สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 585
บทที่585 สะกดรอยตาม
“ใช่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องแก๊งยามาโมโตะนั้น ฉันว่า…ถ้าไม่อย่างนั้นตอนเย็นเจอหน้าพวกเขาหน่อยไหม? พูดให้ชัดเจนต่อหน้ากันเลยจะดีกว่า” หลีชิงเยียนพูดด้วยเสียงน่าดึงดูด
เฉินเป่ยค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา “ไม่ต้องหรอก แค่พวกแก๊งกระจอกเอง ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก…”
ดวงตาหลีชิงเยียนตกตะลึงและสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ทำไม…เธอถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในพอสมควร? เพียงแต่ว่า…ในเวลานี้เธอสัมผัสไม่ได้ว่ามีปัญหาตรงไหน? อาจจะเป็นตนเองที่คิดมากไปล่ะมั้ง~
หลีชิงเยียนพยักหน้าเบาๆ จากนั้นใส่รองเท้าส้นสูงเดินออกไปเลย
เฉินเป่ยนั่งอยู่ในห้องทำงาน ดวงตาแข็งตัวขึ้นมานิดหน่อย เรื่องแบบนี้ดูน่าปวดเศียรเวียนเกล้าพอสมควร
แก๊งยามาโมโตะไม่ใช่พวกว่านอนสอนง่ายที่จะหาเรื่องได้…
ตอนเย็นหลังเลิกงาน เฉินเป่ยเตรียมรถไมบัคไว้เรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว ท่านประธานเทพธิดาเดินส่ายสะโพกมา มุดเข้ามาในห้องโดยสารด้านหลังอย่างสง่างาม
ไม่นานเฉินเป่ยก็สตาร์ทรถ ค่อยๆ ขับรถออกไป…
หลังจากที่รถไมบัคเพิ่งขับออกไปได้ไม่นาน…รถยนต์สีขาวคันหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักก็ค่อยๆ สตาร์ทเครื่องยนต์ ตามติดด้านท้ายของรถไมบัคไปตลอดทาง…
รถไมบัคขับแล่นอยู่บนถนนมาตลอดทาง ในรถเปิดดนตรีที่ไพเราะเบาๆ เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างนิ่งสงบมาก
หลีชิงเยียนนั่งอยู่เบาะด้านหลัง ไม่ได้ส่งเสียงแต่อย่างใด กำลังหลับตาพักผ่อน
เฉินเป่ยขับรถไปอย่างช้าๆ มือข้างหนึ่งของเขาเท้าคางอิงอยู่บนขอบหน้าต่างรถ กวาดมองกระจกหลังด้วยสายตาเรียบนิ่งเฉยชา…ที่มุมเล็กน้อยตรงหนึ่งของกระจกมองหลัง…มีรถบิวอิคก์สีขาวที่ไม่สะดุดตาคันหนึ่งตามมา…ต้องยอมรับว่าฝีมือการสะกดรอยตามของรถยนต์คันนี้ยอดเยี่ยมมาก หลบจุดการมองเห็นสำคัญมาได้ตลอด หลบอยู่ในจุดบอดของการมองเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ…ทว่ากลับยังคงหนีไม่พ้นดวงตาของเฉินเป่ยได้
ไม่นานรถไมบัคกลับมาถึงที่ตระกูลหลีแล้ว รถยนต์จอดอยู่ที่หน้าประตู
ส่วนรถบิวอิคก์สีขาวคันนั้นก็จอดอยู่ตรงที่ไม่ไกลจากคฤหาสน์อย่างเงียบๆ
