สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 586
บทที่586 ตีคนของฉัน
ทาเคอุจิคุงหยิบนาฬิกาแบบโบราณเรือนหนึ่งออกมา มองดูเวลาแวบหนึ่งแล้วตอบกลับ “เคนซามะ สามทุ่มแล้วครับ”
สายตายามาโมโตะเคนยังคงสงบนิ่งอย่างยิ่ง เพียงแค่ในดวงตากลับสาดส่องความหมายเย็นชาที่ไม่ง่ายจะสังเกตเห็นออกมา
“สามชั่วโมง ไม่เคยมีผู้หญิงที่ให้ฉันรอถึงสามชั่วโมงสักคน…” เสียงของยามาโมโตะเคนล้ำลึกต่อเนื่อง ทำให้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ
ฝ่ามือของเขาค่อยๆ กดลงบนพนักวางแขนที่เก้าอี้ เสียงแตกดัง“แกร๊ก”ทีหนึ่ง พนักวางแขนที่เก้าอี้นั้นถูกบิดจนเป็นรอยฝ่ามือแตกร้าวลงลึกเลยทีเดียว
“เคนซามะ ยังจะรออยู่รึเปล่าครับ?” ทาเคอุจิคุงถามอย่างระมัดระวัง
ยามาโมโตะค่อยๆ หลับตาลงแล้ว
“ตึง!” เก้าอี้ที่หนาหนักซึ่งสร้างจากไม้มะฮอกกานีด้านล่างตัวเขาตัวนั้นถูกพลังมหาศาลบดทับโดยตรงจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ยามาโมโตะเคนค่อยๆ ลุกขึ้น มือทั้งสองไพล่หลังแล้วเดินจากไป…ความอดทนของเขาได้ใช้ไปหมดเกลี้ยงแล้ว สามชั่วโมง การรอคอยสามชั่วโมงเต็มๆ นี่คือขีดจำกัดความอดทนในการรอที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เขาเคยรอมา พวกเขาแก๊งยามาโมโตะ…แต่ไหนแต่ไรไม่ได้รอใครสักคนนานขนาดนี้ วันนี้…หัวเซี่ย หลีชิงเยียน…เป็นคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ…จนกระทั่งป่านนี้ยังคงไม่เห็นภาพเงาของหลีชิงเยียน ยามาโมโตะเคนสูญเสียความอดทนไปถึงที่สุด ความอดทนของเขานั้นมีจำกัด
หลังจากที่ยามาโมโตะเคนออกไป พื้นผิวค่อยๆ แตกร้าวจนเป็นรอยเท้าที่ยุบลงลึกไปออกมาแต่ละรอย…นั่นคือร่องรอยที่โดนพลังมหึมาของเขาโจมตี…จนสามารถรับรู้อารมณ์ในเวลานี้ของเขาได้
พนักงานคนหนึ่งมองเก้าอี้ที่โดนทำพังในที่เกิดเหตุแวบหนึ่ง จากนั้นตามเข้าไปด้วยความประหม่า พูดอย่างระมัดระวัง “คุณผู้ชาย…คือว่า…เก้าอี้ที่ห้องอาหารโดนทำพังแล้ว…ท่านอาจจะต้องชดใช้…”
สายตายามาโมโตะแข็งทื่อในขณะนั้น ยื่นมือขึ้นฉับพลัน บีบคอของพนักงานคนนั้นไว้ด้วยความเร็วดุจฟ้าแลบ บีบคว้าทั้งตัวของพนักงานขึ้นมาโดยตรง
พนักงานคนนั้นสีหน้าซีดเผือด ทั้งคอโดนบีบแตกในชั่วขณะหนึ่ง เลือดสดทะลักออกตามบาดแผลที่ลำคอไม่หยุด…หล่อนดิ้นรนนิดหน่อย เห็นว่าจะขาดใจอยู่แล้ว
ทาเคอุจิคุงก้าวเข้ามาก่อนโค้งตัวบอก “เคนซามะครับ กรุณาหยุดโมโห…ไม่จำเป็นต้องลงมือกับพวกต่ำต้อยของหัวเซี่ยระดับนี้หรอกครับ จะเปื้อนมือของท่านเอาเปล่าๆ”
ยามาโมโตะเคนทำเสียงฮึดฮัด ใช้แรงสะบัดแขนออก
“ปึง!” พนักงานคนนั้นถูกแรงมหาศาลโยนลอยออกไปทันที หล่นลงบนพื้นอย่างแรง ปากพ่นเลือดสด…ลมหายใจแผ่วเบา
