สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 435
บทที่435 เป็นปฏิปักษ์กับทั้งทิศตะวันตก!
“ค่ะ” สาวใช้คนนั้นก้มหน้ารับปาก ในใจกลับกำลังสั่นเทาเล็กน้อย
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างได้ยินบทสนทนาของโม่ถีซือและเฉินเป่ยเข้าไปเต็มๆ ถึงแม้จะไม่ได้ยินคำพูดของเฉินเป่ย ทว่าพอจะเดาเนื้อหาคร่าวๆ ได้เกือบหมด
และตอนที่ได้ยินโม่ถีซือจะลงมือด้วยตนเอง ในใจหล่อนสั่นเทาไม่หยุด ตื่นตกใจอย่างมาก
แต่สาวใช้กลับไม่กล้าฝ่าฝืน ไม่นานก็กลับไปด้านในตำหนักอีกครั้งหนึ่ง พูดอย่างเคารพนอบน้อม “ส่วนผสมและอุปกรณ์ทั้งหมดอยู่ในห้องทดลองปลอดเชื้อเรียบร้อยแล้วค่ะ”
โม่ถีซือพยักหน้าแล้ว จากนั้นใช้เสียงที่มีเพียงตนเองได้ยินพูดพึมพำขึ้น “ราชาหลง นายติดหนี้บุญคุณฉันอีกครั้งแล้ว”
เสียงของโม่ถีซือเบามาก เดิมทีทำให้สาวใช้คนนั้นได้ยินไม่ชัดเจน เห็นเพียงท่าทางโม่ถีซือกลับมาหนาวเหน็บเช่นเมื่อก่อน เอ่ยปากบอก “ไปเถอะ”
“เชิญค่ะ”
หลังสาวใช้เดินมาถึงหน้าประตูห้องทดลองเป็นเพื่อนโม่ถีซือ จากนั้นหยุดลงมา อยากเข้าสู่ห้องทดลองปลอดเชื้อต้องใช้ฝีมือระดับหนึ่ง และถึงสาวใช้จะเข้าไป ก็ยากจะช่วยเหลืออะไรโม่ถีซือได้ จึงถือโอกาสรออยู่ด้านนอก
เวลาผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละวินาที ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ประตูของห้องทดลองถึงค่อยๆ เปิดออก โม่ถีซือหน้าตาอ่อนล้า เดินออกมาจากในห้องทดลอง
โม่ถีซือพึ่งเดินออกจากห้องทดลอง ดวงตาทั้งคู่มืดมัวลอยๆ ราวกับอยู่ด้านในสูญเสียจิตวิญญาณไป ทำให้เธอเหนื่อยล้าสุดๆ
พอโม่ถีซือก้าวเท้าออกมาจากห้องทดลอง ร่างกายซวนเซนิดหน่อย เกือบจะล้มลงที่พื้น
โชคดีที่สาวใช้ด้านข้างเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูมาตลอด เห็นโม่ถีซือไม่ปกติ จึงรีบพยุงโม่ถีซือเอาไว้
“ท่านเป็นอะไรไปคะ?” สาวใช้คนนั้นถามขึ้น
“ฉันไม่เป็นไร” โม่ถีซือส่ายหน้า น้ำเสียงแหบแห้ง เผยความหมายอ่อนแรง
“ท่านเป็นอะไรเหรอคะ?” สาวใช้คนนั้นขมวดคิ้วแน่น ทั้งร่างกายของโม่ถีซืออ่อนพับไปที่ตัวของหล่อน นี่ทำให้สาวใช้เป็นห่วงสถานการณ์ของโม่ถีซืออย่างมาก
“รีบส่งคนเอามันไปให้ในมือของกองทหารหลง จำไว้ จะต้องรักษาเป็นความลับ…เดี๋ยวฉันจะหาตำแหน่งของกองทหารหลงออกมาให้” โม่ถีซือควักขวดสีฟ้าขวดหนึ่งออกมาจากในอก ยัดไปในมือของสาวใช้แล้ว
สาวใช้เงยหน้า มองทางโม่ถีซือ หล่อนอ้าๆ ปาก ตั้งแต่ต้นจนจบอยากพูดอะไร แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ฉันแค่ใช้พลังไปมากเกินกำลังเท่านั้น พักผ่อนสักพักหนึ่งก็ดีขึ้น” เหมือนเพียงแวบเดียวโม่ถีซือก็มองความกลัวและความกังวลของสาวใช้ออก
