สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 431
บทที่431 พิษเลือดที่ยากรับมือ!
ในใจเสือขาวสั่นสะท้าน เขานึกไม่ถึงว่าการแก้แค้นที่ท่านผู้อาวุโสใหญ่เผ่าเลือดและวินเซนตท์คนนั้นร่วมมือกันขึ้นมา จะมีพลังมหาศาลแบบนี้ได้
“ซู่ซ่า……”
ผ่านไปไม่นาน พายุฝนเทลงมาปานฟ้ารั่วช่วงสั้นๆ…นายทหารของกองทหารหลงนับไม่ถ้วนที่อยู่ในพายุฝนครั้งนี้ทิ้งปืนลงด้วยความเจ็บปวด ชั่วพริบเดียวเสื้อผ้าถูกกัดกร่อนออกเป็นรูใหญ่แต่ละรอย มีควันขาวลอยขึ้นทั่วตัว นายทหารของกองทหารหลงแต่ละคนกำลังดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน
เสือขาวก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน เสือขาวที่ร่างกายสูงใหญ่ นั่นหมายความว่าต้องแบกรับฝนเลือดมากยิ่งกว่าคนอื่น
ความเจ็บปวดจากไฟลวกไหม้อย่างสาหัสดุจกระแสน้ำไหล แพร่กระจายไปทั่วทั้งตัวของเสือขาว เส้นเลือดบนหน้าผากเสือขาวเต้นตุบๆ กัดฟันแบกรับความเจ็บปวดรุนแรง
เสือขาวกวาดสายตาอย่างฉับไว เห็นเพียงอาวุธปืนที่โดนทิ้งไว้บนพื้นพวกนั้น หลังจากเจอน้ำเลือดเข้า ก็โดนกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว แม้แต่เหล็กกล้ายังหนีไม่รอดเลย ยิ่งไปกว่านั้นนายทหารของกองทหารหลงเหล่านี้ล้วนมีร่างกายปุถุชนคนธรรมดา
“ซี๊ด!”
ควันแต่ละระลอกผุดขึ้นไม่ขาดสาย นายทหารของกองทหารหลงแต่ละคนต่างต้านทานการรุกรานและจู่โจมของฝนเลือดไม่ไหว ร่างกายล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
เสือขาวกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่กัดกร่อน ทันใดนั้นเขาพบว่าในซากปรักหักพังของปราสาทที่อยู่ไม่ไกลนัก มีเงามืดขนาดใหญ่เวิ้งหนึ่งใต้ซากปรักหักพังของปราสาทอันใหญ่โต ทำให้เสือขาวไม่ทันได้คิดลังเลใดๆ ชี้ไปยังซากปรักหักพังของปราสาทด้านหน้า ตะโกนว่า “ทุกคนฟังคำสั่ง รีบไปพื้นที่ตรงนั้นใต้ซากปราสาทด้านหน้า!”
“ปึง!”
เสือขาวพึ่งพูดจบ นายทหารของกองทหารหลงแต่ละคนวิ่งไปทางซากปรักหักพังของปราสาทนั้นได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นร่างของเผ่าเลือดที่เหลือเพียงสิบกว่าคนนั้นสั่นเทาขึ้นมาฉับพลัน…ชั่วแวบหนึ่ง ร่างกายของเผ่าเลือดพวกนี้ระเบิดออกกะทันหัน กลายเป็นน้ำเลือดนับไม่ถ้วน ดุจลูกกระสุนยิงกระจายไปทั่วทิศ
“เฮือก!”
มีนายทหารของกองทหารหลงไม่น้อยฝีเท้าซวนเซอย่างฉับพลัน น้ำเลือดแต่ละสายราวกับธนูเลือดแต่ละดอก ชั่วพริบตาเดียวทะลุผ่านร่างกายของนายทหารกองทหารหลงมากมาย
“ปึง!”