ในรถบิวอิคก์ เย่ชวงที่อยู่ในชุดลำลองกำลังนั่งอยู่ภายในรถ บนใบหน้างดงามเผยความดื้อดึง ดวงตาจ้องรถไมบัคสีดำคันนั้นที่อยู่ระยะไกลไม่ขยับ
ไม่นานรถไมบัคค่อยๆ ขับออกไป…เย่ชวงสตาร์ทรถบิวอิคก์ ตามติดอยู่ในระยะไกล…เธอคือตำรวจคดีอาชญากรรม เข้าใจเทคนิคการสะกดรอยตามที่เป็นมืออาชีพที่สุด ฝีมือการสะกดรอยตามของเธอสามารถทำให้ผู้คนไม่มีทางสังเกตได้โดยสิ้นเชิง…และเวลานี้ เธอกำลังใช้ฝีมือการสะกดรอยตามขั้นสูง ตามติดเฉินเป่ยไม่ห่าง…ใบหน้างดงามของเธอดูประหม่าเคร่งขรึมอยู่บ้าง เพราะเฉินเป่ยเป็นผู้ต้องสงสัยที่น่ากลัวและซับซ้อนขั้นสุดคนหนึ่ง…เขาครอบครองไหวพริบเกินกว่าคนทั่วไป…นี่ทำให้เย่ชวงจำเป็นต้องตื่นตัวระวังเพิ่มขึ้น ตั้งสติจดจ่อให้มาก
ระยะของรถบิวอิคก์อยู่ห่างจากรถไมบัคสีดำหนึ่งพันเมตรเต็มๆ…เย่ชวงดึงระยะห่างที่ปลอดภัยเอาไว้…ป้องกันไว้เผื่อถูกเฉินเป่ยพบเข้า…จึงขับตามมาขนาดนี้ตลอดทางเกือบสิบนาทีได้…
ทันใดนั้นรถไมบัคด้านหน้าหายลับไป
ใบหน้าเย่ชวงแข็งทื่อ ตอบสนองไม่ทันโดยสิ้นเชิง? หายไปได้อย่างไร? เมื่อสักครู่นี้เธอจ้องรถไมบัคมาโดยตลอด…เพียงช่วงที่กะพริบตา…จะหายไปไม่เจอแล้วได้อย่างไรกัน?
ใบหน้าเย่ชวงดูเคร่งขรึม ใต้เท้าเหยียบคันเร่งลงลึก รถบิวอิคก์สีขาวแล่นด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น ขับพุ่งไปยังถนนด้านหน้าโดยตรง
รถบิวอิคก์แล่นฉิวตลอดทาง ชั่วพริบตาเดียวก็แซงตำแหน่งที่เมื่อสักครู่นี้รถไมบัคหายไปแล้ว…เย่ชวงนั่งอยู่ในรถ ดวงตาขึงขังประหม่า ค้นหาสำรวจอย่างละเอียดอยู่รอบด้าน…หายไปได้อย่างไร? นี่เกินกว่าระดับการรับรู้ของเธอโดยสิ้นเชิง
ในระหว่างที่เย่ชวงใบหน้าเคร่งขรึมสับสน เธอกวาดสายตาผ่านกระจกมองหลังเบาๆ แวบหนึ่ง
ตึง! หัวใจของเย่ชวงเต้นฉับไว
เห็นเพียงหัวของรถไมบัคสีดำคันนั้นกำลังจอดอยู่ด้านท้ายรถของเธอจังๆ จ้องเธออยู่ราวกับปีศาจร้าย
รถไมบัคกะพริบไฟรถมายังเธอสักหน่อย ตามมาด้วย “เอี๊ยด——!”เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนแสบแก้วหูทีหนึ่ง รถไมบัคเลี้ยวรถกลับอย่างว่องไว แล่นออกไปทางด้านหลัง
ใบหน้าเย่ชวงซีดเซียว ดูแย่อยู่บ้าง นี่คือการยั่วยุของฝ่ายตรงข้าม ยั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง
เธอกัดฟันเบาๆ เหยียบคันเร่งทันทีด้วยความดื้อรั้นไร้ที่เปรียบ รถบิวอิคก์ก็กลับรถเช่นกัน จากนั้นตามรถไมบัคด้านหน้าคันนั้นเข้าไปติดๆ
