สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 510
บทที่ 510 ขู่ฆ่า
หลีชิงเยียนหน้านิ่ง “คุณชายหลี นี่คุณจะทำอะไร”
หลีเช่าเทียนไม่ได้พูดอะไร เขามองหลีชิงเยียนนิ่งๆ ด้วยแววตาเคร่งขรึม เขาโดนความยโสในใจควบคุมเอาไว้แล้ว เขาไม่ยอมให้แผนการของตัวเองล้มเหลว ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น!
เฉินเป่ยจับข้อมือของหลีชิงเยียนแล้วจ้องหลีเช่าเทียนนิ่ง จากนั้นจึงพูดติดตลกออกมาว่า “คุณชายหลีอยากจะลงไม้ลงมือเหรอ”
ที่นี่คือตระกูลหลีแห่งเยี่ยนจิง เป็นถิ่นของหลีเช่าเทียน เฉินเป่ยไม่อยากผลีผลามทำอะไรต่อหน้าของหลีเช่าเทียน เพราะเขาเกรงว่าหลีชิงเยียนจะเป็นอันตราย แต่นี่มันได้หมายความว่าเขาไม่กล้า ถ้าหลีเช่าเทียนรนหาที่ตายเอง เขาก็พร้อมที่จะทำให้ที่นี่เป็นนรก!
“เฉินเป่ย แกคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่เหรอ” หลีเช่าเทียนมองเฉินเป่ยด้วยสายตาเย็นชาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน่ากลัวและอาฆาต
คนตระกูลหลีที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน หลีเช่าเทียนจะลงไม้ลงมือจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาสงสัยว่าทำไมหลีเช่าเทียนต้องเชิญผู้หญิงที่ถูกไล่ออกไปมาร่วมงาน ที่แท้หลีเช่าเทียนวางแผนจัดงานเลี้ยงสังหารนี่เอง!
หลีเช่าเทียนยกแก้วไวน์ขึ้นมา แล้วเดินไปหาเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนช้าๆ ขณะที่เขาเดินเข้าไป บอดี้การ์ดที่ล้อมอยู่ข้างนอกก็ล้อมเข้ามาอีกครั้ง โดยมีอาวุธสีดำอยู่ในมือของทุกคน
จู่ๆ บรรยากาศก็คุกรุ่นขึ้นมาทันที
คนที่อยู่ในงานต่างพากันถอยกรูดเพราะความกลัว ในที่สุดวันนี้หลีเช่าเทียนก็ลงมือ ตอนแรกหลีหงกำจัดคนภายในตระกูลหลี ฆ่าอย่างเด็ดขาด วันนี้หลีเช่าเทียนจะทำตามแบบของหลีหงที่ต้องเลือดสาดในงานเลี้ยงหรือเปล่า
แววตาของเฉินเป่ยนิ่งไป เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดออกมา!
“หลีเช่าเทียน ฉันเคารพนายกับหลีหงเป็นผู้ที่สูงส่ง ถึงไว้ชีวิตนายเอาไว้ ดูเหมือนว่าฉันจะเมตตานายมากเกินไปหน่อย” น้ำเสียงของเฉินเป่ยราบเรียบ แต่มันน่ากลัวจนไม่สามารถต้านทานได้
คนในบ้านหลีที่อยู่รอบๆ ต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน แววตาที่มองไปยังเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความตกตะลึง
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเฉินเป่ยจะอวดเก่งถึงขนาดที่บอกว่าตัวเองไว้ชีวิตหลีเช่าเทียน
ทุกคนต่างพากันอึ้ง ไอ้เฉินเป่ยมันอวดเก่งจริงๆ เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ ถึงได้พูดกับคุณชายหลีแบบนั้น
สีหน้าของหลีเช่าเทียนเย็นชาและแฝงไปด้วยความอาฆาต “แกน่ะเหรอ อยู่ต่อหน้าฉันก็แค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น”
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนสี ไม่ผิดเลยต่อหน้าของคุณชายหลี เฉินเป่ยก็แค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น
“ไอ้หมอนี่มันสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ คุณชายหลีต้องฆ่ามันแน่ๆ”
“อย่าพูดถึงคุณชายหลีเลย ไม่เห็นหลีหงที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นเหรอ นี่แสดงว่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่หลีเช่าเทียนทำ สีหน้าของคุณชายหลีก็ไม่สู้ดีเลย ให้ตายเถอะ นี่ไอ้เฉินเป่ยล่วงเกินคนใหญ่คนโตตั้งสองคน วันนี้เขารอดยากแน่นอน”
ทุกคนต่างพากันถกเถียง ทุกคนต่างพากันสยอง งานเลี้ยงวันนี้มันช่างน่าตกใจเหลือเกิน
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้หลีหงยังคงหลับตาราวกับกำลังหลับอยู่อย่างนั้น
หลีเช่าเทียนยังคงยืนผยองอยู่ตรงนั้น แววตาของเขาเย็นยะเยือก เขาตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ต้องจัดการให้ได้และจะไม่แพ้เด็ดขาด ถึงจะต้องใช้แรงมากเท่าไร!
