สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 509
บทที่ 509 ยโสโอหัง
“เฉดหัวฉันอย่างนั้นเหรอ” เฉินเป่ยมองไปยังหลีเช่าเทียนแล้วแสยะยิ้ม แววตาที่เขามองหลีเช่าเทียนเหมือนจะเล่นแต่ก็ไม่ได้เล่น
“ฉันเตือนให้นายไสหัวออกไปเองจะดีกว่า อย่าให้ฉันเรียกคนเข้ามา” หลีเช่าเทียนจ้องเฉินเป่ยเขม็ง แววตาเฉียบคมราวกับดาบแหลมคมเหมือนจะแทงทะลุเขาอย่างไรอย่างนั้น
“หึ ฉันไม่ไป ฉันจะดูว่านายจะไล่ฉันไปยังไง นายจะทำอะไรฉันได้” เฉินเป่ยจ้องเขาอย่างมีเลศนัย แววตาของทั้งสองคนปะทะกัน
“ชิงเยียน มันเป็นผู้ชายที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิง ทำให้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของบ้านหลี เธอก็น่าจะรู้ว่าการที่ให้มันออกไปมันก็มีผลดีกับตัวเธอ” หลีเช่าเทียนเงยหน้า แล้วมองหลีชิงเยียนด้วยแววตานิ่งเฉย
“เขาเป็นผู้ชายของฉัน ฉันให้เขาไปไม่ได้” หลีชิงเยียนพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ดวงตางดงามราวกับดวงจันทร์ เธอในตอนนี้ช่างน่าหลงใหลอย่างน่าแปลก
เธอดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่คนที่รู้จักเธอรู้ดีว่า ปัญหาในบางประเด็กที่เกี่ยวกับหลักการ เธอเป็นคนที่เคารพหลักการมากกว่าใคร
หลีเช่าเทียนมองหลีชิงเยียน และเอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้น จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นมาดีดนิ้ว
บริกรเดินเข้ามาหยิบแชมเปญขวดสีทองรินให้ทุกคนอีกครั้ง
“รู้ไหมว่านี่คืออะไร” หลีเช่าเทียนเหลือบมองเฉินเป่ย
เฉินเป่ยดูลักษณะของแชมเปญ จากนั้นก็พูดว่า “ถูกห่อหุ้มด้วยทอง แน่นอนว่าต้องเป็นของที่มียี่ห้อ”
เฉินเป่ยมองขวดแชมเปญตาเป็นประกาย อย่างกับพวกบ้านนอกเข้ากรุง
หลีเช่าเทียนมองเขาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สถานที่ผลิตไวน์ที่ชื่อว่าโรมาเน กองติประเทศฝรั่งเศส”
“น่าจะหลายพันสินะ” เฉินเป่ยตาเป็นประกาย แล้วพูดถึงความวิเศษของมัน
“สองล้าน” หลีเช่าเทียนพูดเนิบๆ ราวกับว่าสำหรับเขามันก็แค่สองร้อยเท่านั้น
“โอ้โห สองล้านเชียวเหรอ จริงหรือโกหกเนี่ย นายโม้หรือเปล่า” เฉินเป่ยเบิกตาโต เหมือนกับพวกบ้านนอกอย่างไรอย่างนั้น
หลีเช่าเทียนมองเขาอย่างดูถูก แววตาของเขาดูมีเลศนัย
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะดูถูกเฉินเป่ยแน่นอน แต่ทว่าตอนนี้เขารู้ถึงตัวตนของเฉินเป่ย ราชาหลง ทำไมถึงเป็นพวกบ้านนอกไปได้ล่ะ
แต่ทว่าบรรดาป้าๆ น้าๆ ของหลีเช่าเทียนยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเฉินเป่ย แววตาที่มองเฉินเป่ยแปรเปลี่ยนเป็นการดูถูกเหยียดหยาม
“นี่สองล้านเชียวนะ ไม่ใช่เหล้าราคายี่สิบของแก”
“เป็นไปตามคาดก็แค่พวกบ้านนอกที่ไม่เคยเจอโลกภายนอก พวกเราไม่ต้องไปพูดอะไรกับมันหรอก”
“ก่อนหน้านี้อวดเก่งไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เจอแชมเปญราคาสองล้านถึงกับไปไม่เป็นเลยเหรอ”
ขนาดหลีชิงเยียนยังต้องเหลือบมองเฉินเป่ย เธอรู้สึกว่าเฉินเป่ยทำให้เธอขายหน้า