สาวใช้หมุนตัว หลังวิ่งเหยาะๆ จากไป โม่ถีซือมองทางที่สาวใช้จากไป ล้วงมือถือออกมาช้าๆ โทรศัพท์ไปหาเฉินเป่ยแล้ว
และเวลานี้ เฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนเดินออกจากในร้านอาหาร หลังซูเหลยทานขนมหวานเสร็จ หลีชิงเยียนไม่ได้หยุดอยู่ที่นั่นอีกต่อไป แต่ว่าเดินไปยังห้องพักของโรงแรม
“รอหลังจากฉันเก็บห้องเสร็จ ค่อยไปที่งานพนันเพชรพลอย” หลีชิงเยียนทิ้งประโยคหนึ่งอย่างเย็นชา ก่อนจะออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉินเป่ยมองภาพด้านหลังที่เซ็กซี่ของหลีชิงเยียนพลางยิ้มเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าหลีชิงเยียนพอใจกับการตกแต่งของห้องที่เขาทำเมื่อคืนมาก ตอนนี้เดาว่าอยากจะเข้าไปพักในห้องนั้นจนอดใจไม่ไหวแล้วมั้ง
ตอนที่เฉินเป่ยมองภาพด้านหลังของหลีชิงเยียนแล้วเผยรอยยิ้มที่มีความสนใจออกมา ทันใดนั้น ซูเหลยที่อยู่ด้านข้างก็จ้องเฉินเป่ยด้วยสายตาซับซ้อน
“เฉินเป่ย” ซูเหลยเรียกเสียงเบา
เฉินเป่ยหันหน้า มองทางซูเหลย ถามว่า “มีอะไรเหรอ?”
ซูเหลยจ้องมองเฉินเป่ยอยู่ มองอยู่สักพักหนึ่ง แม้กระทั่งเฉินเป่ยยังขนลุกอยู่บ้าง ซูเหลยถึงเอ่ยปากเสียงเบาๆ พูดมาคำหนึ่งแล้ว “ขอบคุณนะ”
“ฉันแค่ให้ยาที่รักษาบาดแผลกับเธอเอง ไม่มีอะไรต้องขอบคุณ” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ โบกๆ มือ เหมือนไม่ใส่ใจอะไรสักนิด
แต่ทว่าสายตาที่ซูเหลยมองทางเฉินเป่ยยิ่งซับซ้อนขึ้น เพราะหล่อนรู้ว่าถึงแม้เฉินเป่ยจะแสดงออกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่หล่อนรู้อย่างชัดเจน ยาขวดนั้นที่รับมาเมื่อคืนนี้ เกรงว่าราคาของมันคงไม่ได้ธรรมดาขนาดนี้เป็นแน่
หล่อนรู้ดีอยู่แก่ใจ ย่อมเข้าใจเป็นธรรมดา จะมียารักษาแผลที่ไหนกันที่สามารถเพิ่มสมรรถภาพร่างกายของหล่อนให้แกร่งขึ้นได้ด้วย ยิ่งสามารถกำจัดอาการบาดเจ็บภายในร่างกายของหล่อนไปได้อีก
ยาแบบนี้ หล่อนพบได้น้อยมาก ถึงแม้ตอนแรกที่อยู่ในทีมรบพิเศษ ซึ่งครอบครองทรัพยากรมากมาย ยังไม่เคยเจอยาที่มีประสิทธิภาพมหัศจรรย์เช่นนี้
ส่วนเฉินเป่ยเพียงพูดแค่ว่าเป็นยารักษาบาดแผลขวดเดียวอย่างเรียบง่าย…ซูเหลยย่อมไม่เชื่อ เฉินเป่ยรักษาแผลให้หล่อน ต้องใช้ยาดีขนาดนี้เลยเหรอ
ท่าทีของซูเหลยที่มีต่อเฉินเป่ยนั้นยิ่งเกิดความรู้สึกผิดในใจ เกรงว่าหล่อนเองคงยังนึกไม่ถึงว่าจะมีสักวันหนึ่ง ท่าทีของหล่อนต่อเฉินเป่ยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้
