สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 534
บทที่534 กำจัดบ้านตระกูลหลีให้หมด!
“อ่อ! ตระกูลหวัง?” เฉินเป่ยหัวเราะขึ้นกะทันหัน เขามองหวังอู้เหนิงอยู่ หัวเราะแบบมีเลศนัย “แกคือคนของตระกูลหวัง?”
หวังอู้เหนิงสีหน้าทระนงองอาจแบบไม่เคยมีมาก่อน เขามาจากตระกูลหวังแห่งเยี่ยนจิง เขาเป็นคนของตระกูลหวัง ดังนั้นที่เยี่ยนจิงยังมีคนกล้าแตะต้องเขาไม่มากเท่าไรนัก
“กลัวแล้วเหรอ? ตอนแรกแกไม่รู้ว่าตัวเองผิดใจใคร แกจะต้องเสียใจแน่นอน!” หวังอู้เหนิงหัวเราะคลุ้มคลั่งทั้งตัว ที่ปากคือเลือดสดทั้งหมด ทว่ากลับส่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่งออกมา บนตัวเขามีสายเลือดของตระกูลหวัง บนพื้นที่แห่งนี้ เขาจึงเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้ตามใจชอบ
เฉินเป่ยค่อยๆ จุดบุหรี่มวนหนึ่ง เงียบเฉยไม่พูดจา “งั้นเหรอ? แล้วถ้าเทียบกับหลีเช่าเทียนล่ะ?”
ตอนได้ยินชื่อของหลีเช่าเทียน หวังอู้เหนิงร่างกายสั่นเล็กน้อย ในแววตาเผยความเคารพออกมา เขาเช็ดคราบเลือดที่มุมปากทิ้ง ยิ้มดุร้ายตอบ “ตระกูลหวังของเยี่ยนจิงเป็นการมีอยู่ที่เดิมทีแกไม่มีทางหาเรื่องได้ ถ้าแกปล่อยฉันไปตอนนี้ ฉันยังจะเหลือศพแกไว้ในสภาพสมบูรณ์ได้…ไม่อย่างนั้นไม่นานจะทำให้ตระกูลหวังแกได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าผัวเมียหนีตายหัวซุกหัวซุน!”
หวังอู้เหนิงกำลังหัวเราะเต็มที่ เพราะก้าวร้าวโอหังถึงหัวเราะใหญ่โต เขารู้…ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ไม่กล้าแตะต้องเขาเด็ดขาด เพราะเขาเป็นคนของตระกูลหวัง
เฉินเป่ยค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบลงไปทีหนึ่งอย่างรุนแรง
“แก๊ก!” เสียงกระดูกแตกดังกังวาน แขนอีกข้างหนึ่งของหวังอู้เหนิงโดนเหยียบหัก
“อ๊าก——” หวังอู้เหนิงสีหน้าอัปลักษณ์เนื่องจากความเจ็บปวด ดวงตาแดงก่ำเบิกโต ในฝันเขายังคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้จะกล้าแตะต้องเขาจริงๆ หรือ? ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงกล้าจัดการเขา?
ผู้คนที่มุงดูในเหตุการณ์แม่งต่างตาค้างกันหมด เชี้ย! ผู้ชายคนนี้…หลังจากเขาได้ยินสถานะของหวังอู้เหนิง…ไม่เพียงไม่ได้ถอยหลัง แต่กลับกลายเป็นเหยียบด้วยความเหี้ยมโหดกว่าก่อนหน้ามาอีกทีหนึ่ง? เขา…หรือว่าเขาไม่เกรงกลัวตระกูลหวัง? เขาเหยียบมาครั้งนี้ เหมือนมีความแค้นกับตระกูลหวัง
“เหยดแม่ง! ฉันสาบานเลย! ฉันตระกูลหวังจะไม่ปล่อยแกไปแน่!” หวังอู้เหนิงตะคอกอย่างโมโหดุร้าย สั่นเทาทั้งตัวเพราะความเจ็บปวด “วันนี้หาเรื่องฉันหวังอู้เหนิง…แกจะต้องโดนสับจนเละ ไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดกาล!”