เหล่าพนักงานกลุ่มหนึ่งในโรงแรมที่เกิดเหตุต่างโกรธเคืองกันหมด กล้าโมโหแต่กลับไม่กล้าพูด…คนญี่ปุ่นตรงหน้ากลุ่มนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน ทำให้คนสยองขวัญ…พนักงานของโรงแรมเหล่านี้ต่างเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เดิมทีไม่กล้าออกหน้ามีเรื่อง…
…
ช่วงดึก ในระเบียงทางเดินโรงพยาบาล
เย่ชวงกระโจนเข้าไปอยู่ในอกของเฉินเป่ย…ร้องไห้ถึงที่สุด เวลานี้อารมณ์ในใจของเธอควบคุมไม่อยู่เอาเสียเลย ระบายความรู้สึกทั้งหมดของตนเองออกมา…ระบายออกมาบนหน้าอกของผู้ต้องสงสัยคนนี้…หยดน้ำตาเปื้อนหน้าอกเสื้อของเฉินเป่ย มีความอบอุ่นราวกับจะละลายหัวใจของเฉินเป่ยไปด้วย
ใครบอกว่าผู้หญิงแกร่งร้องไห้ไม่เป็น? เย่ชวงตำรวจอาชญากรรมหญิงคนนี้ ใต้ภาพนอกที่เข้มแข็งยังเป็นเพียงหัวใจที่อ่อนแอดวงหนึ่ง หัวใจของผู้หญิงที่อ่อนแอ
ร้องไห้มาตั้งนาน เธอถึงสะอึกสะอื้น เช็ดหยดน้ำตาที่ดวงตาทิ้ง…ผมยาวยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง เธอในเวลานี้ทำให้คนปวดใจเหลือเกิน
“เอาล่ะ…ไม่ต้องร้องแล้ว ฉันจะพาเธอไปหาของกินแล้วกัน” เฉินเป่ยพูดพลางโอบเอวของเธอเบาๆ อุ้มขึ้นมา จากนั้นอุ้มเธอไว้แบบนี้ แล้วค่อยๆ ออกไป
สุนัขจรจัดตัวนั้นเซ่อซ่านิดหน่อย จากนั้นตามเข้าไปอย่างระแวง…กลัวว่าเฉินเป่ยจะรังแกเย่ชวง
เฉินเป่ยพาเย่ชวงมาถึงร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง สั่งอาหารที่เสริมโภชนาการแทนเธอแล้ว
เริ่มต้นเย่ชวงไม่ยอมทาน เบ้ปากหันหน้ามองทางด้านนอกหน้าต่าง…เหมือนขัดแย้งกับเฉินเป่ยอย่างมาก
สุดท้ายเฉินเป่ยยังข่มขู่เธอ บอกว่าจะป้อนอาหารแบบปากต่อปาก…เย่ชวงถึงลนลานพอสมควร…เริ่มทานอาหารขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
มองหญิงสาวคนนี้ที่ลักษณะหน้าตางดงามราวกับเด็กน้อยแบบนี้ เฉินเป่ยอดรู้สึกจำใจอยู่บ้างไม่ได้…ดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่ดื้อรั้นเด็ดเดี่ยว คาดไม่ถึงจะมีด้านที่อ่อนแอเช่นนี้…
“นี่ ทำไมถึงเอาแต่ตามฉันทั้งวัน? ฉันบอกแล้วไง..ฉันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย…เธอจับฉันไม่ปล่อยแบบนี้ทำอะไรกัน?” เฉินเป่ยเห็นอารมณ์ของเธออยู่ในสภาพคงที่ ถึงค่อยๆ เอ่ยปากถาม “ที่เธอต้องจับไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ใช่ศัตรูของเธอ”
ดวงตาที่งดงามประกายสีแดงของเย่ชวงนั้นถลึงใส่เฉินเป่ยแวบหนึ่ง คำพูดพวกนี้ของเขาสะกิดความเจ็บในใจของเธอขึ้นอีก
“เฉินเป่ย นายไม่ต้องเล่นลิ้น…ไม่เห็นกฎหมายในสายตา ละเมิดกฎหมาย…เห็นกฎหมายของหัวเซี่ยไม่มีตัวตนจริงๆ ใช่มั้ย? ไม่ช้าหรือเร็วฉันจะจับนายมาดำเนินคดี ขังนายเข้าคุกด้วยมือของฉันเอง!” ในเสียงที่สะอึกสะอื้นของเย่ชวงมีความหนาวเย็นและดื้อดึงนิดๆ
พอเฉินเป่ยได้ยินก็อดตะลึงไม่ได้ ความแค้นของผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงมากเช่นนี้? เหมือนว่าตนเองไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงอะไรกับเธอมั้ง?
