สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 591
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่591 แส่หาเรื่อง
“ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?”
“ไม่รู้สิ…ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินว่าหลีชิงเยียนมีแฟนนี่? ทำไมถึงโผล่มากะทันหัน?”
“เอ๋ ฉันได้ยินว่าคนนี้…เป็นคนขับรถส่วนตัวของหลีชิงเยียน…”
“คนขับรถส่วนตัว? ดูลักษณะแบบนี้…กลัวว่าจะไม่ได้เป็นแค่คนขับรถทั่วไปแบบนั้นมั้ง? ไม่แน่ว่าอาจจะ…”
ในห้องงานเลี้ยง บรรดาแขกกลุ่มหนึ่งต่างถกเถียงอย่างกว้างขวาง ทุกคนเกิดความสงสัยต่อผู้ชายที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันข้างกายหลีชิงเยียนคนนี้
บนใบหน้าของหลีชิงเยียนมีรอยยิ้มนิดหน่อย แต่ในใจกลับเสียใจที่สุด…เธอย่อมได้ยินการถกเถียงของผู้คนโดยรอบเป็นธรรมดา…ถ้ารู้แต่แรกว่าจะดึงดูดการวิจารณ์มากขนาดนี้…เธอคงไม่ให้เฉินเป่ยควงแขนของตนเองไว้ง่ายดายเป็นแน่…นี่ไม่ใช่ว่าพอไม่มีอะไรก็หาเรื่องยุ่งยากมาให้ตนเองหรอกเหรอ?
ตรงที่ไม่ไกลนักในห้องงานเลี้ยง ผู้ชายที่รูปร่างสูงหล่อสง่ายืนอยู่ที่นั่น ในมือเขาแกว่งแก้วเหล้าเบาๆ โดยรอบมีบุคคลชื่อเสียงโด่งดังเข้าหาไม่ขาดสาย มาทักทายทำความเคารพ…ชายหนุ่มคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับ…ซึ่งสามารถมองออกว่าสถานะของผู้ชายคนนี้สูงศักดิ์อย่างยิ่ง เขาคือประธานของเฟยหยางกรุ๊ป เซวอี้
วันนี้เซวอี้ก็มางานเลี้ยงวงการธุรกิจเมืองหู้ไห่รอบปีงานนี้ด้วย แต่เวลานี้สายตาของเซวอี้กลับมองผ่านฝูงชนที่เบียดเสียด ก่อนจะมองไปทางภาพคนรูปทรงงดงามที่อยู่ไกลออกไปคนนั้น…อย่างเงียบๆ จากนั้นสายตาของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมา
จางจื่อหลานเลขาฯ สาวสวยที่ใส่รองเท้าส้นสูงขยับเข้ามาด้านหน้าของเซวอี้เบาๆ “ประธานเซวคะ คืนนี้…ต้องการให้ลงมือจัดการกับหลีชิงเยียนหรือเปล่าคะ?”
สายตาเซวอี้จ้องภาพคนรูปทรงงดงามคนนั้นไม่กะพริบ พูดเสียงอบอุ่น “วันนี้หยุดไว้ก่อน…ที่งานมีนักธุรกิจคนดังมากมาย มันดูไม่ดี”
จางจื่อหลานพยักหน้าเบาๆ
“จื่อหลาน คืนนี้ฉันอยากให้เธอทำธุระให้ฉันเรื่องหนึ่ง” เซวอี้พูดขึ้นกะทันหัน
ใบหน้าจางจื่อหลานแข็งทื่อ จากนั้นพยักหน้าแบบจริงจัง “จื่อหลานเข้าใจค่ะ”
“จำเอาไว้ ขอแค่ได้รับหลักฐานมาก็พอ ระวังตัวเองให้ดีด้วย” เสียงของเซวอี้ทอดยาวไร้ที่เปรียบ
ในวินาทีนี้ แววตาจางจื่อหลานมีความซับซ้อนและประทับใจอย่างน่าประหลาดนิดๆ เกิดขึ้น ประธานเซวอี้…กำลังเป็นห่วงตนเองอย่างนั้นเหรอ?