ในเมื่อโดนพบเข้าแล้ว อย่างนั้นจึงต้องตามไปให้ถึงที่สุด ในเมื่อแอบสะกดรอยตามไม่ได้ เธอก็จะสะกดรอยตามไปแบบเปิดเผย เธอจะต้องหาเบาะแสจากที่ตัวเฉินเป่ยให้ได้แน่นอน
ในปากเฉินเป่ยคาบบุหรี่ไว้ ขับรถไมบัคด้วยความรวดเร็ว มองภาพเงารถสีขาวในกระจกมองหลังที่นับวันยิ่งเล็กลงและห่างไกลแบบมีเลศนัย…อดหัวเราะนิดหน่อยไม่ได้…เพื่อนเก่าคนนี้ นอกจากสติปัญญาค่อนข้างเชื่องช้า ยังน่ารักอยู่มาก ดื้อรั้นไม่ยอมศิโรราบ ทว่ากลับมีกิริยาท่าทางแบบผู้หญิงแกร่งอยู่บ้าง
แต่เฉินเป่ยในเวลานี้ไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนเธอ คืนนี้แก๊งยามาโมโตะนัดเจอหลีชิงเยียน…เวลานี้เฉินเป่ยคิดว่าจะเป็นตัวแทนหลีชิงเยียน รีบไปเจอกับแก๊งยามาโมโตะ บางทีคืนนี้อาจจะเกิดการนองเลือด…ดังนั้นเฉินเป่ยไม่สามารถให้เธอตามมาได้…
รถไมบัคแล่นด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น ชั่วขณะนั้นพลังเครื่องยนต์ที่น่าเกรงขามปลดปล่อยออกมา สะบัดทิ้งห่างรถบิวอิคก์ด้านหลังคันนั้นจนไม่เห็นเงา
ในรถบิวอิคก์ ใบหน้าของเย่ชวงขึงขังดื้อดึง จ้องรถไมบัคที่หายลับไปจากปลายทางนั้นแบบดวงตาไม่กะพริบ…เธอกุมพวงมาลัยไว้แน่น กัดริมฝีปากแดงไว้แน่นเช่นกัน นั่นคือความไม่พอใจ…ตนเองตามเฉินเป่ยมาทั้งวันแล้ว ตั้งแต่เข้างานจนเลิกงาน…ลงมือไปสำรวจข้อมูลที่บริษัทของเขาด้วยตนเองมาตลอด…แต่เวลานี้กลับโดนสะบัดทิ้งแบบไม่เหลือแม้แต่เงา? ทำให้รู้สึกไม่พอใจมากจริงๆ…
ทันใดนั้น สุนัขจรจัดตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้าออกมาจากข้างถนนแบบกะทันหัน ตอนที่มองเห็นรถยนต์สีขาวคันนี้ขับมา…สุนัขจรจัดอึ้งค้างแล้ว
เย่ชวงที่อยู่ในรถใบหน้าประหม่าซีดเผือด เธอรีบหมุนพวงมาลัย เหยียบเบรกทันที
“เอี๊ยด——!” ชั่วขณะนั้นรถบิวอิคก์สูญเสียการควบคุม เคลื่อนขวางออกไปโดยตรง
“ปัง!” เกิดการชนกระแทกอย่างรุนแรงทีหนึ่ง รถบิวอิคก์สีขาวชนเข้ากับม้านั่งหินที่ข้างทาง
รถยนต์หลบสุนัขจรจัดได้แล้ว…แต่เพราะเหตุนี้กลับทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
ทั้งหัวรถบิวอิคก์ยุบลงในชั่วขณะหนึ่ง ทั้งตัวรถยนต์โดนชนจนบิดเบี้ยวผิดรูป ถุงลมนิรภัยกางออก เย่ชวงติดอยู่ด้านในรถ ผมยาวยุ่งเหยิง…ใบหน้างดงามซีดเซียว
เธอติดอยู่ในตัวรถที่ผิดรูปบิดเบี้ยวอย่างแน่น พยายามใช้แรงหมายจะขยับร่างกาย…แต่ร่างกายกลับติดแหง็กโดยสมบูรณ์แบบ เดิมทีไม่มีทางขยับได้สักนิด…โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนร่างกายเหมือนมีความเจ็บนิดๆ ลอยมา…เธอเหมือนว่าได้รับบาดเจ็บแล้ว..