เฉินเป่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายว่าเดาบางอย่างได้ ถามด้วยเสียงเบา “มีใครหาเรื่องเธอเข้าแล้วหรือเปล่า?”
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย?” ใบหน้าเย่ชวงเย็นยะเยือกไร้ที่เปรียบ
เฉินเป่ยยิ้มเรียบเฉย สายตามองเย่ชวงอยู่…ถึงแม้ว่าตำรวจหญิงคนนี้จะเย็นชาและดุร้ายอยู่บ้าง…แต่…มีบางครั้งเธอยังน่ารักมาก…โดยเฉพาะตอนที่เธอจับคนอย่างจริงจัง
“สำหรับจุดนี้ ฉันต้องชื่นชมเธอด้วย” เฉินเป่ยพูดขึ้น
ดวงตาที่เย็นชาของเย่ชวงชายตามองเฉินเป่ย “นี่นายกำลังเย้ยหยันฉันเหรอ? ฉันจะต้องค้นหาหลักฐานการทำผิดของพวกนายให้ได้ และจะจับนายมาดำเนินคดี!” เวลานี้เห็นได้ชัดว่าเธอดื้อรั้นเป็นพิเศษ
“วางใจได้ สักวันหนึ่ง…ฉันจะให้ความยุติธรรมกับเธอ ให้เธอจับคนที่ควรจับด้วยมือตัวเองเข้าคุกไป” ทันใดนั้นเฉินเป่ยควบคุมความหมายอันธพาลบนหน้าไป พูดจาจริงจัง
วินาทีนี้ เย่ชวงสับสนพอสมควร…เธอมองเฉินเป่ยด้วยดวงตาซับซ้อน สักพักถึงพูดประโยคหนึ่งออกมา “ทำให้คนสับสนเพื่อหนีความผิด…นายไม่ใช่คนดีอะไรหรอก”
หลังจากทานอาหารเสร็จ เฉินเป่ยอุ้มเธอขึ้นรถไปโดยที่เย่ชวงดิ้นรนไม่ยินยอม สุนัขจรจัดตัวนั้นถูกให้อาหารจนอิ่มเช่นกัน กระโจนดุ๊กดิ๊กเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับ นั่งอยู่ด้านข้างแบบนิ่งเงียบ
รถไมบัคขับอยู่บนถนน ในที่สุดค่อยๆ จอดลงหน้าประตูบ้านเย่ชวงแล้ว
เฉินเป่ยอยากอุ้มเย่ชวงลงรถ กลับโดนเย่ชวงขัดขืนอย่างรุนแรงแล้ว
“ไม่ต้องอุ้มฉัน! ถึงบ้านแล้ว ฉันเดินเองได้…” เธอยกไม้เท้าขึ้นอย่างดื้อดึง เดินไปในบ้านของตนเองอย่างกะโผลกกะเผลก
เฉินเป่ยไม่วางใจเท่าไร ประคองแขนของเธอไว้ด้วยความระวัง กลัวเธอจะล้มลง สุนัขจรจัดตัวนั้นตามด้านหลังของเธอแบบเชื่อฟังและประหม่า เห็นได้ชัดว่ากังวลพอสมควร
เฉินเป่ยประคองเย่ชวงไว้ กดกริ่งประตูบ้านเบาๆ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ประตูบ้านก็เปิดออก…ที่เปิดประตูคือผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งรถเข็นคนหนึ่ง
“ชวงเอ๋อร์…เกิดอะไรขึ้น?” เย่ซ่าวหมิงเห็นลูกสาวสภาพแบบนี้ ชั่วขณะนั้นสีหน้าแข็งทื่อขึ้นมา