จางจื่อหลานย่อมชัดเจนดีว่าเซวอี้อยากทำเรื่องอะไร ในฐานะเลขาฯ ข้างกายของเขา จางจื่อหลานรู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร เซวอี้คนนี้เลื่อมใสต่อเทพธิดาอันดับหนึ่งของวงการธุรกิจหู้ไห่ในตำนานมานานมาก
งานเลี้ยงวงการธุรกิจเมืองหู้ไห่รอบปี แทบจะรวบรวมคนดังของวงการธุรกิจหู้ไห่ที่มีหน้ามีตาส่วนใหญ่ของเมืองหู้ไห่มา…นี่คืองานเลี้ยงยอดเยี่ยมแห่งยุคงานหนึ่ง
เฉินเป่ยควงแขนของเทพธิดาหลีชิงเยียนเอาไว้ท่ามกลางฝูงชนแล้วมองไปรอบด้านทีหนึ่ง ภายใต้สายตาที่สงบนิ่ง ยังเปล่งประกายความลุ่มลึกที่หลีชิงเยียนยากจะสังเกตเห็น
หลีชิงเยียนยืนอยู่กลางห้องงานเลี้ยง ดึงดูดผู้คนโดยรอบที่เข้ามาทักทายถามไถ่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ประธานหลี ช่วงนี้ในตลาดหุ้นบริษัทของคุณดูแข็งมากเลยนะครับ ถึงตอนนั้นต้องช่วยยกพวกเราที่เป็นเพื่อนร่วมโครงการเก่าเหล่านี้สักหน่อยนะ”
หลีชิงเยียนพยักหน้ายิ้มแสดงการตอบรับ
“หลานชิงเยียน พ่อของเธอมีลูกสาวดีจริงๆ พวกเราที่บรรดาอาเหล่านี้อิจฉาเลยล่ะ! ภายใต้การนำของเธอ บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปจะต้องประสบความสำเร็จแน่ คงไม่เพียงหยุดแค่ที่หัวเซี่ย มีโอกาสไปถึงเวทีระดับโลกด้วยแน่ๆ!”
หลีชิงเยียนพยักหน้าต่อไป บนใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้ม
“ประธานหลี พูดได้ว่ามีความกล้าหาญชาญชัยเลยล่ะ ตอนนั้นพวกเราคนรุ่นก่อนเหล่านี้ยังไม่กล้าไปแตะต้อง…เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถกว่ารุ่นก่อนจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกสาวของหลีหยาง!”
หลีชิงเยียนพยักหน้าตอบรับอีกครั้ง บนใบหน้าเป็นรอยยิ้มที่งดงาม
“ประธานหลี ยินดีด้วยนะครับ ในที่สุดก็หาคู่ชีวิตเจอจนได้ ผมขอดื่มไวน์แก้วนี้ให้ด้วยความจริงใจ ขอให้คุณกับคุณผู้ชาย ทั้งสองคนมีความรักกลมเกลียว อยู่กันไปจนแก่เฒ่า! ถึงงานแต่งตอนนั้นพวกเราต้องไปร่วมยินดีด้วยแน่นอนครับ!”
หลีชิงเยียนพยักหน้าต่อไป
แต่หลังพยักหน้าเสร็จ เธอก็ตะลึงค้างแล้ว จากนั้นเริ่มส่ายหน้าฉับพลัน
หลีชิงเยียนกำลังอยากจะอธิบายอะไร เฉินเป่ยที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มแล้วส่งเสียงกะทันหัน รีบตอบรับกล่าวขอบคุณ
เฉินเป่ยควงแขนหลีชิงเยียนไว้ด้านข้าง บนหน้ามีรอยยิ้มเล่นแง่ไม่ขาดสาย…
เจ้าหมอนี่…แม่งช่างสนใจแต่ตัวเองเสียจริงๆ สิ่งที่พูดออกมาตรงกับความรู้สึกของตนเองเลย
ทันใดนั้นเฉินเป่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกแก้วเหล้าขึ้นมาโดยตรง ชนแก้วไปทีหนึ่งกับเหล่าพวกพ้องด้วยความกระตือรือร้น
“มาเพื่อน ขอบคุณคำอวยพรของนายมาก!”
