สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 424
บทที่424 ปราสาทล้มลง!
ในห้องสังเกตการณ์และควบคุมเงียบกริบ
ถ้าจะให้พูด เทพธิดาแห่งภูมิปัญญาทำให้พวกเขาแต่ละคนต่างตื่นตกใจกันหมด กองหทารหลง สำหรับทุกคนแล้วนั้น เป็นความหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เทพธิดาแห่งภูมิปัญญาอาศัยอยู่ที่ยุโรป ย่อมมีผลกระทบต่อพวกเขาอย่างมาก…ส่วนกองทหารหลงอยู่ในเขตต้องห้ามที่ลึกลับ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีใครสามารถหาฐานทัพของกองทหารหลงเจอได้
และที่ทุกคนคิดไม่ถึงคือเทพธิดาแห่งภูมิปัญญาลงมือ เป็นเพราะกองทหารหลง
ต้องรู้ว่าตอนแรกโลกชั่วร้ายทิศตะวันตกโดนราชาหลงก่อกวนจนโกลาหลอลหม่าน สถานการณ์สั่นไหวไม่สงบ ว่ากันตามเหตุผลเทพธิดาแห่งภูมิปัญญา น่าจะเกลียดชังเฉินเป่ยมาก แต่ตอนนี้กองทหารหลงเจออันตรายเข้า เทพธิดาแห่งภูมิปัญญากลับลงมือช่วยเหลืออย่างคาดไม่ถึง
พูดได้ว่าทั้งสองฝ่ายเป็นความสัมพันธ์ที่สู้จนตัวตาย ทำไมเทพธิดาแห่งภูมิปัญญาถึงยินยอมลงมือ?
ไม่มีใครรู้สาเหตุของเรื่องพวกนี้ ตอนที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจ นายพลระดับสูงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ส่ายหน้าไม่เลิก สายตาอึ้งทึ่ง ราวกับว่าทึมทื่อไปหมดแล้ว
เขาส่ายหน้าอยู่ไม่หยุด บ่นพึมพำด้วยเสียงต่ำไม่ขาดสาย “ฉันไม่เชื่อ…นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…”
ผ่านไปตั้งนาน เขาถึงเงยหน้าสายตาเผยความหมดหวัง เขาในเวลานี้ หน้าม่อยคอตก ร่างกายสั่นสะเทือนนิดหน่อย เห็นได้ว่าเขาได้รับการกระตุ้นที่ใหญ่หลวง
เทพธิดาแห่งภูมิปัญญา…กองทหารหลง…สองฝ่ายนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนนำพลังแท้จริงออกมา สำหรับเขานั้นยิ่งเป็นยักษ์ใหญ่…ว่ากันตามตรงเขาไม่ใช่แค่นายพลระดับสูงของกองทัพอากาศของอังกฤษคนหนึ่งเท่านั้นเหรอ…เมื่อสักครู่แม้แต่รัฐมนตรียังถูกเทพธิดาแห่งภูมิปัญญาทำเอาตกใจ โทรศัพท์เข้ามาเตือนสติด้วยตนเอง…เขาเทียบกันกับบุคคลใหญ่โตที่มีหน้ามีตาเหล่านั้น เขายังถือว่ามีความสำคัญอะไรกัน
แต่ตอนนี้ล่ะ เขาเองยังไม่กล้าจินตนาการ กองทหารหลงเข้าสู่ประเทศ เทพธิดาแห่งภูมิปัญญาลงมือ……ถ้าการปิดข้อมูลทำไม่สำเร็จ ไม่นานอาจจะต้องกลายเป็นข่าวดังของอังกฤษที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
“พวกเราอังกฤษกับกองทหารหลงไม่มีเรื่องบาดหมางกัน แม้กระทั่งความสัมพันธ์ยังไม่ถือว่าสนิท กองทหารหลงมาที่อังกฤษของพวกเรากะทันหัน สรุปอยากจะทำอะไรกัน?”