เย่ชวงในวินาทีนี้ใบหน้าซีดขาว เธอออกแรงผลักประตูรถ ทว่าแม้แต่ประตูรถยังติดแน่นเช่นกัน…ออกไปไม่ได้ทั้งนั้น
สุนัขจรจัดตัวนั้นเซ่อซ่าไปหลายวินาที ทันใดนั้นวิ่งมาที่ด้านหน้ารถ เห่า “โฮ่งๆ” เหมือนอยากจะช่วยเย่ชวงเปิดประตูรถออก…มันยื่นกรงเล็บออกมา พยายามข่วนประตูรถ…แต่ว่านี่ก็ไม่มีประโยชน์…
และในเวลานี้ จากระยะที่ไกลออกไป…รถไมบัคสีดำคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามา เหยียบเบรกเบาๆ แล้วจอดลงมา
เฉินเป่ยมุดออกมาจากในรถไมบัค เขาถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ…เป็นผู้หญิงที่ยุ่งยากจริงๆ เลย~”
เย่ชวงติดอยู่ด้านในรถ กัดริมฝีปากไว้แน่น ดวงตาซับซ้อนอย่างยิ่ง มีอารมณ์ที่ไม่พอใจนิดๆ
สุนัขจรจัดตัวนั้นกระโจนเข้าไปที่ข้างเท้าของเฉินเป่ย ดึงขากางเกงของเฉินเป่ย จากนั้นชี้ไปยังเย่ชวง…เหมือนกำลังอ้อนวอน…อ้อนวอนเฉินเป่ยให้ช่วยเธอหน่อย
“รู้แล้ว” เฉินเป่ยก้มหน้ามองสุนัขจรจัดแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ เดินไปหน้ารถบิวอิคก์
เวลานี้ รถบิวอิคก์บิดงอโดยสมบูรณ์แบบ ทำให้ประตูรถติดแน่นไปหมด หลังจากที่ตัวรถผิดรูป เย่ชวงเหมือนนกกระจอกในกรงตัวหนึ่ง ติดค้างแน่น เดิมทีไม่มีทางขยับเขยื้อน
เฉินเป่ยยื่นมือออกไป คว้าประตูรถเอาไว้ ใช้แรงดึงทีหนึ่ง…“กึก” พลังมหาศาลดึงประตูรถทั้งบานลงมาได้โดยตรง
เฉินสะบัดด้วยมือเดียว ประตูรถบานนั้นก็ถูกสะบัดไปที่พื้น
ประตูรถโดนดึงออกแล้ว…แต่เย่ชวงกลับยังคงติดค้างอยู่แน่น ขยับไม่ได้…
เฉินเป่ยมองลักษณะที่กระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงแบบนี้ของเธอ จึงพูดหยอกล้อนิดๆ “ตอนนี้เธอรู้รสชาติของการโดนขังไว้ในกรงแล้วสินะ…ต่อไปอย่าจับฉันไว้ทั้งวันไม่ปล่อยอีก…”
ใบหน้าเย่ชวงซีดเซียว ทันใดนั้นเธอพูดจาแบบดื้อรั้นหนาวเย็น “นายไสหัวไปซะ…ฉันไม่ต้องการให้นายช่วย!”
เฉินเป่ยได้ยินก็อดตกตะลึงอยู่บ้างไม่ได้…ผู้หญิงคนนี้…ยังดื้อรั้นเข้ากระดูกจริงๆ เลย…นี่มันเวลาไหนกันแล้ว? ยังอวดดีอยู่อีก? เป็นประเภทเดียวกับเทพธิดาแม่เสือที่บ้านคนนั้นจริงๆ
เฉินเป่ยไม่ได้สนใจเธอ ตรวจดูสภาพสถานการณ์สักหน่อย รถคันนี้ผิดรูปหนักเอาการอยู่…ตัวรถบิดงอรุนแรง ทำให้ผู้หญิงคนนี้ติดค้างอยู่…ช่วยไม่ง่ายจริงๆ ด้วย เวลาแบบนี้ทำได้เพียงขอเลื่อยไฟฟ้าของทีมดับเพลิงมา…ได้แต่ใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดประตูรถออก จากนั้นช่วยหญิงสาวออกมา แต่…ถ้าเกิดใช้เลื่อยไฟฟ้า อาจจะทำให้เย่ชวงเจ็บได้…
“เฮ้อ…” เฉินเป่ยถอนหายใจทีหนึ่ง เขาไม่อยากแสดงฝีมือของตนเองออกมาต่อหน้าผู้หญิงคนนี้จริงๆ…แต่ช่วงเวลาแบบนี้…เขากลับเลี่ยงไม่ได้
เฉินเป่ยพันแขนเสื้อขึ้น เผยแขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลนั้นออกมา เขาเอามือวางลงที่ส่วนบนของประตูรถโดยตรง…ตามมาด้วยแขนทั้งคู่มีเส้นเลือดนูนขึ้นฉับพลัน กล้ามเนื้อระเบิดแตก
“ปึก——!” เสียงโลหะโดนดึงอย่างรุนแรง
เห็นเพียงเฉินเป่ยดุจยอดมนุษย์ คาดไม่ถึงว่าจะดึงตัวรถที่เป็นเหล็กแข็งแรงหนาทึบนั้นออกด้วยมือเปล่า
ตัวรถแผ่นเหล็กที่แข็งหนาของรถบิวอิคก์ที่อยู่ตรงหน้าเฉินเป่ยนั้น…ราวกับแผ่นกระดาษ…ถูกดึงออกทันที
ดึงแผ่นเหล็กด้วยมือเปล่า
คนที่อยู่ล้อมรอบข้างถนนเหล่านั้นแม่งพากันถลึงดวงตาโต เชี้ย!!