ภายนอกของเฉินเป่ยเป็นแค่คนจนๆ แต่ทว่าในใจของเขากลับคิดว่าทำไมเขาจะต้องตกใจกับแชมเปญราคาแค่สองล้าน ตอนที่เขาอยู่ในห้องเก็บไวน์ที่เยอรมัน เขาดื่มไวน์ลาฟิต ขวดละสามสิบกว่าล้านไม่เห็นต้องเอามาอวด
อาหารสุดหรูค่อยๆ ยกมาเสิร์ฟทีละจาน ทุกจานล้วนเป็นอาหารสุดหรู จานล้วนทำมาจากทองคำขาวบริสุทธิ์ งานเลี้ยงส่วนตัวมื้อนี้เหมือนกำลังกินเงินอยู่อย่างไรอย่างนั้น
พนักงานเทไวน์แดงให้ทุกคนอย่างนอบน้อม ไวน์ค่อยๆ ส่งกลิ่นออกมา
หลีชิงเยียนยื่นตะเกียบออกไปคีบเนื้อมาไว้ในถ้วยของตัวเอง
จู่ๆ เฉินเป่ยก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบเนื้อในถ้วยของหลีชิงเยียน แล้วเอาเข้าปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
“นายทำอะไรน่ะ” หลีชิงเยียนเห็นการกระทำของเฉินเป่ย ดวงหน้าสวยเต็มไปด้วยความสงสัย
“ไม่ได้ทำอะไร เผื่อมียาพิษไง จะได้ป้องกันไม่ให้คุณกินเข้าไปก่อน” เฉินเป่ยพูดอธิบาย
“มียาพิษอย่างนั้นเหรอ” หลีชิงเยียนอึ้งไปเล็กน้อย
แต่ทว่าหลีเช่าเทียนได้ยินและมองไปยังเฉินเป่ย จากนั้นจึงพูดเสียงเบาออกมาว่า “คุณเฉิน นายกำลังจะบอกว่า ฉันใส่ยาพิษลงไปงั้นเหรอ”
เฉินเป่ยแบะปาก “ไม่มียาพิษหรอก คุณชายหลีมีทั้งเงินและอำนาจ จะใช้วิธีต่ำๆ อย่างการใส่ยาพิษลงไปในอาหารได้ยังไงกัน”
แววตาของหลีเช่าเทียนแหลมคมราวกับกระบี่ เขาจ้องเฉินเป่ยอยู่นานกว่าจะละสายตาออก แต่ทว่าแววตาของเขาเหมือนกำลังอาฆาตอยู่
“ชิงเยียน งานเลี้ยงวันนี้ถือว่าเป็นการต้อนรับเธอกลับบ้านหลีล่วงหน้าแล้วกัน มาชนแก้วกันดีกว่า” หลีเช่าเทียนยกแก้วไวน์ขึ้นอย่างสง่า
หลีชิงเยียนขยับแก้วไวน์ และจิบไวน์ลาฟิต จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เหมือนกับเป็นการปฏิเสธแบบอ้อมๆ “ดื่มก็เป็นเรื่องของการดื่ม เขาเป็นสามีของฉัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะปกป้องเขา คุณไม่สามารถให้ฉันตัดขาดกับเขา”
สีหน้าของหลีเช่าเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ชิงเยียน สภาพของมันคงจะทำให้เธอรังเกียจมานานแล้วสินะ เราตั้งใจเลือกคุณชายของตระกูลจางให้เธอเป็นอย่างมาก เขาสง่างาม เหมาะสมทุกคำพูดและการกระทำ ดีกว่ามันเป็นร้อยเท่า”
“เหรอ” หลีชิงเยียนหันไปมองหลีเช่าเทียน น้ำเสียงของเธอยังคงเย็นชาและเหินห่างเป็นอย่างมาก
“ชิงเยียน เธอต้องเชื่อฉันกับคุณปู่สิ ตระกูลหลีกับตระกูลจางมาดองกัน เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ” หลีเช่าเทียนยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอีก
“ช่างมันเถอะ” หลีชิงเยียนปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “ฉันได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายของตระกูลจางวันๆ ไม่ทำอะไร มักมากในกาม”
หลีเช่าเทียนเลิกคิ้วขึ้น แววตาของเขาฉายแววเย็นยะเยือกออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก “ชิงเยียน ฉันพูดเกลี้ยกล่อมตั้งนาน ทำไมเธอถึงไม่ฟัง?”