ทั้งสองราวกับพี่น้องกัน ดื่มขึ้นมาอย่างสนิทสนม
หลีชิงเยียนมองตาค้อน โกรธจนแทบสลบไอ้สารเลวที่สมควรตายคนนี้
หลีชิงเยียนกัดริมฝีปากแน่น ถือโอกาสตอนที่เฉินเป่ยไม่ระวัง ยื่นมือไปที่เอวของเขา จากนั้นใช้แรงบิด
“ซี๊ด…” ชั่วขณะนั้นเฉินเป่ยเจ็บจนยิงฟันออกมา
นั่นคือสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า “จุดอ่อน” เพราะเนื้อบนกระดูกซี่โครงคือจุดที่อ่อนสุด บิดขึ้นมาก็จะเจ็บที่สุด
เวลานี้ เห็นได้ชัดว่าหลีชิงเยียนแม่เสือตัวนี้อารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว จึงบิดส่วนเอวของเฉินเป่ยแน่น นั่นเรียกว่ารักยิ่งมาก ความเจ็บปวดก็ยิ่งแจ่มชัด
“เมียจ๋า เจ็บๆๆ…!” เฉินเป่ยสีหน้าดูแย่ไปในชั่วขณะนั้น รีบอ้อนวอนเต็มที่
“นายเรียกใครเป็นเมียนาย? นายพูดอีกทีหนึ่งสิ?” หลีชิงเยียนขยับมาใกล้ข้างหูของเฉินเป่ย พูดด้วยเสียงเย็นชา ขณะเดียวกันมือก็ยิ่งเพิ่มบิดแรงขึ้นอีก
เฉินเป่ยนั้นเรียกว่าเจ็บน่ะสิ แทบจะเอาชีวิตเขาไปแล้ว
“โอ๊ย…เอ่อ…ชิงเยียน ผมผิดไปแล้ว…อย่าบิดเลย…!”
หลีชิงเยียนถลึงตาใส่เขาอย่างโมโหเดือดดาล “ยังไม่ปล่อยแขนฉันออกอีก?”
เฉินเป่ยเจ็บจนไม่มีทางเลือก ได้แต่ปล่อยแขนของท่านประธานเทพธิดาออก
หลีชิงเยียนถึงไว้ชีวิตเขาแล้ว
เฉินเป่ยพยายามลูบความเจ็บที่เอวอยู่ นี่เรียกว่าข่มเหงชัดๆ
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นมีผู้ชายที่รูปร่างอ้วนคนหนึ่งถือแก้วเหล้าไว้ แทะแฮมขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งในมือ และเดินมาทางหลีชิงเยียนอย่างไม่สนใจอะไรแบบนี้
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดไร้สาระ ยืนอยู่ตรงหน้าของหลีชิงเยียนอย่างเผด็จการโดยตรง แทนที่จะพูดว่ายืนอยู่ ไม่สู้บอกว่าขวางอยู่จะดีกว่า เพราะส่วนสูงของเขาร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตร รูปร่างที่ใหญ่โตขวางทั้งตัวหลีชิงเยียนเอาไว้ตรงนั้นแล้ว
หลีชิงเยียนเงยหน้าขึ้นด้วยความมึนงง ในความเย็นยะเยือกของแววตายังมีความสงสัยนิดๆ
“หลีชิงเยียน ฉันเลื่อมใสชื่อเสียงโด่งดังของเธอมาตั้งนานแล้ว” ชายหนุ่มแทะแฮมในมืออยู่ พูดจาด้วยเสียงที่หยาบคายเผด็จการ
หลีชิงเยียนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แววตาสงสัยเล็กน้อย “คุณเป็นใครกัน?”
ดวงตาของผู้ชายตัวอ้วนจ้องหลีชิงเยียนไปตรงๆ แล้วถามกลับ “เธอไม่รู้จักฉัน?”
ความสงสัยในแววตาหลีชิงเยียนเข้มขึ้น มีความจำใจนิดๆ…นายยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร? แล้วฉันจะไปรู้ได้อย่างไรกัน?
หนุ่มอ้วนแทะแฮมเสร็จ ดื่มไวน์แดงในแก้วหมดรวดเดียว จากนั้นพูดแนะนำตนเองด้วยเสียงดังฟังชัด “หลีชิงเยียน ไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินเฮียหลงแห่งหู้ไห่รึเปล่า? เฮียหลงคนนั้นก็คือฉันเอง หลงเทียนอ้าว!”