นี่แม่งช่างสั่นประสาทเสียเหลือเกิน ใช้มือเปล่าดึงแผ่นเหล็กของตัวรถยนต์ออก ฉากนี้เสมือนเป็นยอดมนุษย์ที่อยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่างนั้นเลย
ใบหน้าเย่ชวงซีดเผือด…ดวงตาค้างคาอยู่บ้าง…มองฉากนี้ด้วยความมึนงง
เฉินเป่ยเผด็จการไร้ที่เปรียบ ดึงแผ่นเหล็กของรถบิวอิคก์ออกไปโดยตรง…จากนั้นโค้งตัวลง ยื่นมือไปที่ขาทั้งสองและบนเอวของเย่ชวงเบาๆ อุ้มทั้งตัวเธอขึ้นมาในแนวขวาง ก่อนจะอุ้มออกมาจากตัวรถ
ที่เกิดเหตุมีเสียงปรบมือดังขึ้นแล้ว บรรดาผู้ชมต่างปรบมือให้กับเฉินเป่ยวีรบุรุษผู้ที่ใช้มือเปล่าดึงแผ่นเหล็กประตูรถออกคนนี้
เย่ชวงถูกอุ้มเอาไว้ ใบหน้างดงามซีดเซียวสับสน ตั้งนานถึงตอบสนองเข้ามา “นายปล่อยฉันลงนะ…”
เฉินเป่ยกลับไม่ได้สนใจเธอ ดึงประตูรถไมบัคออกทันที วางเธอเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับแล้ว
“เธอได้รับบาดเจ็บ” เฉินเป่ยพูดเสียงละมุน
“ไม่ต้องการความห่วงใยของนาย!” เย่ชวงพูดๆ อยู่ก็อยากจะลงจากรถ แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออก ร่างกายก็อ่อนแรง กระโจนเข้าในอ้อมอกเฉินเป่ยโดยตรง
ใบหน้างดงามของเธอขมวดนิดหน่อย หัวเข่าเหมือนจะบาดเจ็บแล้ว…เจ็บมากๆ เดิมทีเดินเหินไม่ไหว
เฉินเป่ยจำใจ ประคองเธอกลับไปที่นั่งข้างคนขับด้วยความระมัดระวัง “อย่าอวดดีเลย ฉันจะส่งเธอไปโรงพยาบาลแล้วกัน”
ในเวลานี้ สุนัขจรจัดตัวนั้นวิ่งกระดุกกระดิกมาด้านหน้าของเย่ชวง กะพริบดวงตามองเย่ชวงตรงๆ เหมือนกำลังขอบคุณอยู่…และเหมือนกำลังบอกลาด้วย
เย่ชวงกลั้นแผลที่เจ็บบนร่างกายไว้ มองสุนัขจรจัดตัวนั้นไป…ในใจของเธอกลั้นไม่ไหวอยู่บ้าง…
เฉินเป่ยเห็นสภาพแบบนี้เข้าจึงไม่พูดอะไรมาก เตะสุนัขจรจัดเบาๆ สักหน่อย “ยืนเซ่ออยู่ทำอะไร? รีบขึ้นรถสิ แกมีเจ้าของใหม่แล้ว”
สุนัขจรจัดตัวนั้นตะลึงเล็กน้อย ยกหัวเบลอๆ มองที่เฉินเป่ย…จากนั้นมันหันหน้ามองเย่ชวงแวบหนึ่งอีกครั้ง
เย่ชวงกัดฟันยิ้ม ในดวงตาเผยความเห็นใจนิดๆ เธอพยักหน้าเบาๆ ให้สุนัขจรจัด
สุนัขจรจัดตัวนั้นส่ายหางน้อยๆ เหมือนว่าดีใจมาก กระโดดเข้าไปใต้ที่นั่งคนขับของรถไมบัคแล้ว
เฉินเป่ยปิดประตูรถ จากนั้นกลับเข้ามาในรถ สตาร์ทเครื่องยนต์ ขับพาเย่ชวงไปทางโรงพยาบาลแถวนี้
“ทำไมต้องสะกดรอยตามฉัน?” เฉินเป่ยขับรถอยู่ สอบถามขึ้นแบบเรียบนิ่ง
ใบหน้าเย่ชวงซีดเซียว ไม่ตอบอะไร เธอเหมือนไม่อยากสนใจเฉินเป่ย…เดิมทีเธอเป็นเพียงผู้สะกดรอยตามคนหนึ่ง อยากจะสะกดรอยตามเฉินเป่ย เพื่อหาเบาะแสบางอย่างจากบนตัวเขา แต่ตอนนี้…การสะกดรอยตามโดนเปิดโปง…คาดไม่ถึงว่าตนเองยังนั่งอยู่บนรถของผู้ต้องสงสัยแล้ว? ความสัมพันธ์แบบนี้ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง…ทำให้เย่ชวงไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร
หลังจากเงียบงันอยู่นาน ทันใดนั้นเย่ชวงก็เอ่ยปาก “นายตอบมาตามตรงเลยนะ สรุปว่านายกำลังทำอะไรกันแน่?” เสียงของเย่ชวงหนาวเย็นมาก เหมือนว่าเค้นถาม
เฉินเป่ยได้ยินก็ตะลึงไปนิดนึง ก่อนจะพูดอธิบาย “ฉันบอกแล้วว่าฉันเป็นคนขับรถไง คนขับรถท่านประธานของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป”
ดวงตาเย่ชวงจ้องเฉินเป่ยตาไม่กะพริบ คล้ายจะมองเขาให้ทะลุ
“นายหลอกฉันไม่ได้หรอก”
เฉินเป่ยส่ายหน้าด้วยความจำใจ “เธอไม่เชื่อ งั้นฉันก็จนปัญญาเหมือนกัน”
รถไมบัคแล่นมาถึงที่โรงพยาบาลโดยตรง เย่ชวงกัดฟันไว้ อยากลงรถเอง…แต่ที่หัวเข่ากลับมีความเจ็บลอยมา…เดิมทีเดินไม่ไหว
เฉินเป่ยโอบเอวของเธออุ้มขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นอุ้มเธอเข้าไปในโรงพยาบาลโดยตรง
ระหว่างทางมานี้ ใบหน้าของเย่ชวงซีดเซียวยุ่งเหยิงอยู่มาก…เธอไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับฉากนี้อย่างไรโดยสิ้นเชิง…เดิมทีนี่คือความสัมพันธ์ของตำรวจกับผู้ต้องสงสัย…แต่เวลานี้…ทำไมเหมือนกลายเป็นความสัมพันธ์อีกแบบไปได้? อารมณ์ของเธอสับสนไปหมด
เย่ชวงบาดเจ็บไม่ถือว่าหนักมาก แต่ก็ไม่เบา ผิวหนังถลอกเล็กน้อย หัวเข่าข้างซ้ายได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนัก ต้องได้รับการพันแผล
เฉินเป่ยก็ไม่ได้ออกไปไหน นั่งรออยู่นอกห้องคนไข้แบบนี้ไป
ส่วนตรงข้ามยังมีสุนัขจรจัดตัวนั้นนั่งอยู่ด้วย
เวลาผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละวินาที เฉินเป่ยยกข้อมือมาดูเวลาแล้ว…หนึ่งทุ่มแล้ว…เวลานี้เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เขาต้องไปเจอกับคนของแก๊งยามาโมโตะ…
แต่บาดแผลของเย่ชวงกำลังอยู่ในขั้นตอนรักษา…บาดแผลเหมือนดูสาหัสมาก บรรดาหมอจัดการมาครึ่งชั่วโมงใหญ่ ยังจัดการไม่เสร็จ
ตอนแรกเฉินเป่ยอยากจะออกไป แต่กลับยังคงตัดใจไม่ได้…โดยเฉพาะเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง…เพราะตนเองถึงได้รับบาดเจ็บ ถ้าเขาออกไปในเวลานี้ คงพูดไม่ถูกอยู่นิดหน่อย
ดังนั้นเฉินเป่ยจึงได้แต่นั่งรอที่หน้าประตูห้องคนไข้เงียบๆ
รอมาเกือบจะสองชั่วโมงกว่า บาดแผลของเย่ชวงถึงจัดการเสร็จ บนหน้าผากติดผ้าก็อตไว้ บนแขนก็พันผ้าก็อตเอาไว้ด้วย…ส่วนที่หนักสุดคือหัวเข่า บนหัวเข่ามีผ้าพันแผลหนาๆ พันอยู่ เธอในเวลานี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียว มองขึ้นมาดูกระเซอะกระเซิงเป็นพิเศษ