“พ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ…ไม่ระวังจนรถชนเข้า จนเกิดอุบัติเหตุแล้ว…” เย่ชวงไม่อยากอธิบายมากเกินไป เรื่องนี้ยากจะอธิบายมาก เธอไม่อยากให้บิดากังวล
เย่ซ่าวหมิงกวาดสายตามองทางเฉินเป่ย พยักหน้าทักทายเบาๆ…เขาไม่ได้สอบถามมากเกินไป
“คุณลุง สวัสดีครับ” เฉินเป่ยพยักหน้าตอบกลับ สายตาของเขาหยุดอยู่บนขาที่พิการทั้งสองของเย่ซ่าวหมิงไม่กี่วินาที
เฉินเป่ยประคองเย่ชวงเข้าไปในบ้านด้วยความระมัดระวัง ส่วนสุนัขจรจัดตัวนั้นยืนอยู่ด้านนอกประตูอย่างกังวล เหมือนไม่กล้าเข้าประตู…มันลังเลสักพัก อยากจะหมุนตัวออกไป
“เจ้าหมาน้อย แกก็เข้ามาเถอะ” ทันใดนั้นเย่ชวงตะโกนบอกกับลูกสุนัขตัวนั้น “ต่อไป ที่นี่คือบ้านของแก”
สุนัขจรจัดตัวนั้นตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นส่ายหางอย่างเบิกบาน กระโจนอย่างลิงโลดเข้าในบ้านตระกูลเย่แล้ว
หลังจากเย่ชวงเข้ามาในบ้าน อารมณ์สับสนอยู่บ้าง…เหตุการณ์ของวันนี้ช่างเกินความคาดหมายเหลือเกิน…ตนเองกับผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งอยู่ด้วยกัน…เขายังเลี้ยงข้าวตนเองด้วย…มาส่งตนเองกลับบ้าน…เวลานี้ยังเข้ามาประตูบ้านของตนเองอีก…นี่ทำให้เธอว้าวุ่นใจมาก ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร
“นายรีบกลับไปเถอะ” เย่ชวงพูดจาไล่
เฉินเป่ยพยักหน้า พูดด้วยเสียงละมุน “งั้นเธอดูแลตัวเองดีๆ”
หลังเฉินเป่ยบอกลากับบิดาของเย่ชวง จึงค่อยๆ ออกไป…
กลับมาถึงในรถไมบัค สายตาเฉินเป่ยแข็งขึ้นมานิดหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อสักครู่วินาทีนั้นที่ได้สัมผัสบิดาของเย่ชวง เขารู้สึกถึงความแปลกนิดๆ
บิดาของเย่ชวงให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปมาก ในสายตาของเขาเผยแววตาที่ไม่เหมือนใคร…นั่นเหมือนความทรมานที่ผ่านความเจ็บปวดบางอย่างมา? โดยเฉพาะสายตาของเขาฉับไวมาก เหมือน…เป็นการผ่านการฝึกฝนจิตวิทยาแบบมืออาชีพ? สายตาที่มองคนแบบนั้น…ให้ความรู้สึกที่พิเศษอย่างหนึ่งกับเฉินเป่ย คล้ายว่าคนที่นั่งบนรถเข็นไม่ใช่คนป่วย…แต่ว่าเป็นผู้พิพากษาของศาลการเมืองและกฎหมายมานานท่านหนึ่ง ควบคุมกฎหมาย