ดวงตาหลีชิงเยียนหดตัวเล็กน้อย จ้องเขาเอาไว้…หลงเทียนอ้าว? เธอไม่คุ้นเคยกับหลงเทียนอ้าวคนนี้แต่อย่างใด แต่กลับเคยได้ยินมาบ้าง…คุณชายใหญ่ของหลงเจ๋อกรุ๊ป…ได้ยินว่าเบื้องหลังไม่สะอาดสักเท่าไร
“คุณชายหลง ไม่ทราบว่าคุณมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?” หลีชิงเยียนถามด้วยเสียงน่าดึงดูด
หลงเทียนอ้าวยื่นมือที่ทั้งมันทั้งเหม็นคาวคู่นั้นออกมา ทำท่าทางจะจับมือด้วย “ท่านประธานสาวสวยอันดับหนึ่งของหู้ไห่ที่โด่งดัง มาเถอะ วันนี้ยากจะได้เจอ พวกเราทำความรู้จักกันไว้หน่อย”
หลีชิงเยียนกวาดสายตามองมือที่เปื้อนมันแฮมข้างนั้นแวบหนึ่ง รู้สึกไม่มีทางเลี่ยงอย่างอดไม่ได้
เธอไม่ได้มีความคิดที่จะจับมือกับหลงเทียนอ้าวอยู่แล้ว จึงแค่โค้งตัวเบาๆ ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพ
พอเห็นว่าหลีชิงเยียนไม่จับมือกับตนเอง ชั่วขณะนั้นหลงเทียนอ้าวไม่พอใจอยู่บ้าง แม่งเอ๊ย ว่ากันว่าท่านประธานสาวสวยอันดับหนึ่งของหู้ไห่เย็นชา…ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง เหยดเข้! อย่าว่าแต่จับมือเลย…ฉันจะให้เธอใช้มือทั้งสองมาทำเรื่องสกปรกโสโครกพวกนั้นให้ฉันสักรอบด้วย
เทพธิดาหลีชิงเยียนสังเกตถึงสายตาที่ชั่วร้ายเช่นนี้ของหลงเทียนอ้าวได้ เธอเพ่งดวงตาแน่นขึ้น ถอยตัวไปช้าๆ เหมือนไม่อยากวุ่นวายกับเขาไปมากกว่านี้
หลงเทียนอ้าวจ้องหลีชิงเยียนด้วยสายตาร้ายกาจอย่างยิ่ง พูดจาเผด็จการ “หลีชิงเยียน วันนี้ฉันจะไม่พูดยืดยาว ช่วงนี้บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปมีแนวโน้มพัฒนาที่หัวเซี่ยได้ยอดเยี่ยมมาก ฉันสนใจอยู่มาก เธอสนใจจะร่วมงานกับฉันรึเปล่า? อย่างอื่นฉันไม่กล้าพูด แต่อยู่ที่หู้ไห่นี้ ฉันอยากได้คนก็ได้ อยากมีเงินก็มี..ขอเพียงเธอบอกมาคำเดียว ขาดเหลืออะไรฉันจะให้อันนั้น!”
หลีชิงเยียนกวาดตามองเขานิ่งๆ พูดแบบขออภัย “ขอโทษด้วยนะคะคุณชายหลง ฉันไม่สนใจค่ะ”
พูดจบหลีชิงเยียนก็หมุนตัวออกไป
เมื่อเห็นว่าหลีชิงเยียนผู้หญิงคนนี้คาดไม่ถึงจะกล้าไม่สนใจตนเอง แล้วหมุนตัวออกไปทันทีเลย? สีหน้าของหลงเทียนอ้าวดูแย่ในชั่วขณะหนึ่ง เขาหลงเทียนอ้าวอยู่ที่เมืองหู้ไห่โดยพึ่งสองหมัดจัดการเรียบไร้ศัตรู เคยโดนคนดูถูกเช่นนี้ที่ไหนกัน? ผู้หญิงคนนี้วอนหาที่ตายเสียจริง
หลงเทียนอ้าวจ้องภาพด้านหลังที่จากไปของหลีชิงเยียนด้วยสายตาหนาวเย็นและชั่วร้าย สายตาดุร้ายพยายามกวาดผ่านบนเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบนั้นของเธอหลายรอบ…แอบสาบานอยู่ในใจ…แม่งเอ๊ย หลีชิงเยียน…ไม่ช้าหรือเร็วฉันจะกดเธอไว้บนเตียง ให้เธอร้องอ้อนวอนฉัน