“ชิงเยียน เธอจะไม่ลองคิดดูอีกครั้งเหรอ ตระกูลหลีกับตระกูลจางดองกัน มีแต่ได้กับได้” น้ำเสียงของหลีเช่าเทียนเย็นชาและน่าเกรงขามจนไม่สามารถปฏิเสธได้ ราวกับคำพูดของเขาเหมือนคำสั่งที่ยากจะปฏิเสธ
ใบหน้าของหลีชิงเยียนเย็นชา ในที่สุดเธอก็อดทนไม่ไหว “หลีเช่าเทียน ฉันจะไม่เป็นผู้เสียสละของบ้านหลีเด็ดขาด ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแต่งงานอะไรทั้งนั้น!”
“รนหาที่ตาย” หลีเช่าเทียนกำหมัดแน่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต!
“ลงมือ!” หลีเช่าเทียนล้วงมือถือออกมาแล้วกดลงไปบนแป้นพิมพ์ ข้อความที่ได้พิมพ์เอาไว้ถูกกดส่งออกไปทันที ในพริบตาเดียว บอดี้การ์ดของตระกูลหลีก็พุ่งเข้ามาจากข้างนอก สัญญาณแห่งความตายเริ่มขึ้นแล้ว
“หน้าไม่อาย ครั้งนี้มันตายแน่!” คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่เห็นทุกสิ่งอย่างคุณน้าก็หัวเราะออกมา แววตาของเธอเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ยังกล้ามาว่าเช่าเทียน ไม่ดูสารรูปตัวเองว่าเป็นยังไง” น้ารองส่งเสียงไม่พอใจออกมา
“ครั้งนี้เช่าเทียนเตรียมตัวมาอย่างดี การที่ให้เธอแต่งงานก็เหมือนกับให้โอกาสเธอ ในเมื่อเธอไม่ต้องการ เช่าเทียนก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเธอไว้”
บรรดาป้าๆ น้าๆ ของหลีเช่าเทียนพูดเยาะเย้ยหลีชิงเยียน
“ไม่!” หลีชิงเยียนหันหน้าไปมองชายชุดดำของบ้านหลีที่พุ่งเข้ามาจากหน้าประตู สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ซูเหลยรีบมายืนข้างหลีชิงเยียน เธอดึงหลีชิงเยียนไปอยู่ข้างหลังตัวเธอ เมื่อเธอเห็นอันธพาลชุดดำพุ่งเข้ามา สีหน้าของเธอก็ไม่สู้ดีนัก
เพราะว่าครั้งนี้หลีเช่าเทียนเตรียมนักฆ่าซุ่มฆ่าเอาไว้เยอะมากจริงๆ
เฉินเป่ยหันหน้าไปมองหลีเช่าเทียนที่กำลังถือแก้วไวน์ยืนอยู่ตรงนั้น แววตาที่มองเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนช่างเย็นชาเหลือเกิน
หลีเช่าเทียนหันไปมองเฉินเป่ยแล้วพูดในใจว่า “ในเมื่อแกคือราชาหลง ฉันใช้คนจำนวนมากมาสู้ แกจะปกป้องหลีชิงเยียนยังไง ถ้าแกพลาดแค่นิดเดียว หลีชิงเยียนต้องตายในมือคนพวกนี้อย่างแน่นอน!”
หลีเช่าเทียนในชุดสูทดูดียืนอยู่ตรงนั้น มองทั้งสามคนที่กำลังโดนล้อม เขาค่อยๆ จิบไวน์ สีหน้าของเขาฉายแววความโหดร้ายออกมา หลีเช่าเทียนพูดออกมาเสียงดังว่า “ลงมือ!”