และที่ยิ่งทำให้เฉินเป่ยรู้สึกตกใจคือขาที่พิการคู่นั้นของบิดาเย่ชวง..ขาคู่นั้น ให้ความรู้สึก…เหมือนโดนคนบีบบังคับให้พิการ กระดูกหัวเข่าแตกละเอียดทั้งหมด ทั้งหัวเข่าเปลี่ยนรูปแล้ว…ถึงแม้จะกั้นด้วยขากางเกงชั้นหนึ่ง…เฉินเป่ยที่ผ่านศึกมามากมาย สัมผัสการดมกลิ่นที่ต่อสู้ออกมาจากเลือดเนื้อว่องไวมาก…เขาแอบรู้สึกว่า…เบื้องหลังของบิดาเย่ชวง บางทีอาจจะแอบซ่อนความลับอะไรไว้…
พอยกข้อมือขึ้น มองเวลาในขณะนี้แวบหนึ่ง…ห้าทุ่มแล้ว…เวลานี้คนกลุ่มนั้นของแก๊งยามาโมโตะคงแยกย้ายไปตั้งนานแล้วมั้ง? เฉินเป่ยถอนหายใจเบาๆ วันนี้เพื่อเย่ชวงผู้หญิงคนนี้ ทำเอาธุระสำคัญล่าช้าไปทั้งหมด…ดูแล้ว คงทำได้เพียงรอวันพรุ่งนี้…
…
แสงแรกค่อยๆ สูงขึ้นจากท้องฟ้าทางด้านตะวันออก ทั่วทั้งเมืองเริ่มตื่นขึ้น
ใต้อาคารตระกูลหลี เวลานี้คือจุดพีคเวลาเข้างาน เหล่าพนักงานต่างรีบมาเข้างานกัน
บรรดาพนักงานรักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งกำลังเข้าเวรที่จุดเฝ้า ยืนเข้าเวรอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น รถเลกซัสสีดำหลายสิบคันขับเข้ามาอย่างว่องไว เหยียบเบรกกะทันหันจนขวางหน้าประตูอาคารตระกูลหลีไว้โดยตรง
“นี่! พวกนายทำอะไร? ทำไมถึงขวางหน้าประตูบริษัทพวกฉันเอาไว้?” พนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเพิ่งส่งเสียงตวาด ฝักดาบของดาบนักรบเล่มหนึ่งก็ลอยจู่โจมออกมาจากในรถเลกซัสทันที
“ปึง!” ฝักดาบนักรบโจมตีลงบนหน้าอกของพนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นพ่นเลือดสดออกมา โดนโจมตีจนกระเด็นออกมาไกลหลายเมตร
ตามมาด้วยเสียงซู่! ดังขึ้น
นักฆ่าญี่ปุ่นที่ใส่ชุดนักรบสีดำหลายสิบคนมุดออกมาจากในรถทันที ที่เกิดเหตุมีแรงอาฆาตเย็นยะเยือกผืนหนึ่ง
เหล่าพนักงานกลุ่มหนึ่งในที่เกิดเหตุต่างตื่นตกใจกันหมด ทุกคนพากันหลบไปด้วยความกังวลและหวั่นวิตก…หลบกันไปไกล…กลัวว่าจะหาเรื่องนักฆ่าที่น่ากลัวกลุ่มนี้…
เซ่หมิงสีหน้าหนาวเย็นแถบหนึ่ง มีพนักงานรักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งรีบก้าวเข้ามาด้านหน้า ถามอย่างเคร่งเครียด “พวกนายมาหาใคร?”