“คุณคือแฟนของเธอสินะ? อาการของเธอยังดี เพียงแค่ผิวหนังเนื้อเยื่ออ่อนฟกช้ำ ไม่ถือว่าหนักหนา กลับบ้านพักผ่อนดีๆ สักสองสามอาทิตย์ก็ดีขึ้นแล้ว” พยาบาลพูดกำชับกับเฉินเป่ย
เฉินเป่ยได้ยินตะลึงนิดหน่อย…กำลังอยากจะอธิบาย พยาบาลคนนั้นก็รีบเดินจากไปแล้ว
ใบหน้าเย่ชวงซีดเผือดซับซ้อนพอสมควร ค้ำไม้เท้าอยู่ เปลืองแรงในการขยับฝีเท้าอยู่บ้าง
เฉินเป่ยอยากจะเข้าไปประคองเธอ กลับถูกเย่ชวงสะบัดออก
“ไม่ต้องการความเสแสร้งของนาย ฉันเดินเองได้” เย่ชวงยันไม้เท้าไว้ด้วยความดื้อดึง เดินไปแบบกะโผลกกะเผลก
เฉินเป่ยหมดคำจะพูดอยู่บ้าง ค่อยๆ พูดว่า “ฉันส่งเธอกลับไปแล้วกัน”
“ไม่ต้อง ฉันกลับไปเองได้! นายเลิกแกล้งทำเป็นคนดีเสียที มันสะอิดสะเอียน ทำเป็นคนดีแค่ภายนอกมันจะมีประโยชน์อะไร?” เย่ชวงพูดด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อหนาวเย็น อารมณ์เธอในเวลานี้สับสนมาก เพื่อปกปิดความในใจ ดังนั้นท่าทีของเธอยิ่งต้องเย็นชา อยากไล่เฉินเป่ยออกไป
เฉินเป่ยก็อารมณ์เสียแล้ว แม่งเอ๊ยฉันอุตส่าห์ห่วงใยดูแลเธอด้วยความหวังดี…ผลปรากฏว่ากลับโดนเธอดุด่าแบบนี้? ชาติที่แล้วฉันติดหนี้เธอแล้วรึไง?
“ได้ ในเมื่อเธออวดดีขนาดนั้น งั้นเธอก็ไปเองเถอะ ฉันไม่ยุ่งแล้ว!” เฉินเป่ยโมโหจนสะบัดมือออกไปทันที เธอแม่งดันขับรถไปชนเอง เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย
เวลานี้ในใจเฉินเป่ยคือไฟโกรธ บวกกับเขายังมีธุระสำคัญติดตัว จึงไม่อยากอยู่ต่อนานนัก เขามีเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องหนึ่ง นั่นคือการเจอกันกับสมาชิกของแก๊งยามาโมโตะ
เย่ชวงยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว ค้ำไม้เท้าไว้…เหมือนมึนงงไป…ในขณะนี้ความรู้สึกของเธอยุ่งเหยิงมาก…ที่สถานีตำรวจผู้บังคับบัญชานำหน้าฝ่าฝืนกฎหมายและทำลายความสงบเรียบร้อย…กฎหมายโดนตั้งข้อสงสัยต้องมองข้ามไป…หน้าที่การงานก็โดนสั่งพัก…สะกดรอยตามผู้ต้องสงสัยก็กลับเกิดอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บ…เธอเหมือนตัวตลกที่น่าเศร้า น่าตลกขนาดนั้น
ดวงตาของเย่ชวงค่อยๆ เปียกชื้น เธอเป็นหญิงสาวที่ดื้อรั้นคนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรเธอไม่สนใจบาดแผลบนร่างกาย…แต่ในเวลานี้ ความเจ็บในใจของเธอกลับไม่มีทางรับไหว…
เธอค้ำไม้เท้าไว้ ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ที่ระเบียงทางเดิน นั่งอยู่ตรงนั้นแบบนี้ หยดน้ำตาที่แวววาวไหลร่วงตามใบหน้าไม่ขาดสาย…ผ่านไปช้าๆ เธอส่งเสียงสะอึกสะอื้น…เธอช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน ช่างโง่เง่า…เวลานี้ไม่เหมือนกับที่เธอจินตนาการเอาไว้สักนิดเดียว…ความยุติธรรมทุกอย่าง…ล้วนเป็นเรื่องตลก