เวลานี้เป็นงานสโมสร ถึงแม้หลงเทียนอ้าวอยากจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ก่อกรรมทำเข็ญ แต่ยังต้องไว้หน้าหัวหน้าสโมสรสักหน่อย จึงไม่สะดวกลงมือ เพราะเหตุนี้ เขาจึงจำความแค้นกับหลีชิงเยียนเอาไว้แล้ว ขอเพียงอยู่ที่เมืองหู้ไห่ ไม่มีใครสามารถหนีไปจากเอื้อมมือของเขาหลงเทียนอ้าวได้ ไม่เคยมี
หลงเทียนอ้าวสีหน้าเขียวปัดถือแก้วเหล้าไว้ ดื่มเหล้าอึกใหญ่อย่างกลัดกลุ้ม เห็นได้ชัดว่าเขาโดนท่าทีหยิ่งยโสนั้นของหลีชิงเยียนทำให้อารมณ์เสียไม่เบา โมโหแบบไม่มีที่ระบายเชียวล่ะ
ในเวลานี้เอง ฟางเจิ้นข่ายที่ใส่ชุดสูทเรียบกริบขยับเข้ามาด้านหน้าของหลงเทียนอ้าวอย่างเงียบๆ ทันใด
“คุณชายหลง มีอะไรเหรอครับ? นี่คุณโกรธเพราะหลีชิงเยียนเหรอครับ?” ฟางเจิ้นข่ายถามแบบอึมครึมชั่วร้าย
หลงเทียนอ้าวถลึงตาใส่เขาอย่างแรง “นายนี่วอนหาที่ตายอยู่มั้ง? ทั้งที่รู้ว่าฉันโมโหเลือดขึ้นหน้าอยู่ ยังกล้ามาแส่หาเรื่อง?” หลงเทียนอ้าวทำท่าทางจะต่อยคน
ฟางเจิ้นข่ายรีบเทไวน์แดงแก้วหนึ่งให้หลงเทียนอ้าวอย่างระมัดระวัง “คุณชายหลง อย่าพึ่งโมโห…ผมกับคุณเป็นเพื่อนที่ยืนอยู่บนแนวรบเดียวกันครับ~” ฟางเจิ้นข่ายหัวเราะอย่างอึมครึมเย็นชา
“คุณชายหลง เวลานี้คุณอยากจัดการหลีชิงเยียนมากใช่มั้ยครับ?” ฟางเจิ้นข่ายถามขึ้น
หลงเทียนอ้าวทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง ในแววตามีกลิ่นอายชั่วร้ายที่หยาบคายแวบผ่าน ไม่ตอบกลับ…แสดงว่ายอมรับ
“คุณชายหลง หลีชิงเยียนคนนี้คือคนดังในสโมสร…ยังแตะต้องไม่ได้ แต่ว่า…หมารับใชของหลีชิงเยียนจัดการได้นะครับ…จัดการหมารับใชของเธอ ก็ไม่ใช่เหมือนตบหน้าหลีชิงเยียนไปด้วยเหรอ?” ฟางเจิ้นข่ายพูดเคร่งเครียด
ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของหลงเทียนอ้าวแข็งกร้าว ความโหดร้ายแวบผ่านจากในแววตาไป “หมารับใชตัวไหน?”
ฟางเจิ้นข่ายยิ่งหัวเราะเย็นชาขึ้นอีก เขาชี้ไปยังเฉินเป่ยที่อยู่ไม่ไกลนัก พูดแบบเมินเฉย “คือเขา…เขาเป็นแฟนของหลีชิงเยียน…เป็นหมาที่ซื่อสัตย์ที่สุดของหลีชิงเยียน…โดยเฉพาะผมได้ยินว่า…”
“ได้ยินว่าอะไร?” หลงเทียนอ้าวรีบถามต่อ
“ผมได้ยินว่า…คนขับรถคนนี้กับมีหลีชิงเยียนมีอะไรกันลับ…” ฟางเจิ้นข่ายพูดอย่างหม่นหมอง ในขณะเดียวกันในแววตาของเขาก็มีความอาฆาตแค้นเย็นยะเยือกที่ไม่ง่ายจะสังเกตเห็นแวบผ่านไปด้วย
“อะไรนะ?” หลงเทียนอ้าวกุมหมัดแน่น นั่นคือความโกรธแค้นที่ของดีๆ โดนหมาคาบไปกินแล้ว หลีชิงเยียนเป็นผู้หญิงที่เขาหมายตาไว้…แต่เวลานี้กลับได้ยินว่ามีผู้ชายคนอื่นมีความสัมพันธ์ลับกับหลีชิงเยียน…หลงเทียนอ้าวไม่โกรธได้อย่างไร? คนที่ไม่ได้ไปครอบครองต่างแค้นเคืองกันหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงเทียนอ้าวคนที่หยาบคายเผด็จการแบบนี้ด้วย
“คุณชายหลง โดยเฉพาะ…ผมเห็นว่าเมื่อกี้เขาเอาแต่ดูถูกคุณอยู่ตลอด เหมือนแอบพูดไม่ดีลับหลังคุณด้วย” ฟางเจิ้นข่ายยุยงต่อไป สีหน้าของเขาอึมครึมที่สุด
