกลเอ่ยปากขึ้น มุมปากวาดเส้นรัศมีวงกลมที่หนาวเหน็บขึ้นฉับพลัน
นั่นคือ…ยิ้มที่หนาวเย็นเสียดสี
“วึ่ง!” ข้อมือของเฉินเป่ยสั่นสะเทือน แสงดำร้องคำรามบินวนออกจากในข้อมือของเฉินเป่ย ล็อกฝูงค้างคาวที่อยู่ไม่ไกลนักไว้โดยตรง ระเบิดยิงไปทางฝูงค้างคาวระยะไกล
ที่ว่างในอากาศกระหึ่ม แสงดำพุ่งออกไปด้วยท่วงท่าเคร่งขรึม
ฝูงค้างคาวขนาดใหญ่นั้นกระพือปีกออกไปสุดชีวิต และตอนที่แสงดำระเบิดยิงโจมตีเข้ามา ฝูงค้างคาวพวกนี้ราวกับมีการตอบสนอง บนแตกกระจายไปทั่วทิศทาง
“หนีรอดเหรอ?” เฉินเป่ยยกมุมปาก ถือโอกาสนำก้อนหินแตกบนพื้นขึ้นมา กระหน่ำยิงไปที่ฝูงค้างคาวพวกนั้น
“ฉึก!”
ที่ว่างกลางอากาศเกิดเสียงกระหึ่มสั่นสะเทือน หินแตกแต่ละก้อนราวกับเปลวไฟลูกกระสุน ยิงไปที่ฝูงค้างคาว
“พรึบ!”
ค้างคาวแต่ละตัวร่วงลงไม่ขาดสาย ฝูงค้างคาวขนาดใหญ่ลดลงหนึ่งในสามอย่างฉับไว
“เฮือก!”
ชั่วพริบตาเดียว ค้างคาวที่เหลือก็กลายร่างเป็นเต๋อกุลาใหม่อีกครั้ง เต๋อกุลาสีหน้าซีดเซียว ยืนอยู่ที่เดิม ร่างกายซวนเซเกือบจะเซล้มลงพื้น
เต๋อกุลาในเวลานี้ เทียบกับก่อนหน้าอ่อนแอมากเหลือเกิน เขาถลึงตาใส่เฉินเป่ยอย่างแค้นเคืองโหดร้าย ในสายตายังมีความหมายหวาดหวั่นแวบผ่านไปด้วย
“นายมองออกได้ยังไงกัน?” เต๋อกุลามองทางเฉินเป่ย หน้าตาดูหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาแฝงด้วยความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง
เขาไม่ยินยอม เวทมนตร์ปกป้องชีพของชนเผ่าเลือดถูกเฉินเป่ยเปิดโปงอย่างง่ายดาย แทบจะไม่เสียแรงสักนิดเดียว
“เวทมนตร์ปกป้องชีวิตของชนเผ่าเลือด แค่นี้เองเหรอ” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ ค่อยๆ ก้าวเท้าออกมาด้วยสีหน้าสงบแบบผิดปกติ
“นี่เป็นไปไม่ได้…นี่คือเวทมนตร์ของตระกูลฉัน…” เต๋อกุลามองทางเฉินเป่ย แววตาประกายความตกใจที่ยากจะซ่อนเร้น เขาจ้องเฉินเป่ยตาไม่กะพริบ ในใจยากจะสงบลง
“เวทมนตร์แล้วยังไงกัน?” เฉินเป่ยเอ่ยปากเรียบเฉย เสียงลอยเข้าในหูของเต๋อกุลา กลับเห็นได้ชัดว่าเสียดสีเป็นพิเศษ
“แกสูญเสียความสามารถอย่างน้อยหนึ่งในสามไปแล้ว แกเอาอะไรมาสู้กับฉัน?” เฉินเป่ยจ้องเต๋อกุลาอยู่ เอ่ยปากขึ้นทันใด
เต๋อกุลาร่างกายสั่น สายตาที่มองทางเฉินเป่ยเปลี่ยนจนถึงที่สุด เปลี่ยนไปเป็นยากจะเชื่อขึ้นมาได้
“ถึงแม้นายจะเป็นราชาหลง นายไม่อาจรู้เวทมนตร์ของชนเผ่าเลือดอันนี้ได้เป็นอันขาด!” เต๋อกุลาตะโกนเสียงดุ
“หึๆ…….” เฉินเป่ยมองเต๋อกุลา หัวเราะหึๆ เขาหัวเราะแล้ว หัวเราะอย่างเยาะเย้ยที่สุด ทำให้ในใจเต๋อลากุกังวลไม่สงบ ในจิตวิญญาณลึก ล้วนกำลังสั่นไม่หยุด
“ยีนของชนเผ่าเลือดกับคนธรรมดาต่างกัน เวทมนตร์ของพวกแกไม่ใช่แค่พวกแกแยกร่างออกนับไม่ถ้วนหรอกเหรอ…แต่ร่างกายที่แยกทุกส่วนแบกรับพลังชีวิตและกำลังของพวกแกไว้…ทุกครั้งที่เสียไปตัวหนึ่ง กำลังและพลังชีวิตของพวกแกก็จะลดลงไปส่วนหนึ่ง…ดังนั้นนี่ถึงกลายเป็นเวทมนตร์ป้องกันชีวิตของพวกแก ไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตายเดิมทีจะไม่ใช้ เพราะถ้าแยกร่างแล้วตายหมด พวกแกก็ไม่เหลือตัวตนแล้ว” เฉินเป่ยจ้องเต๋อกุลาไว้ เอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ เต๋อกุลาจิตใจสั่นอย่างแรง หน้าม่อยคอตก สายตาเผยความหมดหวัง
“พวกแกชนเผ่าเลือดอยู่ต่อหน้าฉันเดิมทีไม่มีความลับ แกคิดว่าแกจะหนีรอดไปได้งั้นเหรอ?” พอเฉินเป่ยก้าวออกมา สนามหญ้าแตกร้าวกระหึ่ม ทั้งตัวเฉินเป่ยตกอยู่ในตาของเต๋อกุลา ราวกับยมทูตมาเอาชีวิตอย่างนั้น