หลีชิงเยียนไม่ได้พูดอะไรและมองเขาอย่างเงียบๆ “ฉันพูดไปแล้ว ไม่ตกลงก็คือไม่ตกลง ฉันบอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าการที่พ่อกลับมาบ้านหลี มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”
“ปัง!” หลีเช่าเทียนกระแทกแก้วไวน์ในมือลงกับโต๊ะอย่างแรง จากนั้นจึงมองหลีชิงเยียนด้วยสายตาเย็นชา
เหมือนอากาศเย็นลง บรรยากาศเย็นยะเยือกไปหมด
เฉินเป่ยใช้ตะเกียบคีบอาหารกินอย่างสบายอกสบายใจ เขากินจนปากมันไปหมด จากนั้นจึงพูดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยถูกกาลเทศะเท่าไรนัก “ทำไมกับข้าวจานนี้เค็มจัง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไปเปลี่ยนจานมาเดี๋ยวนี้เลย”
ดวงตาคู่สวยของหลีชิงเยียนเหลือบไปมองเฉินเป่ย เธอยิ้มมุมปากออกมาบางๆ ไอ้หมอนี่ก่อกวนเก่งจริงๆ เลย
“ชิงเยียน มั่วอึ้งอะไรอยู่ รีบทานสิ หิวแล้วใช่ไหมล่ะ” เฉินเป่ยพูดพลางคีบเนื้อมาวางไว้ในถ้วยของเธอ
ดวงตาคู่สวยเหลือบมองเขา
“คุณวางใจได้เลย อาหารจานนี้ผมทานแล้ว ไม่มียาพิษ” เฉินเป่ยยิ้มออกมา
หลีชิงเยียนจึงคีบอาหารขึ้นมากัดหนึ่งคำ
หลีเช่าเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดออกมาว่า “ชิงเยียน ตอนนี้เจ้าบ้านของตระกูลจางกำลังทำงานอยู่ในตำแหน่งสำคัญให้กับทางรัฐบาล เขามีอำนาจมาก เขาเข้ามาก้าวก่ายในตำแหน่งของเจ้าบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าสองตระกูลไม่สามารถดองกันได้ ไม่ต้องจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเลยล่ะ บ้านหลีอาจจะล่มสลายเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ ความหวังอันริบหรี่ของพ่อเธอก็จะหายไปในพริบตา!”
“ผลที่จะตามมางั้นเหรอ” อุปกรณ์ทานอาหารที่อยู่ในมือของหลีชิงเยียนชะงักไป เธอมองหลีเช่าเทียนแล้วยิ้มมุมปาก เธอพูดประชดเบาๆ ว่า “เรื่องของตระกูลจางเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ เพราะอำนาจของบ้านตระกูลจางทำให้ตำแหน่งของหลีหงสั่นคลอน ดังนั้นเขาเลยยินยอมให้คุณทำแบบนี้เหรอ”
หลีชิงเยียนพูดพลางหันหน้าไปมองหลีหง หลีหงหลับตาลง
“การดองกันกับตระกูลจางเกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันว่าบ้านหลีคงไม่ได้ขาดแคลนผู้หญิงที่จะแต่งออกไปหรอก ทำไมต้องให้ฉันไปด้วยล่ะ” หลีชิงเยียนถามด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“เพราะว่าเธอคือสายตรงของตระกูลหลี เป็นลูกสาวของหลีหยาง” หลีเช่าเทียนมองหลีชิงเยียนแล้วพูดออกมา
“พวกคุณบอกว่าฉันไม่ได้เป็นคนของตระกูลหลีแล้วนิ ฉันโดนขับไล่ออกมาตั้งนานแล้ว ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลีแม้แต่นิดเดียว ทำไมพอเจอเรื่องที่จะต้องปรองดองกัน ก็คิดถึงฉันขึ้นมาล่ะ” หลีชิงเยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน
จู่ๆ หลีเช่าเทียนก็พูดอะไรไม่ออก
“ฉันจะบอกพวกคุณให้นะ เพราะว่าพวกคุณไม่เคยเห็นฉันเป็นคนในตระกูล ดังนั้นการที่ให้ฉันกลับเข้ามาในตระกูลและให้ฉันแต่งงาน มันแทบจะไม่มีผลกระทบอะไรกับพวกคุณเลย” หลีชิงเยียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างพากันเงียบ ใช่แล้ว เป็นอย่างที่หลีชิงเยียนพูดจริงๆ หลีเช่าเทียบกับหลีหงก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เพราะว่าพวกเขาคิดเช่นนี้จริงๆ หลีชิงเยียนเคยเป็นคุณหนูของบ้านหลี การที่สละเธอให้กับตระกูลจางถือว่าตระกูลหลีให้ความสำคัญกับฝั่งนั้น แถมตระกูลหลียังไม่ต้องเสียแรงอะไรมากมาย ก็สามารถมีหน้ามีตาอย่างมั่นคง
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หลีชิงเยียนก็แค่คนที่ต้องเสียสละ เธอจะอยู่จะไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร
“ชิงเยียน เธอหมายความว่าจะเปลี่ยนใจกับสิ่งที่พูดเมื่อครู่เหรอ เธออย่าลืมสิว่าสิ่งที่บ้านหลีเกลียดที่สุดก็คือคนกลับกลอก และจะไม่ปล่อยเอาไว้อีกด้วย” หลีเช่าเทียนยิ้มบางๆ น้ำเสียงของเขาเนิบๆ แต่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก
ดวงตาคู่สวยกะพริบเบาๆ เธอจ้องเขาแล้วพูดว่า “ขู่ฉันเหรอ”
“มิกล้า มิกล้า ฉันจะกล้าขู่เธอได้ยังไง เธอเป็นประธานบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ฉันไม่กล้าขู่เธอหรอก” หลีเช่าเทียนพูดติดตลก แต่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
“เหรอ ฉันมีข้อเสนอนะ สาวงามข้างกายคุณชายหลีน่าจะมีไม่น้อยใช่ไหมล่ะ สู้ทำให้พวกเธอมีหน้ามีตาแล้วให้แต่งออกไปไม่ดีกว่าเหรอ แบบนี้ก็ได้ผลเหมือนกันนะ” หลีชิงเยียนพูดออกมาเนิบๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลีชิงเยียน เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที หลีเช่าเทียนกำลังโกรธ
“ชิงเยียน ฉันขอเตือนเธอเอาไว้ ตอนนี้เยี่ยนจิงวุ่นวายมาก การที่เธอพูดแบบนี้มันจะทำให้เป็นจุดสนใจของคนบางกลุ่ม…” หลีเช่าเทียนสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขาไม่สามารถใจเย็นต่อไปได้อีก สุดท้ายเขาก็พูดข่มขู่ออกมา
หลีชิงเยียนยิ้มบางๆ “ฉันจะดูแลตัวเอง ไม่ทำให้คุณชายหลีหนักใจ”
ขณะนั้นเองเฉินเป่ยก็พูดแทรกขึ้นมา “เอ๊ะ ใช่สิ เหมือนกับว่าเมื่อสองวันก่อนผมได้ยินว่าบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปมีข่าวซุบซิบด้วย ไม่รู้ว่าใครทำเรื่องไม่ดีกลางวันแสกๆ ในบ้านหลี ไม่มีใครอบรมสั่งสอนจริงๆ นี่มันทำให้เสียภาพลักษณ์ของเมืองด้วย!”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าสง่างามของหลีเช่าเทียนก็โกรธจัด เขาหายใจฟึดฟัดด้วยความโกรธถึงขีดสุด
นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระที่เฉินเป่ยจงใจพูดออกมาบนโต๊ะอาหาร มันใส่ร้ายเขาต่อหน้าของหลีหงและคนอื่นๆ อย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย
คนที่นั่งข้างๆ อย่างหลีชิงเยียนยกเท้าที่สวมส้นสูงขึ้นมาเตะไปที่ขาของเฉินเป่ยด้วยแรงที่ไม่หนักไม่เบา
“ชิงเยียน คนขับรถของเธอพูดหยาบคายมาก ถ้าเธอไม่ถือสา ฉันจะช่วยจัดการมัน!” แววตาของหลีเช่าเทียนฉายแววอาฆาต เขามองไปยังเฉินเป่ยอย่างไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น
“คุณชายหลี คุณไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” หลีชิงเยียนพูดอย่างมีเลศนัย
“โอ้โห คุณชายหลีจะจัดการผมอย่างนั้นเหรอ ผมไม่ถือสานะจะเดี่ยวหรือจะหมู่ แล้วแต่คุณเลย” เฉินเป่ยพูดติดตลก
ราชาหลงอย่างเขาจะกลัวหลีเช่าเทียนได้ยังไง ถึงจะมีตระกูลหลีอยู่เบื้องหลังหลีเช่าเทียน ก็เหมือนกับมดที่อยากจะเหยียบช้าง ไม่เจียมตัว…
สายตาของหลีเช่าเทียนแหลมคมราวกับกระบี่ เขาเอาแต่มองเฉินเป่ย ตอนนี้ราชาหลงที่น่ารังเกียจคือคนที่ต้องตายในสายตาของเขา ในเมื่อมันรนหาที่ตาย งั้นเขาก็จะส่งมันไปตายเอง…
“คุณชายหลี มองผมแบบนี้ผมกลัวจัง ถ้าคุณอยากจัดการผม ก็มาสู้กันแบบเปิดเผย อย่าแอบทำอะไรลับหลัง” เฉินเป่ยมองหลีเช่าเทียนแบบจะตลกก็ไม่ตลก “ผมได้ยินมาว่าไอ้พวกที่ชอบแอบทำอะไรลับหลัง มันเป็นพวกโรคจิต เกิดลูกแบบตระหนี่ เป็นพวกเลือดผสม เลวยิ่งกว่าหมา…”
เฉินเป่ยก่นด่าพึมพำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจาะจงว่าเป็นหลีเช่าเทียน แต่ภายในคำพูดของเขาเหมือนเป็นการด่าหลีเช่าเทียนทางอ้อม
หลีเช่าเทียนหายใจฟึดฟัด เขาโกรธหน้าดำหน้าแดง ใบหน้าอันหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าแห่งความอาฆาต เขากำหมัดแน่น ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะพุ่งเข้าซัดหน้าไอ้เวรนี่เสียตอนนี้เลย!