นายทหารของกองทหารหลงหลายคนล้มลงไปพร้อมกับเสียง ร่างกายดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด เดิมทีนี่เป็นความเจ็บที่ยากจะรับได้
“พยุงหน่อย พวกเราจะล้มอยู่ที่นี่ไม่ได้แม้สักคน!” เสือขาวคว้าทหารสองสามคนขึ้นแบก พลางตะโกนด้วยเสียงโมโห
นายทหารแต่ละคนค่อยๆ พยุงส่วนที่ล้มลงเหล่านั้นขึ้นมา พุ่งไปยังซากปรักหักพังของปราสาทสุดกำลังด้วยความยากลำบาก
ภายใต้ฝนเลือดที่กระหน่ำลงมา ไม่เพียงแค่นี้ ร่างกายของเผ่าเลือดพวกนั้นยิ่งทวีความน่ากลัว พอร่างกายระเบิดแตก ธนูเลือดยิงออกไป อานุภาพยังมีความน่ากลัวยิ่งกว่าฝนเลือดตั้งหลายเท่า ชั่วพริบตาเดียวทะลุเข้าร่างกายของผู้บาดเจ็บแล้ว
“ปึงๆๆ!”
หลังจากที่เผ่าเลือดแต่ละคนได้สัมผัสฝนเลือด ก็ระเบิดออกพร้อมเสียง นี่คืออาวุธที่สยองขวัญยิ่งกว่าระเบิดเสียอีก
เทียบกับมันขึ้นมา ระเบิดฆ่าตัวตาย เดิมทียังไม่ถือว่าน่ากลัวอะไรเลย
นายทหารแต่ละคนหกล้มลงที่พื้น…เหตุการณ์เป็นที่น่าสยดสยอง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แม้แต่เสือขาวที่จิตใจแน่วแน่ ภายใต้สถานการณ์ที่ได้รับบาดเจ็บและยังต้องแบกนายทหารไว้บนหลังด้วย สติค่อยๆ เลือนรางลงไป ซากปรักหักพังของปราสาทที่ไกลออกไปเริ่มใกล้เข้ามา และฝีเท้าของเสือขาวยิ่งหนักอึ้งขึ้นด้วย……
“ตึง!”
ในที่สุดเสือขาวก็ยืนหยัดไม่ไหว ล้มไปตามเสียง
………
หัวเซี่ย เยี่ยนจิง
หลีชิงเยียนนั่งอยู่ข้างโซฟา มองซูเหลยที่นอนบนโซฟาด้วยจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ใบหน้าที่สวยเพริศพริ้งเผยความไม่เข้าใจและความสงสัยออกมา
นี่ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว ซูเหลยยังคงไม่ตื่นขึ้นมาอีก หลีชิงเยียนสังเกตดูแล้ว ลมหายใจของซูเหลยสม่ำเสมอมาก คล้ายกับว่านอนหลับปกติ แต่ร่างกายของหล่อนกลับร้อนเอามากๆ ทว่าพอหลีชิงเยียนวัดอุณหภูมิร่างกายดู กลับปกติมากเช่นกัน
บนตัวซูเหลยเกิดเรื่องน่าแปลกประหลาดบางอย่างขึ้น ทำให้หลีชิงเยียนยิ่งไม่เข้าใจ เหตุการณ์อะไรทำนองนี้เคยเกิดมาครั้งหนึ่งแล้ว สรุปซูเหลยเป็นอะไรกันแน่?