นายพลระดับสูงเอ่ยปากพึมพำ ภายในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ที่รุนแรง
“ไม่ หัวหน้า ท่านลืมแล้วเหรอครับ ในอดีตมีอยู่ครั้งหนึ่ง กองทหารหลงมาที่อังกฤษของพวกเรา……” ทันใดนั้น นายทหารคนหนึ่งที่ดูเหมือนมีอายุลุกขึ้นบอก
พอนายทหารคนนี้เอ่ยปากแสดงออก ทำให้นายพลระดับสูงดวงตาแข็งทื่อ
“นายหมายความว่า……” นายพลระดับสูงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมากะทันหัน
“หัวหน้าครับ ครั้งก่อนเป็นราชาหลงนำทีมเข้ามาด้วยตัวเอง ครั้งนั้นผมบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ด้วย……ราชาหลงไม่ได้ลงมือ……” ไม่นานนายทหารคนนั้นก็เล่าต้นสายปลายเหตุให้นายพลระดับสูงฟังแบบคร่าวๆ
“ว่าตามที่นายบอก…ครั้งนี้กองทหารหลงเข้ามา จะก่อการสังหารหมู่อย่างแน่!”
นายพลระดับสูงลุกขึ้นทันใด สีหน้าเผยความหมายที่เคร่งขรึมอยู่ “ฉันจะรีบไปขอร้องเบื้องบน ตรวจสอบกองทหารหลง ถ้ากองทหารหลงเตรียมจะมาเปิดฉากสังหารจริง ฉันจำเป็นต้องขัดขวางพวกเขา!”
“ที่นี่คืออังกฤษ ไม่อนุญาตให้อิทธิพลต่างประเทศมาเปิดฉากสังหารในดินแดนของอังกฤษอย่างเด็ดขาด!”
นายพลระดับสูงลุกขึ้นทันที รีบเดินตึกๆๆ ออกจากห้องทำงานไป ถึงแม้ว่าห้องทำงานจะปิดลงแล้ว ภายในห้องสังเกตการณ์และควบคุมยังคงคลุ้งกระจายไปด้วยบรรยากาศที่เงียบผิดปกติ
ทุกคนต่างตื่นตกใจต่อการปรากฏตัวของเทพเจ้ายักษ์ใหญ่ทั้งสองในวันนี้…ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดาแห่งภูมิปัญญา หรือว่าราชาหลง ล้วนทำให้พวกเขาจิตใจสั่นสะเทือนอยู่นาน
………….
ในตำหนักวังแห่งปัญญา สาวใช้สองคนยกจานผลไม้คริสทัลที่งดงามสองใบมา บนจานผลไม้จัดวางองุ่นที่ดกและใหญ่สองพวงไว้
“เจ้าหญิงคะ องุ่นพวกนี้เป็นของที่เก็บลงมาจากในสวนองุ่นที่ท่านปลูกไว้ด้านหลังค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งยิ้มบอก