ความเจ็บของร่างกายสามารถทนได้ มีเพียงแผลในใจ…ถึงได้ร้องไห้ออกมา
สุนัขจรจัดตัวนั้นนั่งอยู่ด้านข้างแบบเงียบๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเย่ชวง
ทันใดนั้นก็มีผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดผืนหนึ่งยื่นเข้ามา
เย่ชวงร้องไห้จนกระเซอะกระเซิง เงยหน้าที่งดงามเปื้อนน้ำตาขึ้นมา..เห็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนตรงหน้า ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นมาด้านหน้าเธอแล้ว
เย่ชวงพยายามอยากควบคุมน้ำตา…แต่ยิ่งควบคุม อารมณ์ยิ่งปะทุขึ้น…วินาทีนี้เดิมทีเธอไม่มีทางหยุดน้ำตาได้…ความเจ็บในใจเหมือนเสียดแทงหัวใจของเธอ นั่นเจ็บยิ่งกว่าแผลบนตัวเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า…
เฉินเป่ยนั่งอยู่ข้างกายของเธอแล้ว เช็ดหยดน้ำตาที่เบ้าตาเบาๆ แทนเธอ
เย่ชวงผลักเขาออก พูดสะอื้นโดยที่ใบหน้างดงามยังเปียกชุ่ม “นายกลับมาทำอะไร? มาดูฉันที่น่าตลกรึไง? ฉันน่าตลกมากใช่มั้ย?”
เฉินเป่ยไม่รู้ว่าควรปลอบใจอย่างไร…เย่ชวงในเวลานี้ได้รับความไม่เป็นธรรมขนาดนั้น…ไม่ได้รับความเป็นธรรมจนทำให้คนปวดใจ
เขายื่นมือออก โอบเธอไว้เบาๆ
เย่ชวงดิ้นรน อยากผลักเฉินเป่ยออก…แต่เฉินเป่ยกลับโอบไว้แน่นแล้ว ที่จริงเขาทนเห็นผู้หญิงคนนี้ร้องไห้อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมจนน่าปวดใจเช่นนี้ไม่ไหว…เขาอยากใช้หน้าอกของตนเองไปให้เธอยืม…
“ทำไม…แม้แต่นายก็รังแกฉัน…” ร่างกายเย่ชวงสั่นเบาๆ เดิมทีไม่มีทางดิ้นหลุดจากอ้อมอกของเฉินเป่ย ทั้งตัวแนบไปบนหน้าอกของเฉินเป่ยอย่างแนบแน่น ร้องไห้อย่างเสียใจและลำบากใจเพิ่มยิ่งขึ้น…หยดน้ำตาไหลลงมาไม่หยุด
เฉินเป่ยโอบเธอไว้นิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้ฝ่ามือลูบหลังของเธอไปเบาๆ ปลอบโยนอารมณ์ของเธอ
สุนัขจรจัดตัวนั้นเห็นฉากนี้เข้า คิดว่าเฉินเป่ยจะรังแกเย่ชวง เห่ามั่วซั่วอยู่ด้านข้างไม่หยุด…
…
ในขณะเดียวกัน ในโรงแรมแห่งหนึ่งของหู้ไห่
ยามาโมโตะเคนนั่งอยู่หน้าห้องอาหาร เขายังคงใส่เครื่องแบบญี่ปุ่น ที่หน้าอกปักคำว่า“เคน” หมายถึงชื่อและตำแหน่งของเขา
ด้านข้าง ทาเคอุจิคุงใส่ชุดดำยืนอยู่ รอยแผลขนาดยาวดุร้ายอย่างยิ่ง ที่มือของเขายังคงกุมอาวุธเล่มนั้นไว้ไม่ห่างกาย
โดยรอบห้องอาหาร เหล่านักฆ่ากลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ ปล่อยท่วงท่าที่กดดันออกมาดุจยมทูต
“กี่โมงแล้ว?” ยามาโมโตะเคนค่อยๆ เอ่ยปากถาม เสียงของเขาสงบล้ำลึก เหมือนดูอารมณ์ใดๆ ไม่ออก