“ขอบคุณนะ” ซูเหลยเอ่ยปากอีกครั้ง การดูดซึมต่อตัวยาสองครั้ง ทำให้สมรรถภาพร่างกายของซูเหลยยิ่งแข็งแรงเพิ่มขึ้น และห่างไกลเกินกว่าตอนที่หล่อนปลดประจำการจากทีมรบพิเศษด้วย
แม้กระทั่งซูเหลยยังไม่สงสัยสักนิด หากไม่ตนเองที่ยังไม่ได้ดูดซึมยาเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง คงไม่มีกำลังสู้กลับอย่างเด็ดขาด
มือของซูเหลยกุมหมัดสักหน่อยอย่างควบคุมไม่อยู่ ทั่วตัวมีพลังที่เต็มเปี่ยมไปทั้งหมดจนพูดไม่ถูก แม้กระทั่งทำให้ความมั่นใจของซูเหลยเพิ่มขึ้นมาด้วย เกิดภาพลวงตาว่าตนเองสามารถสู้ได้หลายคนมาก
ซูเหลยรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง ทำให้หล่อนยิ่งใหญ่เกรียงไกรแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ฮู้!” ซูเหลยหายใจออกทีหนึ่งอย่างหนัก ในร่างกายที่อ่อนโยนของหล่อนเต็มไปด้วยทรหดอดทน ราวกับเสือชีตาห์ เต็มไปด้วยพลังระเบิดที่แกร่งมาก
เฉินเป่ยหันหน้า กวาดตามองซูเหลยแวบหนึ่ง แววตาเป็นประกาย มุมปากฉีกรอยยิ้มที่คนอื่นยากสังเกตเห็นขึ้น ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวออกไป
จนกระทั่งตอนที่เฉินเป่ยออกไป ในหูของซูเหลยมีประโยคหนึ่งลอยมาอย่างเลือนราง “ฟื้นตัวได้ไม่เลว แต่ความสามารถของเธอเพิ่มขึ้นไวเกินไปแล้ว ต้องปรับให้เข้าที่ดีๆ เลี่ยงที่รากฐานไม่มั่นคง และต่อไปยังไงความสามารถอาจเพิ่มขึ้นอีก”
เสียงของเฉินเป่ยเรียบนิ่ง ลอยเข้าในหูของซูเหลย ทำให้ร่างกายซูเหลยสั่นอย่างฉับพลัน แววตาเผยความตื่นตกใจยกใหญ่ออกมา
ซูเหลยย่อมรู้สึกตกใจต่อคำพูดของเฉินเป่ยเป็นธรรมดา ก่อนหน้านี้เฉินเป่ยพูดมากับปากเองว่าความสามารถของหล่อนยังมีทางเพิ่มขึ้นได้
ซูเหลยไม่อยากเชื่อ เพราะตอนที่หล่อนอยู่ทีมรบพิเศษ ความสามารถของตนเองไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ยากที่จะพัฒนาขึ้นได้อีก สามารถพูดได้ว่าความสามารถถึงขีดจำกัดของหล่อนแล้ว
แต่ทว่าคำพูดเมื่อสักครู่นั้นของเฉินเป่ย ความหมายชี้ชัดว่าความสามารถของซูเหลยยังมีความหวังว่าจะพัฒนาเพิ่มได้ นี่ไม่ทำให้ซูเหลยรู้สึกตื่นตกใจได้อย่างไรกัน
แม้กระทั่งตอนแรกที่ซูเหลยได้ยินคำพูดนี้ เดิมทียังไม่เชื่อ รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่
แต่ซูเหลยรู้สึกถึงพลังในร่างกายเต็มเปี่ยมยิ่งใหญ่ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีไม่เคยมีในอดีต ในใจของหล่อนเกิดการสั่นไหวนิดๆ