นิ้วมือที่เรียวยาวงดงามขาวเนียนของโม่ถีซือบิดองุ่นลูกหนึ่งลงมาอย่างง่ายดาย ใส่เข้าไปในปากแดงที่เย้ายวน มุมปากที่แดงงดงามฉีกขึ้นเล็กน้อย เพียงแค่การกระทำที่ธรรมดาอย่างกินองุ่น ยังแฝงไปด้วยเสน่ห์ที่พูดไม่ถูก และทำให้คนหัวใจพองโต ฉากนี้ พอจะสามารถพูดได้ว่าทำให้ผู้ชายนับไม่ถ้วนคลุ้มคลั่งกันขึ้นมา แม้กระทั่งอยากจะรีบสยบยอมตรงหน้าใจแทบขาด
เทพธิดาแห่งภูมิปัญญา ดังนั้นถึงถูกเรียกว่าเทพธิดาแห่งภูมิปัญญา เป็นไปได้อย่างไรเพียงแค่สติปัญญาเหนือกว่าคนทั่วไป…หน้าตาของเทพธิดาแห่งภูมิปัญญาก็อยู่ในระดับชั้นยอดกว่าแน่นอน โดดเด่นหายากแบบเดียวกับสติปัญญาของเธอ
โม่ถีซือบิดองุ่นลูกหนึ่งเบาๆ กำลังเอาใส่ในปากลิ้มรสช้าๆ เธอในเวลานี้ ดวงตาจ้องที่แท็บเล็ตไม่ขยับ แผนที่อิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่บนนั้นแสดงจุดสีแดงแต่ละจุดอย่างชัดเจน กำลังเคลื่อนย้ายไปทางปราสาทเต๋อกุลาด้วยความรวดเร็ว
“ชนเผ่าเลือด…น่าสนใจอยู่หน่อย…” โม่ถีซือพูดพึมพำเสียงเบา “นึกไม่ถึงว่านับวันนายยิ่งเหมือนฉันเข้าแล้ว สุดท้ายยังลงมือกับเต๋อกุลาสัตว์ป่าเถื่อนที่ติดเลือดคนแบบนี้จนได้”
สาวใช้สองคนนั้นที่อยู่ด้านข้างของโม่ถีซือ ได้ยินคำพูดพวกนี้ของโม่ถีซือ สีหน้าเผยความสงสัยออกมาอย่างอดไม่ได้…พวกหล่อนย่อมฟังความหมายของโม่ถีซือไม่เข้าใจ
เต๋อกุลาเป็นตระกูลชื่อดังของยุโรป กลายเป็นสัตว์ป่าเถื่อนที่ติดเลือดคนได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
สาวใช้สองคนย่อมไม่รู้ เต๋อกุลาที่สง่างาม เบื้องหลังซ่อนการสังหารหมู่ที่ไร้มนุษยธรรม และโหดร้ายทารุณเอาไว้มากเท่าไร
………….
หัวเซี่ย เยี่ยนจิง
เฉินเป่ยยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองทางด้านนอก เขาก้มหน้า ยกข้อมือมาดูเวลาแวบหนึ่ง แววตามีความหมายล้ำลึกแวบผ่าน
เขาล้วงมือถือออกมาจากในกระเป๋ากางเกง ต่อสายไปยังโทรศัพท์ของชิงเหนียน ค่อยๆ ถามด้วยเสียงต่ำ “จัดการเป็นยังไงบ้าง?”
“วางใจเถอะ ครั้งนี้เสือขาวนำทีม เกือบจะใกล้ถึงปราสาทแล้ว”
เฉินเป่ยพยักหน้า ครุ่นคิดอะไรอยู่ พอคิดดูแล้ว สักครู่หนึ่งถึงเอ่ยปากบอก “เสือขาวนิสัยค่อนข้างใจร้อน มีเพียงเสือขาวคนเดียวเหรอที่นำทีมไป?”