ขณะเดียวกันเฉินเป่ยที่อยู่ไม่ไกลนักก็กวาดสายตาผ่านเข้ามากะทันหัน ตอนที่เห็นฟางเจิ้นข่ายจ้องตนเองอยู่…ในสายตาเฉินเป่ยมีการดูถูกเหยียดหยามแวบผ่านนิดๆ…สำหรับฟางเจิ้นข่ายคนนี้…เฉินเป่ยไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา…แค่พวกต่ำต้อยตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง ยังไม่ถึงขั้นที่เฉินเป่ยต้องใส่ใจ
“คุณชายหลง คุณดูสิ…เขาเย้ยหยันคุณอีกแล้ว…” ฟางเจิ้นข่ายจับสายตาที่เยาะเย้ยคู่นั้นของเฉินเป่ยไว้ได้ พูดแต่งเติมต่อไปอีก
เวลานี้ หลงเทียนอ้าวกุมหมัดไว้แน่น สีหน้าแทบจะโมโหเดือดดาลดุร้าย สมควรตาย ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ชายที่กระจอกธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง…ชายชู้นอกคอกที่ต่ำทรามของหลีชิงเยียนคนนั้น คาดไม่ถึงจะกล้าเหยียดหยามตนเองเช่นนี้?
พอเห็นว่าบนหน้าเฉินเป่ยยังมีรอยยิ้มเล่นแง่อยู่อีก ไฟโกรธในใจหลงเทียนอ้าวก็โหมลุกไหม้ขึ้นมา คนสารเลวที่สมควรตายมีสิทธิ์อะไร เขามีสิทธิ์อะไรมาสะใจขนาดนี้
หลงเทียนอ้าวอิจฉาเกลียดชังอย่างโจ่งแจ้ง ความริษยาและความเกลียดชังแปรเปลี่ยนเป็นไฟโกรธลุกโชน
หลงเทียนอ้าวกุมหมัดแน่น สีหน้าเคียดแค้นขุ่นเคือง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ยืดร่างกายที่สูงใหญ่ขึ้นทันใด จากนั้นพุ่งเข้าไปยังเฉินเป่ยอย่างเป็นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
หลงเทียนอ้าวใช้ร่างกายที่สูงใหญ่บึกบึนกระแทกไปยังเฉินเป่ยอย่างแรง พลังมหาศาลไร้ที่เปรียบ
“ปึง!” เฉินเป่ยโดนชนจนถอยออกไปหลายก้าว เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จ้องหลงเทียนอ้าวแบบมีเลศนัย
“เหยดแม่ง! แกเดินไม่แหกตาดูรึไง? ไอ้โง่ ทำเหล้าหกใส่เสื้อฉันหมดเลย เรื่องนี้แกจะชดใช้ยังไง?” หลงเทียนอ้าวสีหน้าเดือดดาลอย่างยิ่ง ตะคอกออกมาโดยตรง
เห็นเพียงบนสูทที่แสนแพงตัวนั้นของเขาเปื้อนไปด้วยไวน์แดงแถบหนึ่ง…แต่นี่เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่เขาเทราดบนเสื้อเอง…อย่างมากก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างอย่างหนึ่ง ข้ออ้างที่เขาใช้มาต่อยคนเท่านั้น งานเลี้ยงวันนี้มีผลกระทบยิ่งใหญ่ หลงเทียนอ้าวไม่ได้โง่ รู้ดีว่าไม่สามารถลงมือแบบมั่วซั่วได้…ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะเสียเปรียบ…แต่ถ้า…มีข้ออ้างในการลงมือ แบบนั้นเขาก็สามารถทำได้อย่างเปิดเผย
เฉินเป่ยเห็นรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าของเขานั้น ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองหลงเทียนอ้าวนิ่งๆ แบบนี้
หลงเทียนอ้าวเห็นเฉินเป่ยไม่สนใจ แม้กระทั่งเหยียดหยามนิดๆ สีหน้ายิ่งโกรธเคืองเข้าไปใหญ่ พุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อของเฉินเป่ยไว้ทันที