ใช่ เปลี่ยนเป็นหล่อนในสมัยก่อนย่อมไม่เชื่อ แต่เมื่อสักครู่คำพูดนี้เป็นใครพูดให้หล่อนฟังล่ะ? คือราชาหลง ราชาหลงที่ความสามารถยิ่งใหญ่ และร่ำรวยมหาศาล
คำพูดของราชาหลง หล่อนไม่เชื่อได้อย่างไรกัน
ในใจของซูเหลยซับซ้อนตื่นเต้นพลิกไปมา สีหน้าของหล่อนซับซ้อนขึ้นมาแล้วทันใด หล่อนไม่รู้ว่าควรมีความรู้สึกแบบไหนต่อเฉินเป่ยดี แต่เฉินเป่ย ได้เปิดประตูของโลกใหม่แทนซูเหลยแล้ว
เปลี่ยนเป็นซูเหลยที่เมื่อก่อนอยู่ในทีมรบพิเศษ คงนึกไม่ถึงเด็ดขาด จะมีสักวันหนึ่ง หล่อนสามารถเป็นเหมือนราชาหลงได้ นานมากที่หล่อนไม่มีความสามารถใดๆ ขึ้น คาดไม่ถึงยังเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วย
เฉินเป่ยกลับมาถึงห้องของตนเอง นั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าล้ำลึก เขาเสนอยาให้ซูเหลย ย่อมมองออกว่าความสามารถของซูเหลยไม่มีทางเพิ่มขึ้น สาเหตุคือร่างกายของซูเหลยอ่อนแอเกินไป ร่างกายของตนเองไม่มีทางรับความสามารถที่ยิ่งใหญ่ของหล่อนได้ เหมือนขวดใบหนึ่ง ถึงระดับคงที่ ย่อมใส่น้ำลงไปไม่ได้อีก
ส่วนยาสองครั้งนั้นที่เฉินเป่ยให้มานั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงร่างกายของซูเหลยจากขั้นแก่นแท้ ทำให้หล่อนสามารถรับความสามารถมากขึ้นได้
ร่างกายของซูเหลยมีการเปลี่ยนแปลงมากมายแล้ว ความสามารถย่อมเพิ่มมาระดับหนึ่งแล้วเป็นธรรมดา
แม้กระทั่งเฉินเป่ยยังเชื่อว่าซูเหลยในตอนนี้ หากสู้กับเท่อน่าเผ่าเลือดคนเมื่อก่อนหน้านั้น ถึงจะพูดว่ายังไม่มีทางชนะมากนัก แต่อย่างน้อยก็คงไม่กระเซอะกระเซิงมาก
นี่คือการตอบแทนที่เขาให้ซูเหลย จากขั้นพื้นฐานคือมอบของที่ซูเหลยต้องการมากที่สุด
เขาคงไม่บอกซูเหลยว่ายาสองขวดนั้นที่เขาให้ซูเหลยใช้นั้น ราคาของพวกมัน ซูเหลยคิดก็ไม่กล้าคิด
ต่อให้เป็นตลาดมืดที่มีชื่อเสียงที่สุดใหญ่ที่สุดของต่างประเทศ ยาสองขวดนั้นก็เป็นของหายากที่ได้แต่รอโอกาส ไม่รู้ว่าผู้มีอิทธิและเศรษฐีมากมายเท่าไรหาทุกวิถีทาง เรียกร้องให้ได้มาขวดหนึ่งโดยไม่เสียดายต้นทุน
คนรวยมากมายที่ขึ้นแท่นคนรวยของนิตยสารฟอร์บส์ที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่ไม่เสียดายระดมกำลังคนทำเรื่องใหญ่ ใช้ลูกไม้สารพัด
เพราะนี่เกี่ยวกับความลับใหญ่เรื่องหนึ่งของกองทหารหลง กองทหารหลงไม่เคยเปิดเผยข้อมูลใดๆ ของยานี้ออกไปง่ายๆ
ส่วนเฉินเป่ยนำยานี้มาใช้กับตัวซูเหลยอย่างไม่ลังเลสักนิด
ทันใดนั้น เสียงกริ่งมือถือที่เอะอะดังขึ้นกะทันหัน เฉินเป่ยหยิบมือถือขึ้น กวาดตามองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นโม่ถีซือโทรมา
“โม่ถีซือ สรุปเธออยากจะทำอะไร?”