เฉินเป่ยมองเขาเฉยๆ “ไม่ใช่แค่ตระกูลหวังเล็กๆ เหรอ? แม้แต่แขนของหลีเช่าเทียนฉันยังกล้าตัด ยังกลัวแกตระกูลหวังกระจอกอีกเหรอ…” พูดจบ เขาก็เหยียบลงมาอย่างแรงอีกที
“กร๊อบ!” ขาซ้ายข้างหนึ่งของหวังอู้เหนิงเสียงแตกอย่างรุนแรง กระดูกหัวโดยตรง
ทั้งตัวหวังอู้เหนิงนอนอยู่บนพื้นสั่นสะเทือนไปหมด เจ็บจนทั้งตัวเหลือเพียงอาการกระตุกและดิ้นรน
บรรยากาศเงียบงัน ทุกคนในเหตุการณ์ตื่นตระหนกกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มุงดูพยายามปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย แขนของหลีเช่าเทียน…เป็นเขาทำพิการ? นี่เป็นไปได้อย่างไร!”
“ไม่ได้ฟังผิด…ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน…” ผู้อาวุโสอีกคนหน้าตาสั่นเต็มที่เช่นกัน มีความสั่นสะเทือนที่ไม่อยากเชื่อ “นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงว่าหลายสิบปีผ่านไป…ปัจจุบันนี้คนรุ่นหลังยุคนี้จะกล้าหาญขนาดนี้กันแล้ว…แม้แต่คนตระกูลหวังยังกล้าแตะต้อง…”
เหล่านักเรียนมัธยมต้นที่มุ่งดูกลุ่มนั้นแข็งทื่อเป็นหิน ถลึงตาจ้องฉากนี้ด้วยความงุนงง…ฉากนี้ช่างทารุณเหี้ยมโหดเสียเหลือเกิน…
หวังอู้เหนิงในวันปกติที่ก่อกรรมทำเข็ญ วันนี้กลับกลายเป็นว่าตอนที่ก่อกรรมทำชั่วดันล้มลงในน้ำมือเฉินเป่ย นี่สามารถพูดได้ว่ากรรมตามสนอง…
ตอนที่ทุกคนสั่นสะท้านกันอยู่ ทันใดนั้นครูผู้ชายที่สวมแว่นตากรอบทองคนหนึ่งรีบร้อนพุ่งเข้ามา “นายทำอะไร? ทำไมนายต้องต่อยหวังอู้เหนิง? นี่นายต่อยตีเยาวชนอย่างกำเริบเสิบสานอยู่นะ!” ครูผู้ชายที่สวมแว่นตาคนนั้นพูดอย่างโมโหเดือดดาล มีความเข้มงวดน่าเคารพแบบคุณครู
เฉินเป่ยชายตามองเฉยๆ แวบหนึ่ง “แกเป็นใคร?”
“ฉันคือครูประจำชั้นของหวังอู้เหนิง!” ครูผู้ชายคนนั้นชี้ไปยังเฉินเป่ย หน้าตาโกรธเคืองเต็มที่ “ตอนนี้นายต่อยตีเยาวชน ทำให้หวังอู้เหนิงพิการ นี่นายทำผิดกฎหมายนะ! ฉันจะแจ้งตำรวจตอนนี้เลย!”
ครูผู้ชายคนนั้นหยิบมือถือขึ้นมาด้วยความโมโหต้องการแจ้งความ
เฉินเป่ยไม่พูดมาก ยกมือขึ้นตบเข้าไปรุนแรงโดยตรง
“ป้าบ——”ครูผู้ชายคนนั้นถูกตบจนโซเซ มือถือหล่นร่วงลงพื้นอย่างจัง แว่นตากรอบทองบนหน้าถูกตีร่วงไปแล้ว
“แก…แกกล้าตบฉัน? แกกล้าตบครูโรงเรียนเหรอ?” ครูผู้ชายโกรธจนสั่นเทาทั้งตัว ชี้หน้าตวาดใส่เฉินเป่ย
เฉินเป่ยจ้องเขาเย็นชา “เมื่อกี้ตอนเจ้าผมทองเอาคนมาหาเรื่อง ถือมีดแทงคนทำไมแกไม่ออกมาบ้างล่ะ? นี่คือสิ่งที่คนเป็นครูควรทำงั้นเหรอ?”
ครูผู้ชายคนนั้นตัวสั่น พูดโต้แย้ง “พูดเหลวไหล! แกมันไร้สาระ!”
“พูดไร้สาระ?” เฉินเป่ยหัวเราะเนิบๆ “ในฐานะครูคนหนึ่ง สูทบนตัวของแก แว่นตา พอแต่งตัวรวมกันขึ้นมาราคาเป็นล้าน มีเงินมากเชียวนะ ปกติรับสินบนเจ้าผมทองไม่น้อยเลยล่ะมั้ง?”