บอดี้การ์ดชุดดำต่างพากันชักมีดออกมา บรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกลง
หลีชิงเยียนหลับตาลง เธอเตรียมตัวเตรียมใจมาตายแล้ว
ความอันตรายของงานเลี้ยงสังหารครั้งนี้ มันเกินกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้เป็นอย่างมาก
“ชิงเยียน” ขณะนั้นเอง จู่ๆ เฉินเป่ยก็พูดเบาๆ ออกมา
หลีชิงเยียนลืมตาขึ้นและพบว่าเฉินเป่ยกำลังมองเธออยู่
“กลัวไหม” เฉินเป่ยมองหลีชิงเยียนแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่กลัว” หลีชิงเยียนส่ายหน้าแล้วพูดออกมาเบาๆ
“ในเมื่อพวกแกอยากเป็นนกคู่รักที่ตายไปด้วยกัน งั้นฉันจะจัดการพวกแกเอง!” แววตาของหลีเช่าเทียนที่ไปมองไปยังเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
“ลงมือ!” หลีเช่าเทียนออกคำสั่ง ความตายเริ่มขึ้นแล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างตัวของหลีเช่าเทียน เขาหันหน้าไปมอง พบว่าหลีหงที่ไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาตอนไหน และพูดห้ามออกมา
“เจ้าบ้าน” หลีเช่าเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาดูเหมือนจะไม่เข้าใจ
“พอแล้ว” หลีหงกวาดตามองเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียน ตอนที่สายตาของเขาหยุดลงที่เฉินเป่ย จู่ๆ ก็พูดออกมาว่า “พวกนายไปเถอะ”
“ไป?” ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลีเช่าเทียนนิ่งไป เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่งและมึนงงอยู่อย่างนั้น
เฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนก็งงไปเช่นกัน แต่ซูเหลยตั้งสติได้ก่อน เธอจึงรีบลากเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนเดินออกไปข้างนอก
แต่ทว่าบอดี้การ์ดชุดดำขวางทางพวกเขาเอาไว้ คนพวกนั้นมองหน้ากัน เพราะว่าพวกเขาแอบซุ่มอยู่นาน แต่เมื่อหลีเช่าเทียนออกคำสั่งก็โดนหลีหงห้ามเอาไว้ ตอนนี้พวกเขาควรจะฟังใครกันแน่
พวกเขาไม่เข้าใจ แต่เมื่อหลีหงเห็นพวกเขาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนก็ขมวดคิ้วขึ้น “พวกแกไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดหรือไง รีบหลีกทางเดี๋ยวนี้!”
เมื่อชายชุดดำพวกนั้นเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหลีเช่าเทียน จึงจำใจต้องหลีกทางให้
“นี่มัน…” คนของบ้านหลีต่างก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะกลับตาลปัตรเช่นนี้ พวกเขางงไปหมด บรรดาป้าๆ น้าๆ ของหลีเช่าเทียนสับสนไปหมด
คนที่สีหน้าเคร่งเครียดอย่างหลีเช่าเทียน มองเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนเดินไปที่ประตูโดยไม่พูดอะไร สุดท้ายเขาหันไปมองหลีหงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลีหงถึงทำเช่นนี้
เมื่อตามท่านประธานเทพธิดาออกมาข้างนอกโรงแรม ก็มีรถหรูสีดำจอดสนิทอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลหลี
หลีชิงเยียนกับซูเหลยเดินเข้าไป ขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง จู่ๆ แววตาของเฉินเป่ยก็เคร่งขรึม เขาพูดกับหลีชิงเยียนอย่างจริงจังว่า “คุณถอยออกมา!”
หลีชิงเยียนอึ้งไป ราวกับว่าเธอสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ จึงรีบถอยออกมา
“ถอยออกมาอีก” เฉินเป่ยให้หลีชิงเยียนถอยออกมาราวกว่าร้อยเมตร
เขาลอดตัวเข้าไปใต้ท้องรถเบนซ์
เมื่อเฉินเป่ยสอดตัวเข้ามาในท้องรถ เขาพบว่าไม่มีอะไหล่ของรถ ไม่นานแววตาของเฉินเป่ยก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาเห็นดวงไฟเล็กๆ สีแดงกะพริบไม่หยุด ราวกับลมหายใจแห่งความตาย!
เฉินเป่ยค่อยๆ ขยับเข้าไปหางดวงไฟสีแดง จากนั้นจึงมองอย่างละเอียด นะ..นี่มันระเบิดที่ควบคุมด้วยรีโมท!