หลีชิงเยียนไม่ได้อยู่ในห้อง เฉินเป่ยที่ไม่ได้ถูกควบคุม ในที่สุดจึงสามารถเอ่ยปากได้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
สีหน้าของเฉินเป่ยดูไม่ดีเอามากๆ พอนึกถึงก่อนหน้านี้โม่ถีซือให้เขาเลือก ทำให้ในใจของเฉินเป่ยเกิดความโกรธเคืองขึ้น
“นายคิดว่าฉันอยากทำอะไรล่ะ?” ในสายนั้น เสียงของโม่ถีซือเบามาก เผยความหมายที่น่าดึงดูด แต่เฉินเป่ยฟังออก โม่ถีซืออ่อนแรงมาก
เฉินเป่ยยักคิ้ว “อยากเอาชีวิตฉัน ต้องดูว่าเธอมีความสามารถมาเอาได้รึเปล่า โม่ถีซือ ถ้าไม่ใช่ก่อนหน้านี้เธอยั่วโมโหฉัน ฉันจะเอาเธอมาระบายได้ยังไงกัน” คำพูดเฉินเป่ยชะงักเล็กน้อย พูดว่า “ช่วงนี้ ฉันก็ไม่ได้ระบายดีๆ สักครั้งด้วยสิ”
คำพูดของเฉินเป่ยที่เต็มไปด้วยความหมายแฝงนี้ ทำให้โม่ถีซือในสายนั้นสีหน้าเปลี่ยน ทันใดนั้นเปลี่ยนไปหนาวเหน็บอย่างยิ่ง เทพธิดาที่สงบมาตลอดเหมือนโดนคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของเฉินเป่ยสะกิดแผลเป็นของเธอเข้า
ในดวงตาของโม่ถีซือมีเปลวไฟสองดวงผุดขึ้นแล้ว กลิ่นอายหนาวเย็นบนตัวของเธอ ชั่วขณะหนึ่งทำให้ที่ว่างกลางอากาศโดยรอบเย็นอย่างเฉียบพลัน
สาวใช้สองคนที่อยู่ด้านข้างสั่นเทาไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ไหว พวกหล่อนรู้สึกถึงได้อย่างชัดเจนว่าเทพธิดาแห่งภูมิปัญญากำลังมีไฟโกรธที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้นไร้ขอบเขตอยู่
“เฉินเป่ย! นายอย่ามาพูดเกิดเหตุไปหน่อยเลย!” โม่ถีซือเอ่ยปากอย่างเย็นชา คำพูดนั้นของเฉินเป่ย คาดไม่ถึงทำให้ใบหน้างดงามของเธอเกิดสีแดงน่าดึงดูดสองวงขึ้น นี่โม่ถีซืออับอายจนโมโห ถูกคำพูดหนึ่งของเฉินเป่ย ทิ่มแทงแผลเป็นเข้าให้
พอเฉินเป่ยพูดถึงเรื่องนี้ โม่ถีซือร่างกายสั่นเทา เหมือนนึกถึงความอับอายสารพัดสองครั้งนั้น เฉินเป่ยราวกับสัตว์ป่ากดตนเองไว้บนเตียง