“ใช่ ในฐานทัพมีเสือขาวกับจูเชี่ยเฝ้าอยู่ คนอื่นออกไปทำภารกิจกันหมด ถ้าให้จูเชี่ยนำทีม ผมกลัวเอาไม่อยู่ คนพวกนั้นโอหังทะเยอทะยาน ยังดีที่เสือขาวสามารถกดความโอหังในใจพวกเขาไว้ได้” ในสายนั้น ชิงเหนียนวิเคราะห์ออกมา ทำให้เฉินเป่ยพยักหน้าตามเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าพอใจอย่างมาก
“ดูแล้วการปลดเกษียณของฉันมีส่วนช่วยในการฝึกฝนของนายอยู่” เฉินเป่ยพูดขึ้น
“ลูกพี่ พูดขนาดนี้ไม่น่าสนใจเลย อะไรเรียกว่าเพราะการปลดเกษียณของลูกพี่ ถึงแม้ก่อนที่ยังไม่ปลดเกษียณ ลูกพี่มาสนใจเรื่องเลอะเทอะพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน…ตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ใช่มัวทำอะไรคบหากับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นเจ้าหญิงร่ำรวย……”
ไม่นานชิงเหนียนก็โวยวายขึ้นมา ทำให้เฉินเป่ยปวดหัว ทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง “ให้เสือขาวระวังหน่อย ห้ามให้หนีไปได้สักคน” จากนั้นไม่รอให้ชิงเหนียนพูดอะไรอีก ตัดสายโทรศัพท์ไปทันที
ชิงเหนียนที่อยู่ในสายนั้น ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำไว้ ฟังเสียงสายตัดไป ตะลึงสักครู่ จากนั้นหลุดปากด่าไปประโยคหนึ่ง ถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้ชิงเหนียนเสียใจแทบแย่แล้ว รู้แต่แรก เขาไม่ควรโดนเฉินเป่ยหลอกลวงมาที่เมืองหู้ไห่อะไรนี่ วางแผนการยิ่งใหญ่ด้วยกัน…เพื่อมวลชนอะไรทำนองนี้…จนกระทั่งหลังจากชิงเหนียนติดกับแล้ว ถึงพบว่าราชาหลงผู้น่าเกรงขาม ความสัมพันธ์สองคนที่ดีขนาดนี้ คาดไม่ถึงกลับใช้ลูกไม้ที่ต่ำช้ากับเขาขนาดนี้ เฉินเป่ยหลอกชิงเหนียนมาที่หัวเซี่ยแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะหลังเขาคิดปลดเกษียณ นำเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนทั้งหมดทิ้งไว้ให้ชิงเหนียน ตนเองก็มีความสุขไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ
ตอนที่เฉินเป่ยพึ่งตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง เฉินเป่ยอยู่ในห้องพักนั้น หลีชิงเยียนที่ตาสะลึมสะลือเดินออกมาจากห้องนอน สังเกตแวบหนึ่ง ชั่วขณะนั้นมองเห็นที่บนโซฟา ซูเหลยหลับอย่างสบายมาก
หลีชิงเยียนตะลึง ในใจสงสัยอยู่บ้าง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ซูเหลยถึงยอมทิ้งเตียงในห้องนอนไว้ไม่นอน ต้องมานอนที่โซฟาแทน……
หลีชิงเยียนเดินไปที่ด้านข้างของซูเหลยแบบย่องเบาๆ มองดูซูเหลยอย่างละเอียดพักหนึ่ง ถึงเข้าใจอยู่บ้าง เมื่อคืนซูเหลยต่อสู้อย่างดุเดือดกับคนผู้นั้น แม้กระทั่งยังได้รับบาดเจ็บ เดิมทีหล่อนก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบวกกับอ่อนแรงสุดจะทนด้วย มีความเป็นไปได้มากว่าเหนื่อยจนนอนหลับไปบนโซฟา
นึกถึงจุดนี้ หลีชิงเยียนละอายใจอยู่บ้าง เธออดไม่ได้นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ซูเหลยเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมาบังไว้ตรงหน้าของเธอ ช่วยชีวิตเธอไว้แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นหลีชิงเยียนจะยังนอนหลับสบายแบบเมื่อคืนนั้นได้อย่างไรกัน
หลีชิงเยียนคิดดูแล้ว จึงหมุนตัวเดินไปที่ห้องนอน รอตอนที่เธอเดินกลับมาอีกครั้ง ที่มือของเธอมีผ้าห่มผืนหนึ่งเพิ่มมาด้วย หลีชิงเยียนคลุมผ้าห่มไว้บนตัวของซูเหลยเบาๆ มุมปากแดงงดงามฉีกเส้นรัศมีวงกลมตื้นๆ ขึ้น เดินส่ายเอวกลับไปในห้องนอนอีกครั้ง
หลีชิงเยียนดูไม่ออก ซูเหลยในเวลานี้ ถึงแม้ว่าภายนอกจะหลับลึก แต่ในความเป็นจริง ร่างกายของหล่อน กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงบางอย่างแบบค่อยๆ กลมกลืน
…….