หลีชิงเยียนย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา ซูเหลยไม่เพียงแต่ปลอดภัยไม่เป็นอะไร บนร่างกายยังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย นี่คือความโชคดีของซูเหลยครั้งหนึ่ง
หลังจากหลีชิงเยียนคิดไปคิดมา สุดท้ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ส่งข้อความไปหาเฉินเป่ยข้อความหนึ่ง สอบถามเฉินเป่ยว่าจะเอาอย่างไรดี
หลีชิงเยียนพึ่งส่งข้อความเสร็จ เฉินเป่ยที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามหยิบมือถือขึ้นมากวาดตามองดูแวบหนึ่ง แววตาเผยรอยยิ้มที่มีความสนใจออกมา ลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากห้องของตนเอง เดินตรงไปยังห้องของหลีชิงเยียนทันที
ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูห้องของหลีชิงเยียน หลังเฉินเป่ยกดกริ่งที่ประตู ไม่นานนักหลีชิงเยียนก็มาเปิดประตูห้องออก สวมชุดกระโปรงสีม่วงตัวหนึ่ง ขาเรียวสองข้างที่เนียนราวกับน้ำนมซ่อนไว้ภายใต้กระโปรง ผมยาวดำขลับนุ่มลื่นปกไหล่ไว้ ทำให้เฉินเป่ยมองอย่างไรก็ไม่มีเบื่อ
หลังจากหลีชิงเยียนมองเห็นเฉินเป่ย สีหน้าเย็นชาฉับพลัน เอ่ยปากพูดด้วยเสียงน่าดึงดูด “ฉันถามนายว่าทำยังไงดี ไม่ได้ให้นายเข้ามาสักหน่อย”
เฉินเป่ยหัวเราะนิดหน่อย อธิบายว่า “ชิงเยียน หมอดูอาการยังไงก็ต้องเจอคนไข้สักหน่อยมั้ง ไม่มาเจอคนไข้ตัวต่อตัวสักนิด จะรู้ได้ยังไงกันว่าสรุปเกิดอะไรขึ้นกันแน่……”
หลีชิงเยียนหัวเราะหึๆ ในน้ำเสียงมีความหมายที่เสียดสีเพิ่มเข้ามา “ฟังจากความหมายในคำพูดนี้ของนาย นายคิดว่าตัวเองเป็นหมอจริงๆ แล้วรึไง?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว” หลังเฉินเป่ยสังเกตได้ถึงการดูถูกในแววตาของหลีชิงเยียนนั้น ในใจเพียงแค่หัวเราะอย่างขมขื่นนิดหน่อย
“เข้ามาเถอะ” หลีชิงเยียนชายตามองเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ หมุนตัวเดินไปทางด้านในห้อง
หลังเฉินเป่ยเดินตามหลีชิงเยียนเข้าไป แวบเดียวก็มองเห็นซูเหลยที่นอนคลุมผ้าห่มอยู่บนโซฟา
“ดูสิ” หลีชิงเยียนนั่งอยู่ด้านข้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาไม่ได้ย้ายออกจากตัวซูเหลยเลย เห็นได้ชัดว่าเธอยังใส่ใจความปลอดภัยของซูเหลยมาก
เฉินเป่ยเดินมาที่ด้านข้างซูเหลย นั่งลงมา ตรวจดูอาการของซูเหลยอย่างละเอียด อดพยักหน้าไม่ได้ สีหน้าพึงพอใจมาก
เฉินเป่ยพอใจมาก ร่างกายของซูเหลยไม่เพียงไม่ต่อต้านยาขวดนั้น แต่ผลการดูดซึมยังดีมากด้วย แม้กระทั่งเกินกว่าความคาดหมายของเฉินเป่ยอยู่บ้าง
“ตรวจได้ความยังไงบ้าง?” หลีชิงเยียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากด้วยความสงสัย เธอเห็นเฉินเป่ยพยักเล็กน้อยเรื่อยๆ ท่าทางที่เหมือนดูจริงจังมาก จึงไม่เชื่ออยู่บ้าง
เธอย่อมไม่เชื่อว่าเฉินเป่ยจะสามารถดูอาการอะไรออกมาได้จริง การที่เธอตกลงให้เฉินเป่ยดูอาการ เพราะมีท่าทีอยากลองสักหน่อย แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินเป่ยจะสามารถดูอาการอะไรออกมาได้จริง
เวลานี้มองเห็นท่าทางที่จริงจังของเฉินเป่ยแล้ว ทำให้หลีชิงเยียนเองเริ่มเชื่ออยู่บ้าง
เฉินเป่ยหันหน้าทันที มองทางหลีชิงเยียนแล้วถามว่า “หล่อนหลับนานแค่ไหนแล้ว?”