เฉินเป่ยเก็บแว่นตากรอบทองอันนั้นขึ้นมาจากพื้น มองครูผู้ชายแบบมีเลศนัย
ครูผู้ชายคนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว…ตกใจจนพูดอะไรไม่ออกถึงที่สุด
ฝูงชนมุงดูในที่เกิดเหตุกลุ่มหนึ่งจ้องฉากนี้อย่างตกตะลึง…ใครๆ ต่างไม่ได้เอ่ยปากพูดจากันเลย…วันนี้หนุ่มผมทองเป็นเช่นนี้…นี่คือกรรมตามสนองตนเอง
“แก..แก…ฉันจะแจ้งตำรวจ!” ครูผู้ชายมองหนุ่มผมทองกัดฟันไว้อยากหยิบมือถือที่พื้นขึ้น
ในเวลานี้เอง กลางอากาศมีแสงดำเส้นหนึ่งแวบผ่าน หน้าจอมือถือบนพื้นเครื่องนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็โดนบดแตก ทำเอาครูผู้ชายตกใจจนถอยหลังหลายก้าว
เฉินเป่ยกวาดสายตามองอันธพาลที่ร้องโอดโอยตรงพื้นกลุ่มนั้นแวบหนึ่ง โอบหวาหย่าหรุ่ยไว้เดินจากไปอย่างเฉยชา…
ฝูงชนกลุ่มหนึ่งในเหตุการณ์มองภาพด้านหลังของเฉินเป่ยที่ออกไปด้วยความตื่นตกใจ…ในใจแต่ละคนซับซ้อนกันหมด…ตระกูลหวัง วันนี้ขายขี้หน้าโดยแท้…
หวาหย่าหรุ่ยแอบอิงในอ้อมอกเฉินเป่ย เหมือนกับแมวน้อยที่อ่อนโยนเชื่อฟังตัวหนึ่ง
“ลุง ขอบคุณนะ” เธอพูดขึ้นเสียงเบา เสียงละมุนมากสดใสมาก ทำให้คนฟังติดใจ
เฉินเป่ยหัวเราะเล็กน้อย ไม่ตอบอะไร
“เป็นฉันที่เอาแต่ใจและอารมณ์ร้อนเกินไป…” หวาหย่าหรุ่ยนำศีรษะน้อยไปซบบนไหล่ของเฉินเป่ยเบาๆ “นึกไม่ถึงว่าคุณจะเป็นฮีโร่ไร้คนเทียบเท่าของฉัน…”
“ยัยเด็กโง่ เธอคิดว่านี่คือA Chinese Odysseyรึไง?” เฉินเป่ยหมดคำจะพูดอยู่บ้าง
กลิ่นที่เย้ายวนของหวาหย่าหรุ่ยนั้นยั่วยวนผู้คนมาก เฉินเป่ยเพียงรู้สึกอดกลั้นไม่ไหวอยู่บ้าง เขาผลักหวาหย่าหรุ่ยออกจากอ้อมกอดของตนเองเบาๆ
“พอแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
หวาหย่าหรุ่ยกลับไม่ยินยอม มุดเข้าไปในอ้อมกอดของเฉินเป่ยอีกครั้ง กอดเขาไว้แน่น “ไม่เอา ฉันยังกินไม่อิ่มเลย ลุงพาฉันไปกินอะไรหน่อยอีกแล้วกัน~ นี่ลุงยังไม่ได้พาฉันเที่ยว…”
เฉินเป่ยจำใจอย่างมาก เวลานี้สองคนกำลังอยู่บนถนนล่ะ…ผู้คนที่เดินผ่านไปโดยรอบบางทีก็ใช้สายตาที่แตกต่างไปมองสองคนนี้แวบหนึ่ง…คนหนึ่งเป็นลุงที่ผ่านชีวิตมาโชกโชน…คนหนึ่งเป็นสาวน้อยที่สวยหวาน…สองคนนี้มาเข้ามาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?
หวาหย่าหรุ่ยดึงเฉินเป่ยไว้ตลอดทางจนเดินมาถึงที่ร้านอาหารขนาดเล็กบริเวณนั้น สั่งอาหารเฉพาะของเยี่ยนจิงส่วนหนึ่ง เด็กสาวมองเห็นอาหารดูดีมากขนาดนี้ บนใบหน้าคลี่ยิ้มหวานเยิ้มขึ้นมา น่ารักประทับใจ เฉินเป่ยอดไม่ไหวมองจนค้างอยู่บ้าง
หวาหย่าหรุ่ยถือโอกาสช่วงที่เฉินเป่ยไม่ระวัง ขยับใกล้ที่ปากเขาเบาๆ อย่างกะทันหัน จุ๊บสักหน่อย~
เฉินเป่ยงงงัน ปิดริมฝีปากของตนเองไว้ “ยัยเด็กน้อย เธอทำอะไร?”