ในปราสาทเต๋อกุลา บนโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ผู้อาวุโสที่หน้าซีดขาวแต่ละท่านนั่งอยู่
บนตัวของผู้อาวุโสเหล่านี้ ทั้งหมดปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา…กลิ่นอายที่สูงส่งซ่อนไว้ภายในตัวของพวกเขา ดุจสัตว์ป่าแต่ละตัวที่นอนหลับใหล
ผู้อาวุโสที่มีสิทธิ์มานั่งที่โต๊ะประชุมตรงนี้ แต่ละคนชื่อเสียงโด่งดัง ในชนเผ่าเลือด ไม่มีสักคนที่ไม่ใช่บุคคลตำแหน่งสูงอิทธิพลมาก แม้กระทั่งมีหลายท่าน ถึงแม้อยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียงของทั้งยุโรปก็มีชื่อเสียงไม่น้อย
และตอนนี้ทุกคนนั่งเบียดกันอยู่ที่โต๊ะประชุมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนจะถกเถียงอะไรบางอย่าง
ใจกลางโต๊ะประชุม วางรูปถ่ายใบหนึ่งไว้ ในรูปถ่ายมีภาพด้านหลังที่เลือนรางอยู่คนหนึ่ง…ภาพด้านหลังคนนั้นกำลังปล่อยท่วงท่าที่ยิ่งใหญ่ออกมา คนนั้นในรูปภาพ มีดหลงหยาที่อยู่ในมือยังมีเลือดหยดอยู่ ราวกับเดินออกมาจากนรก
เขาราวกับยมทูต ทำให้คนนับไม่ถ้วนหวาดกลัวสุดๆ
“แผนการของพวกเราถูกเท่อน่าเปิดโปงแล้ว” ในเวลานี้ ผู้อาวุโสที่สวมชุดสูทหรูหราคนนั้นค่อยๆ เอ่ยปาก
“ฉันก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกไม่เอาไหนอย่างเท่อน่าไม่น่าไว้ใจ ไม่สู้ให้ฉันมาเลือกคน” ในเวลานี้ผู้อาวุโสผมขาวที่ผอมสูงอีกท่านหนึ่งตอบกลับ สีหน้าของเขาหนาวเหน็บราวกับมีน้ำค้างแข็งปกคลุมชั้นหนึ่ง แววตาเผยความหดหู่ที่รุนแรง
“พวกเรายังไม่ชัดเจน ที่ต้องกังวลคือ…แผนการของพวกเรา เท่อน่าได้บอกราชาหลงไปหรือเปล่า…ถ้าราชาหลงรู้แล้ว ผลลัพธ์ที่แย่สุดคือราชาหลงฝ่าฝืนข้อตกลง เข้ามาฆ่าโดยตรง!” ในชนเผ่าเลือด ท่านผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยปากด้วยเสียงทุ้ม
“ฮาๆๆ ถึงแม้จะบอกราชาหลงแล้วยังไง พวกเรากับราชาหลงอยู่ห่างกันขนาดนั้น ราชาหลงอยู่ที่หัวเซี่ย เขาจะเสียแรงวิ่งเข้ามาได้ยังไงกัน ถึงแม้เข้ามาแล้ว เขาก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเราอยู่ดี!” ผู้อาวุโสที่สีหน้าหดหู่คนนั้นพูดอย่างอึดอัด “ยังจำครั้งก่อนได้มั้ย ราชาหลงท่าทางจัดหนักมาร้องเอะอะกับพวกเรา สุดท้ายไม่ใช่ถอยทัพกลับไปเองอย่างว่านอนสอนง่ายเหรอ!”