“พลั่ก!” ฝักดาบอันหนึ่งโจมตีมา ทั้งตัวของเซ่หมิงโดนโจมตีจนลอยออกไป พ่นเลือดสดสีแดงออกมากลางอากาศ
พนักงานรักษาความปลอดภัยหลายคนที่เหลือสีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน เดิมทีตอบสนองไม่ทัน
“ตึงๆๆ!” พนักงานรักษาความปลอดภัยหลายคนโดนโจมตีลอยจนออกไปกันหมด พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งหมดนอนอยู่ที่พื้น ทั่วทั้งตัวชุ่มเลือด…น่าเวทนาอย่างยิ่ง
นักฆ่าญี่ปุ่นกลุ่มนี้ลงมือได้ทารุณที่สุด เดิมทีไม่มีความหมายจะปรานีแต่อย่างใด
ในปากของเซ่หมิงเต็มไปด้วยรอยเลือด ปีนขึ้นมาจากพื้นอย่างสั่นเทา “พวกนาย…พวกนาย..อยากทำอะไร?”
“พรึ่บ!” ภาพเงาคนหนึ่งพุ่งโจมตีเข้ามา นักฆ่าคนหนึ่งบีบคอของเซ่หมิงไว้ทันใด พลังที่มหาศาลระเบิดโจมตี ทั้งคอของเซ่หมิงจนเกือบจะหักหลุด
“เรียกหลีชิงเยียนให้ไสหัวออกมา ไม่อย่างนั้น…เลือดนองบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของพวกแก!” นักฆ่าญี่ปุ่นที่ใช้ภาษาหัวเซี่ยไม่คล่องพูดขึ้นช้าๆ ดุจนรกหนาวเหน็บ เผยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
เหล่าพนักงานที่อยู่ในเหตุการณ์กลุ่มหนึ่งตกใจจนสั่นเทากันหมด นี่…คนญี่ปุ่น…กำลังมาหาเรื่องแล้ว
…
เช้าตรู่ เฉินเป่ยตื่นมาตั้งแต่เช้ามืด รีบขับรถไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลี ไปรับหลีชิงเยียนและซูเหลยทั้งสองคน ก่อนจะขับไปยังบริษัทโดยตรง
รถไมบัคแล่นฉิวตลอดทาง ตอนที่ขับรถมาถึงหน้าประตูอาคารตระกูลหลี สายตาของเฉินเป่ยก็แข็งทื่อขึ้นมาในชั่วขณะนั้น
แม้แต่ซูเหลยที่นั่งอยู่ด้านหลังก็กะพริบตาเบาๆ เช่นกัน เผยความมันวาวที่ลุ่มลึกออกมา
เห็นเพียงหน้าประตูใหญ่ของบริษัท รถเลกซัสสีดำหลายสิบคันจอดสกัดกั้นที่หน้าประตูใหญ่อย่างไม่สนใจอะไรขวางกั้นทางเดินของทุกคนในบริษัทไว้
นักฆ่าที่สีหน้าหนาวเย็นกลุ่มหนึ่งเรียงแถวกันราวกับบอดี้การ์ดยมทูต ขวางกั้นหน้าประตูอาคารตระกูลหลีไว้แน่น
เหล่าพนักงานกลุ่มหนึ่งในที่เกิดเหตุไม่กล้าเข้าไปใกล้แม้แต่น้อย บนพื้นยังมีเลือดนิดๆ ติดอยู่ พวกพนักงานรักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งมีเลือดเต็มใบหน้า อ่อนปวกเปียกอย่างสั่นเทาบนพื้น เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
“อยู่ในรถ อย่าออกมา” เฉินเป่ยหันหน้ามาพูดกับหลีชิงเยียนอย่างจริงจัง
หลีชิงเยียนตกตะลึงอยู่บ้าง ตอบสนองไม่ทันโดยสิ้นเชิง…มองฉากนี้แบบอึ้งทึ่ง…
ประตูรถเบนซ์เปิดออก เฉินเป่ยค่อยๆ ก้าวออกจากรถ
ในขณะนี้สีหน้าของเขาสงบไร้ที่เปรียบ แต่ลมหายใจกลับทอดยาวไม่ขาด เหมือนมีความลุ่มลึกไร้ขอบเขต
“ยามบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของฉัน ใครเป็นคนตีกัน?” เฉินเป่ยเดินมาทางเหล่านักฆ่ากลุ่มนั้นอย่างนิ่งสงบมากๆ เสียงนิ่งเรียบผิดปกติ
เหล่านักฆ่ากลุ่มนั้นชายตามองเขาอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าใครๆ ก็ไม่เห็นเฉินเป่ยอยู่ในสายตา พวกเขาเป็นนักฆ่าของประเทศญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ วิทยายุทธของพวกเขาเกินกว่าคนทั่วไป พวกต่ำต้อยของหัวเซี่ยระดับนี้ จะคู่ควรให้พวกเขาสนทนาด้วยได้อย่างไร?