หวาหย่าหรุ่ยหัวเราะหวานชื่น ในรอยยิ้มมีความซุกซนนิดๆ เธอขยับเข้าไปที่ข้างหูเฉินเป่ยเบาๆ พูดด้วยเสียงกระซิบ “ลุง…ฉันอยากจะ~”
พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของหวาหย่าหรุ่ย หัวใจเฉินเป่ยเต้นแรงฉับพลัน อยากจะ? เธออยากจะทำอะไร?
“ยัยคนนี้อย่าเหลวไหลนะ…เวลาก็พอสมควรแล้ว พวกเขากลับกันเถอะ”
หวาหย่าหรุ่ยกอดเฉินเป่ยไว้แน่น ไม่สนใจสายตาประหลาดของฝูงชนโดยรอบ ร่างกายที่เซ็กซี่ของเธอนั้นแนบที่หน้าอกเฉินเป่ยแน่น…ยัยเด็กคนนี้ช่างหอมเหลือเกิน ทำให้คนวู่วามอยากกินเธอจนอดไม่ไหว
แต่ว่าเฉินเป่ยต้องควบคุมสุดกำลัง นี่ไม่เพียงแค่เด็กสาวที่อายุยี่สิบคนหนึ่ง ระหว่างสองคนห่างกันถึงเก้าปีเต็มๆ เชียวล่ะ ตอนที่เฉินเป่ยเข้าประถมสาม ยัยเด็กคนนี้พึ่งคลอดออกมา อายุที่ห่างกันมากมายนี้ ทำให้เฉินเป่ยไม่กล้าลงมือ นี่คือการประณามของศีลธรรม
“ลุง ฉันอยากจะ~” หวาหย่าหรุ่ยใช้เสียงที่เบาบางมากพูดขึ้น ดวงตาเลือนรางอยู่บ้าง…นี่เป็นครั้งแรกที่แม่หนูน้อยได้สัมผัสรสชาติศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ดังนั้นจึงติดใจอยู่บ้างแล้ว…สามารถพูดว่านี่เป็นจูบแรกของเธอ…
เฉินเป่ยจำใจมาก “อย่าเหลวไหล ยัย…” เฉินเป่ยยังไม่ทันพูดจบ หวาหย่าหรุ่ยก็เขย่งปลายเท้าขึ้นโดยตรง ขยับขึ้นมาเอง แวบเดียวก็อุดปากของเฉินเป่ยไว้แล้ว
ครืน! สมองระเบิดแตก ชั่วพริบตานี้เฉินเป่ยรู้สึกเพียงทั้งตัวมึนงง ชั่วขณะหนึ่งเลือดยึดครองสมองของเขาแล้ว
เขาโอบเอวเรียวของเด็กสาวไว้ ดึงเธอเข้าอ้อมอกอย่างแรง จู่โจมเข้าอย่างเผด็จการ
บนถนนใหญ่ที่มีคนผ่านไปผ่านมาแห่งนี้ เฉินเป่ยโอบสาวน้อยไว้แน่น ทั้งสองโอบกอดกันและกันแบบไม่สามารถบังคับใจตนเองได้
ในที่สุดเฉินเป่ยก็ควบคุมไม่ไหว สาวน้อยคนนี้ช่างหวานฉ่ำเหลือเกิน หวานจนทำให้คนไม่สามารถถอดตัวได้ เดิมทีทนแยกออกไม่ได้
เฉินเป่ยผลักหวาหย่าหรุ่ยไปในซอยเล็กที่ข้างถนนใหญ่ ถือโอกาสที่รอบด้านไม่มีคน จู่โจมแบบเผด็จการ สัมผัสรสชาติหวานฉ่ำน่าหลงใหลนั้นของเธอ
หวาหย่าหรุ่ยรู้สึกเพียงว่าร่างกายใกล้อ่อนแรง…เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่ไม่มีประสบการณ์คนหนึ่ง…จะสู้มือเก๋าแบบเฉินเป่ยคนนี้ได้อย่างไร เธอหลับตาแน่น ดวงตาที่แคบยาวอ่อนล้านิดหน่อย สั่นเล็กน้อย…
เฉินเป่ยออกแรงรับรู้ถึงความหมายของเธอ…ทั้งตัวเฉินเป่ยใกล้ลุ่มหลงไปหมดแล้ว สาวน้อยคนนี้คือน้ำผึ้งชัดๆ ยิ่งกินยิ่งหวาน