“เมื่อคืนหลังฉันเข้าห้องมาก็น่าจะหลับเลย นอนมาจนถึงตอนนี้” หลังจากหลีชิงเยียนนึกย้อนคิดดูจึงตอบไปตามความจริง
“สรุปหล่อนอาการเป็นยังไง ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน หลับไปจนถึงช่วงบ่ายเลย” หลีชิงเยียนอดถามขึ้นมาไม่ได้
เฉินเป่ยหัวเราะหึๆ เอ่ยปากตอบนิ่งๆ “หล่อนไม่ได้เป็นอะไร ร่างกายดีมาก เพียงแต่เมื่อคืนเหนื่อยเกินไป ต้องการพักผ่อนมากๆ”
หลีชิงเยียนสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นหัวเราะเยาะ มองเฉินเป่ยอยู่พร้อมพูดว่า “ฉันคิดว่านายจะเข้าใจทักษะแปลกใหม่อะไรบ้างจริงๆ คิดไม่ถึงที่แท้นายก็แค่คุยโวโอ้อวด”
“เมื่อคืนเพื่อปกป้องฉันไว้ หล่อนต้องได้รับบาดเจ็บภายในแน่ แต่นายยังบอกว่าร่างกายดีมาก?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วพูด
เฉินเป่ยยักไหล่อย่างจำใจ “หล่อนไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่เชื่อรอหล่อนตื่นขึ้นมาคุณถามหล่อนเองก็ได้ว่ารู้สึกยังไง?”
หลีชิงเยียนฉีกมุมปาก มองค้อนใส่เฉินเป่ย ท่าทางไม่อยากพูดจากับเฉินเป่ยแล้ว
เฉินเป่ยแอบถอนหายใจ เขาเองไม่มีทางบอกหลีชิงเยียนได้ว่าเมื่อคืนซูเหลยได้รับบาดเจ็บจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดเจ็บสาหัสด้วย แต่ภายใต้การช่วยเหลือของยาขวดหนึ่ง เดาว่ากลางดึกร่างกายคงฟื้นฟูกลับมาสบายดีแล้ว ตอนนี้หล่อนยังอยู่ในส่วนของการดูดซึมยาอย่างเต็มที่ รอกระทั่งร่างกายของซูเหลยดูดซึมยาจนหมด มีความเป็นไปได้มากที่ความสามารถของซูเหลยจะขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
สำหรับซูเหลยที่อยู่ในทีมรบพิเศษ เรื่องแบบนี้เหมือนจะเป็นโอกาสที่เพียงต้องรอคอย
ส่วนหลีชิงเยียนย่อมไม่เข้าใจถึงสิ่งลำบากที่ใช้ใจทำของเฉินเป่ย
เฉินเป่ยก้มหน้ากวาดตาดูนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง พูดว่า “อีกสิบห้านาที หล่อนน่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว”
“สิบห้านาที?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว สำหรับการวินิจฉัยที่แม่นยำเช่นนี้ของเฉินเป่ย เธอยังคงสงสัยอย่างมาก
“แน่ใจขนาดนี้เลย? นายเอาความมั่นใจมาจากไหน?” หลีชิงเยียนเอ่ยปาก
“ชิงเยียน คุณอย่ายึดการวินิจฉัยของตนเองเกินไปเลย ห้องพักนี้คุณรีบคืนไปเถอะ” เฉินเป่ยยิ้มบอก
รอยยิ้มบนหน้าของหลีชิงเยียนยิ่งเข้มขึ้น เธอมองเฉินเป่ยอยู่ รอยยิ้มยิ่งเยาะเย้ย “ถ้าฉันคืนห้องพักไปแล้ว งั้นฉันกับซูเหลยนอนที่ไหน? นายจะให้พวกฉันไปนอนข้างถนนรึไง?”
“ก็ต้องเป็นห้องพักเดิมนั้นน่ะสิ” เฉินเป่ยหัวเราะนิดหน่อย
หลีชิงเยียนตะลึงเล็กน้อย จากนั้นทำเสียงฮึดฮัด “อย่ามาล้อเล่นเลย ห้องนั้นยังจะอยู่ได้ยังไง? ฉันให้นายซ่อมแซมมัน นายทำได้แล้วเหรอ? เมื่อไรที่นายซ่อมห้องนั้นเสร็จเหมือนเดิมแล้ว ค่อยมาหาฉัน!”
สุดท้ายหลีชิงเยียนถือโอกาสทิ้งประโยคหนึ่งไว้อย่างเย็นชา หมุนตัวเดินไปทางห้องนอนคนเดียวทันที
และพอหลีชิงเยียนเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ตอนที่พึ่งถึงหน้าประตูห้อง ทันใดนั้นมีประโยคหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของหลีชิงเยียน ตอนที่ลอยเข้าในหูของเธอ ทำให้ฝีเท้าของเธอหยุดชะงัก
“ชิงเยียน งั้นตอนนี้คุณกลับไปพักได้แล้ว”