เฉินเป่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามอีกครั้งหนึ่ง “เป็นใบ้กันหมดรึไง…ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอ? ยามของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป ใครเป็นคนตีกัน?”
นักฆ่าคนหนึ่งในนั้นชำเลืองมาทางเฉินเป่ยอย่างเฉยชา ใช้ภาษาหัวเซี่ยที่ไม่คล่องพูดเยาะเย้ย “แค่พวกต่ำต้อยของหัวเซี่ยเท่านั้น ฉันเป็นคนตีเอง แกจะทำอะไรฉันได้?”
เฉินเป่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้ทักษะหายวาร์ปทันใด
“ป้าบ!” เสียงตบอย่างรุนแรง ทั้งตัวนักฆ่าคนนั้นถูกยกลอยในชั่วขณะนั้น หมุนวนกลางอากาศอยู่หลายตลบ…ก่อนจะร่วงลงพื้นอย่างจัง บนพื้นเต็มไปด้วยเลือด
ซู่! บรรยากาศเงียบกริบเหมือนตาย
เหล่าพนักงานกลุ่มหนึ่งในที่เกิดเหตุตกใจอึ้งค้างกัน มองฉากนี้ด้วยความตะลึงตื่นตกใจ เฉินเป่ย…คาดไม่ถึงแม้แต่คนญี่ปุ่นที่น่ากลัวยังกล้าตี? ลงมืออย่างไม่พูดให้มากความ
พวกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่หมดแรงบนพื้นกลุ่มนั้นกลั้นความเจ็บทั้งตัวไว้…วินาทีนี้ พวกเขาราวกับมองเห็นความหวัง พี่เฉินมาแล้ว พี่เฉินลงมือแล้ว
สายตาทาเคอุจิคุงแข็งทื่อ จ้องเฉินเป่ยไม่ขยับ ตบมือสักครู่นี้ ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายที่สั่นสะเทือนนิดๆ
“ไอ้โง่!” พวกนักฆ่าญี่ปุ่นกลุ่มนั้นถึงตอบสนองเข้ามา โกรธเคืองจนใช้ทักษะพุ่งโจมตีล้อมวงเข้ามา ลงมือโดยตรง
“พรึ่บ!” ภาพเงาคนหนึ่งที่ความเร็วไวยิ่งกว่า ทาเคอุจิคุงฝีเท้าเฉียบไว ทั้งตัวแทบจะกลายเป็นภาพวืด ชั่วพริบตาเดียวก็แซงหน้านักฆ่ากลุ่มนั้นแล้ว…เขาระเบิดโจมตีหมัดหนึ่งไปยังเฉินเป่ยดุจสายฟ้าแลบ เขาอยากจัดการคนคนนี้ด้วยตนเอง
เฉินเป่ยไม่เงยหน้าขึ้นแม้สักนิด รับหมัดมาโดยตรง
“ปึง——!” เสียงอัดอั้นรุนแรง อากาศสั่นสะท้านฉับพลัน
ทั้งตัวทาเคอุจิคุงถูกพลังที่น่ากลัวสั่นสะเทือนกลับ ร่างกายถอยหลังไปทันที แต่ละก้าวเหยียบจนเป็นรอยร้าวลึกๆ ออกมาที่พื้น
พวกนักฆ่าญี่ปุ่นกลุ่มนั้นตกตะลึงจนตระหนกกันหมด นักรบทั้งหมดล้วนหยุดฝีเท้าลง พวกเขาโดนหมัดนี้ของเฉินเป่ยทำให้ตะลึงค้าง เพียงหมัดเดียว…คาดไม่ถึงจะทำให้ทาเคอุจิคุงที่แข็งแกร่งไร้ศัตรูถอยหลังไปหลายก้าว?