“พอเถอะ เลิกเถียงกันได้แล้ว” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างหลีชิงเยียนทนไม่ไหว จึงพูดห้าม แต่ทว่าตอนนี้มุมปากของเธอมีรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังพอใจกับคำด่าของเฉินเป่ย
ในสังคมไฮโซ น้อยนักที่จะมีคนที่ทำตัวสบายๆ อย่างเฉินเป่ย และด่าว่าคนอื่นอย่างไม่เกรงกลัวอะไร เขานี่แปลกจริงๆ
เฉินเป่ยหุบปากลงอย่างว่าง่าย เขาก้มหน้าทานอาหาร โดยไม่สนใจสายตาอาฆาตของหลีเช่าเทียน
หลีเช่าเทียนพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองและระงับความโกรธเอาไว้ จากนั้นจึงพูดออกมาเนิบๆ ว่า “ชิงเยียน จริงๆ แล้วฉันอยากพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่รู้เธออยากฟังไหม”
หลีชิงเยียนเบิกตาคู่สวย “พูดมาสิ”
“อันที่จริงฉันมีความประทับใจที่ดีต่อเธอ เธอบุคลิกสูงส่ง งดงามจนทำให้คนหลงใหล” หลีเช่าเทียนเอาแต่จ้องเธอ น้ำเสียงอ่อนหวานอย่างเห็นได้ชัด
“อ้อ ขอบใจที่ชม แต่ฉันไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิด” หลีชิงเยียนพูดเนิบๆ
“ชิงเยียน ฉันชื่นชมเธอนะ ถ้าทั้งสองตระกูลได้ดองกัน ฉันว่า…”
“ไม่จำเป็น!” หลีชิงเยียนพูดตัดบท “ฉันมีคนที่ชอบแล้ว เรื่องการแต่งงาน ถ้าโลกไม่แตก ฉันว่าเราควรจะมีเหตุผลกันสักนิด” น้ำเสียงของหลีชิงเยียนเย็นชาและแฝงไปด้วยความแน่วแน่
สีหน้าของหลีเช่าเทียนแปรเปลี่ยนไป ใบหน้าอันหล่อเหลาแฝงไปด้วยความเย็นชา
“คุณชายหลี ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน ขอโทษด้วย” หลีชิงเยียนลุกขึ้นยืน เธอไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
หลีหงกับหลีเช่าเทียนไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของเธอเรื่องการแต่งงาน เธอรู้ดีว่าคุณชายของตระกูลเป็นคนยังไง ถ้าเธอแต่งออกไปก็เป็นได้แค่ของเล่น ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเลย!
เธอลุกขึ้นช้าๆ เฉินเป่ยก็รีบตามเธอไปติดๆ ไอ้หมอนี่ลุกขึ้นแล้วยังไม่ลืมหยิบกุ้งล็อบสเตอร์ออสเตรเลียตัวใหญ่มาอีก…
เมื่อเห็นรูปร่างอันงดงามของหลีชิงเยียนจะเดินออกไป สีหน้าของหลีเช่าเทียนก็เย็นชาเข้าไปอีก
“คนต่ำตม! อุตส่าห์ไว้หน้า งั้นคืนนี้แกก็ตายซะ!” หลีเช่าเทียนบีบแก้วในมือจนแตก เขาดูโหดเหี้ยมอย่างเห็นได้ชัด
“เพล้ง” แก้วกระเบื้องในมือของหลีเช่าเทียนแตกละเอียด นี่เป็นเหมือนสัญญาณให้บอดี้การ์ดชุดดำที่อยู่รอบๆ วิ่งเข้ามาล้อมโต๊ะอาหารและหลีชิงเยียนเอาไว้!