เฉินเป่ยแสยะยิ้มออกมา ในรอยยิ้มของเขาแฝงไปด้วยเลศนัย
เฉินเป่ยนำระเบิดออกจากตัวรถอย่างชำนาญ
ห่างออกไป หลีชิงเยียนกำลังจ้องมาที่ใต้ท้องรถ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและเป็นกังวล เวลาที่ผ่านไปแต่ละวินาที ทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้อง เธอยิ่งกังวลขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเฉินเป่ยยังไม่ออกมาอีก เธอจะพุ่งเข้าไปโดยไม่ลังเล!
ขณะที่หลีชิงเยียนเป็นกังวล ร่างหนึ่งก็ลอดออกมาจากใต้ท้องรถอย่างคล่องแคล่ว
ตอนนี้ใบหน้าของเฉินเป่ยเต็มไปด้วยคราบสกปรก แต่เขาไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อยและยิ้มสดใสให้กับคนที่ยืนอยู่ไกลๆ อย่างหลีชิงเยียน
ในที่สุดจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของหลีชิงเยียนเริ่มสงบลง ดวงตาคู่สวยฉายแววสับสนที่แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่ทันได้สังเกต
“รถคันไหนเป็นของหลีเช่าเทียน” เฉินเป่ยจับคนต้อนรับในบ้านหลีเอาไว้ จากนั้นจึงถามขึ้น
คนต้อนรับตกใจมาก “ใครคือหลีเช่าเทียน”
เฉินเป่ยยื่นมือไปบีบคอชายคนนั้น “แกไม่รู้เหรอว่าหลีเช่าเทียนเป็นใคร ตอนที่หลีเช่าเทียนส่งคนมาติดระเบิดไว้ใต้ท้องรถของฉัน แกไม่รู้งั้นเหรอ”
คนต้อนรับคนนั้นใกล้จะไม่สามารถหายใจได้อีก สีหน้าของเขาซีดเผือด เขายกมือสั่นๆ ชี้ไปยังรถแม็คลาเรน ออโต้ โมทีฟว์ที่จอดอยู่ไม่ไกล
เฉินเป่ยโยนเขาออกไปไกลหลายเมตร เขาถือระเบิดเดินไปที่รถของหลีเช่าเทียน
เฉินเป่ยตีกระจกรถจนแตก จากนั้นก็เอาระเบิดใส่เข้าไปในรถ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น นายเอาอะไรโยนเข้าไปในนั้นเหรอ” หลีชิงเยียนเดินเข้ามาแล้วถามอย่างตกใจ
“ไม่มีอะไร ผมแค่เอาของขวัญที่หลีเช่าเทียนส่งให้เรา คืนเขาไปน่ะ” เฉินเป่ยยิ้มราบเรียบ เขาพาซูเหลยเข้าไปนั่งในรถ และขับรถพาประธานแสนสวยออกจากที่นี่
หลังจากนั้นไม่นาน หลีเช่าเทียนเดินออกมาจากHilton Hotelด้วยสีหน้าเย็นชา
เขาหันไปมองรถคันที่เฉินเป่ยขับออกไปแล้วแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา “ในเมื่อพวกแกไม่ให้ความร่วมมือ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกแกเอาไว้เหมือนกัน”
พูดจบ หลีเช่าเทียนก็ล้วงรีโมทออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันทั้งมืดและเย็นจนเหมือนลมหายใจแห่งความตาย
“ติ๊ด” หลีเช่าเทียนแสยะยิ้มแล้วกดรีโมท
“ตู้มมม” เสียงอันน่ากลัวดังขึ้นมา
รถแม็คลาเรน ออโต้ โมทีฟว์ที่จอดอยู่ข้างๆ ระเบิดขึ้น ไฟลุกพรึบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ตัวของหลีเช่าเทียนโดนแรงระเบิดทำให้ลอยไปไกล ราวกับว่าวที่เชือกขาดและลอยออกไปไกลราวกว่าร้อยเมตร
แรงระเบิดทำให้ตัวเขาลอยกระเด็นออกไป
ความโกลาหลเกิดขึ้นหน้าประตูตระกูลหลี คนในบ้านหลีต่างพากันหนีออกจากบ้านตระกูลหลี
หลีเช่าเทียนกระเด็นลงบนพื้น สภาพของเขายับเยิน หน้าอกของเขาโดนกระแทกจนกระอักเลือดออกมา เขามองไฟที่กำลังลุกโชนด้วยความตกตะลึง รถที่กำลังถูกเผาไหม้เป็นรถที่เขารัก!