ทาเคอุจิคุงสีหน้าหนาวเย็นไร้ที่เปรียบ สายตาจ้องเฉินเป่ยไม่กะพริบ…ในขณะนี้รอยแผลเป็นที่น่าสะพรึงกลัวบนหน้าของเขานั้นกำลังสั่นเทา มีความดุร้ายที่น่ากลัวด้วย
“น่าสนใจ…คาดไม่ถึงว่า…ที่ประเทศขี้โรคแห่งเอเชียจะยังเจอพวกต่ำต้อยที่ออกลายแบบนี้ได้ด้วย…” ทาเคอุจิคุงอึมครึมน่าครั่นคร้าม ใช้ภาษาญี่ปุ่นแท้บ่นพึมพำ เขาเป็นนักฆ่าญี่ปุ่น ส่งเสริมวิทยายุทธสูงสุดของญี่ปุ่น เดิมทีเขาเหยียดหยามที่ต้องเรียนภาษาหัวเซี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่จำเป็นเลย
เฉินเป่ยค่อยๆ จุดไฟบุหรี่มวนหนึ่ง ทันใดนั้นใช้ภาษาญี่ปุ่นแท้ตอบกลับ “งั้นโดนพวกต่ำต้อยต่อยจนถอยหลังไป แกถือว่าตัวเองเป็นอะไร? แค่พวกต่ำต้อยยังไม่สู้ได้?”
ซู่! พอได้ยินคำพูดนี้ ทาเคอุจิคุงตะลึงไปก่อน ตามมาด้วยสีหน้าหนาวเย็นเฉียบ
“แก…หาที่ตายซะแล้ว” รอยแผลเป็นบนหน้าของทาเคอุจิคุงแอบบิดเบี้ยว ความคิดอยากฆ่าผุดขึ้น
อากาศหนาวเย็นฉับพลัน ทาเคอุจิคุงค่อยๆ ยื่นมือ กุมด้ามมีดของอาวุธนั้นในมือซ้าย
แรงอาฆาตที่พอฟัดพอเหวี่ยงอย่างไร้ขอบเขตปกคลุมเต็มในชั่วพริบตา
พวกพนักงานกลุ่มหนึ่งในที่เกิดเหตุถอยหลบไปไกลๆ อีกครั้ง ทุกคนถูกฉากที่อันตรายน่ากลัวนี้ทำให้ตกใจอึ้งค้างไปแล้ว
ในรถ ท่านประธานเทพธิดาใบหน้าแข็งตัว จ้องมองฉากนี้ตรงหน้าประตูอาคารดวงตาไม่กะพริบ
“ซูเหลย…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คนพวกนี้คือใคร?” หลีชิงเยียนถามด้วยความตกใจและสงสัย
ซูเหลยที่นั่งอยู่ข้างกายค่อยๆ ตอบว่า “แก๊งยามาโมโตะ…”
หลังจากได้ยินคำนี้ ชั่วขณะนั้นใบหน้าหลีชิงเยียนเคร่งขรึม แก๊งยามาโมโตะ? พวกเขาคือแก๊งยามาโมโตะ?
หน้าประตูอาคาร บรรยากาศตึงเครียด
เฉินเป่ยสูบบุหรี่อย่างเมินเฉยสุดๆ ราวกับคนที่ไม่เป็นอะไรเลย
ทาเคอุจิคุงกุมด้ามมีดไว้ในมือ อาวุธที่เย็นเฉียบแหลมคมนั้นกำลังปรากฏชัดทีละนิดทีละนิด การปรากฏตัวแต่ละครั้ง…อากาศยิ่งเย็นไปทีละนิด นี่…คือพลังสังหารที่เหี้ยมโหดอย่างแท้จริง
ในเวลานี้ ทันใดนั้นเสียงลุ่มลึกต่อเนื่องลอยออกมาจากในรถเลกซัสแล้ว
“ทาเคอุจิคุง ถอยออกมาก่อนชั่วคราว อย่าลืมว่ายังมีธุระสำคัญ”