สีหน้าของหลีเช่าเทียนซีดเผือด ตัวของเขาสั่นเทิ้ม ภายใต้ความโกรธ เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
……
รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนของหู้ไห่ ภายในรถเต็มไปด้วยความเงียบ อากาศในรถเต็มไปด้วยกลิ่นกายอันน่าหลงใหลของหลีชิงเยียน
หลีชิงเยียนนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ เธอเอนอยู่บนเบาะด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า
เมื่อคนที่นั่งข้างเบาะคนขับอย่างเฉินเป่ยเห็นเช่นนั้น จึงเปิดเพลงคลอเบาๆ
“ขอบใจ” จู่ๆ หลีชิงเยียนก็พูดเบาๆ ออกมา เสียงของเธอน่าฟังเป็นอย่างมาก แต่มันก็แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
เฉินเป่ยอึ้งนิดหน่อย จากนั้นจึงหันไปถามเธอว่า “ขอบคุณผมทำไม”
หลีชิงเยียนกะพริบตาคู่สวย “ขอบคุณนายที่เปิดเพลงให้ฉัน”
เฉินเป่ยรู้สึกผิดหวัง “ผมนึกว่าคุณจะขอบคุณเรื่องอะไรเสียอีก…”
“นายรู้ไหมว่าฉันเหนื่อยมาก” หลีชิงเยียนมองไปนอกหน้าตาด้วยแววตาเย็นชา แล้วพูดออกมาอย่างอ่อนล้า
“ตระกูลหลีและตระกูลที่มีอำนาจในเมืองเยี่ยนจิงคอยจับตาดูทุกการกระทำของฉัน” น้ำเสียงของหลีชิงเยียนแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าที่แทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน เธอต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่เธอไม่ควรแบกรับอะไรเหล่านี้ไว้เพียงคนเดียวเลยด้วยซ้ำ
ถ้าเธอเป็นคนในตระกูล ตระกูลอาจจะช่วยเธอแบ่งเบาภาระได้ไม่น้อย แต่เธอต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างกับหลีหยางเพียงสองคน มันเป็นอะไรที่กดดันมาก
เฉินเป่ยไม่ได้พูดอะไร รถยังเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางความเงียบ เขาฟังอย่างเงียบๆ ณ เวลานี้เขายอมเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังสิ่งที่เธอพูดออกมา รับฟังความรู้สึกที่อยู่ในใจของเธอมาเนิ่นนาน
“บางครั้งฉันก็คิดนะว่าการตัดสินใจของพ่อในตอนนั้นมันถูกต้องหรือไม่”
“ถ้าพ่อไม่ออกจากตระกูลหลี บางทีเรื่องทั้งหมดนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้…” จู่ๆ หลีชิงเยียนก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินเป่ย “นายว่าฉันทำผิดไหม”
เฉินเป่ยอึ้งไป จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “คุณไม่ผิด”
หลีชิงเยียนเงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันก็คิดว่าตัวเองไม่ผิด” เสียงของเธอน่าหลงใหล ราวกับเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดบนโลกนี้
“ความเด็ดเดี่ยวและความเข้มแข็งของคุณเหนือกว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้” เฉินเป่ยยกยิ้มมุมปาก
“งั้นเหรอ นี่นายกำลังพูดชมฉันหรือประชดฉันกันแน่” ดวงตาคู่สวยจ้องเขาจนทำให้เฉินเป่ยใจสั่น
“นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะคิดยังไงแล้วล่ะ” เฉินเป่ยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
“งั้นฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”
เฉินเป่ยหันไปมองเธอ ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่ก็ยังคงงดงามจนทำให้แทบจะลืมหายใจ งดงามราวกับหยกที่แกะสลักเอาไว้
“ผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งแบบคุณ ชีวิตที่เหลือของผมจะลำบากไหมนะ” เฉินเป่ยพูดอย่างเป็นกังวล
คำพูดของเฉินเป่ยกระแทกใจของหลีชิงเยียน ประธานคนสวยเบิกตาโตมองเขา
“หุบปาก!”
เฉินเป่ยหุบปากอย่างว่าง่าย
เหมือนกับว่าหลีชิงเยียนจะเพลิดเพลินกับบทเพลงภายในรถ เธอสลัดรองเท้าส้นสูงออกเบาๆ จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อพักผ่อน