“เหยดเข้! แกรู้ไหมว่าเสื้อตัวนี้ของฉันราคาเท่าไร? แกแม่งดันกล้ามาทำไวน์หกใส่บนตัวฉันได้? ไอ้โง่อย่างแกจะชดใช้ได้เหรอ?” สีหน้าของหลงเทียนอ้าวโกรธเคืองน่ากลัวอย่างยิ่ง
เหล่าแขกทั้งหมดในงานเห็นฉากนี้เข้า ชั่วขณะนั้นต่างสีหน้าเปลี่ยน…ผู้คนห้อมล้อมอยู่รอบด้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันเงียบๆ
“ทำไมคนคนนี้ถึงหาเรื่องคุณชายหลงเทียนอ้าวแล้วล่ะ? หลงเทียนอ้าวเป็นพวกปีศาจที่มีความแค้นนิดเดียวก็แก้แค้นกลับหนักมากเลยนะ…”
“เดิมทีหลงเทียนอ้าวไม่ใช่คนสะอาดอะไร…พ่อเขาเป็นพวกในวงการมืด… แก๊งหลงหยวนที่ยิ่งใหญ่ของเมืองหู้ไห่ในตอนนั้นคืออิทธิพลของพ่อเขา…ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นหลงเจ๋อกรุ๊ปก็เท่านั้นเอง…”
“หาเรื่องหลงเทียนอ้าวเข้า กลัวว่าพ่อคนนี้คงเจอเรื่องยุ่งยากมากแน่…” “ตอนนั้นคุณชายหลงทำผิด คดีฆ่าคนที่เมืองหู้ไห่ นับยังไงก็นับไม่หมด…”
ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบด้านยังติดตามฉากนี้กันไม่ขยับ…เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนกังวลต่อชีวิตในอีกสักครู่หนึ่งของเฉินเป่ย…ยั่วโมโหหลงเทียนอ้าวเข้าแล้ว ย่อมถูกกำหนดว่าไม่รอดจากความตาย…
เฉินเป่ยมองเขาอย่างเมินเฉยเรียบนิ่งอยู่แบบนี้ จากนั้นค่อยๆ พูดว่า “ถ้าแกไม่อยากตาย ก็ปล่อยมือออกซะ…แบบนี้แกยังจะอยู่ไปได้อีกนานหน่อย…”
ซู่! พอได้ยินคำนี้ ผู้คนในที่เกิดเหตุมองหน้าซึ่งกันและกัน ทุกคนตะลึงค้างแล้ว ผู้คนไม่ตอบสนองเข้ามาทั้งหมด นี่มันช่าง…
“คุณพระ…เจ้าหมอนี่…เจ้าหมอนี่ไม่ใช่กำลังหาที่ตายเหรอ? กล้าพูดจาแบบนี้กับคุณชายหลง?”
“พระเจ้า…วันนี้กลัวว่าจะได้เห็นเลือดเข้าแล้ว…”
เวลานี้สายตาของผู้คนที่มองทางเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความเห็นใจและความสงสาร…นั่นคือสายตาที่มองคนใกล้ตาย…ในสายตาของผู้คน…เฉินเป่ยคงมีชีวิตได้อีกไม่นาน…เพราะเขาหาเรื่องหลงเทียนอ้าวเข้าแล้ว
แม้กระทั่งมีสุภาพบุรุษที่นับถือคริสต์คนหนึ่งยังทำมือสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า…ขอพรจากพระเจ้า วันนี้อย่าให้เกิดการนองเลือดเลย
มุมหนึ่งของห้องงานเลี้ยง ฟางเจิ้นข่ายจ้องฉากนี้ด้วยสายตาอึมครึมลุ่มลึก มุมปากเผยยิ้มชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัว…นั่นคือความสุขของการแก้แค้นอย่างหนึ่ง
ที่ไม่ไกลนัก ประธานของเฟยหยางกรุ๊ป——เซวอี้กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือแก้วทรงสูง ส่ายแก้วเบาๆ พลางมองฉากนี้ด้วยความสนใจ
ความขัดแย้งระหว่างเฉินเป่ยและหลงเทียนอ้าวดึงดูดสายตาของผู้คนในงาน…แม้กระทั่งโดยรอบยังมีคนเข้ามาห้อมล้อมไม่ขาดสาย ต่างมุงดูสถานการณ์ตรงนี้ด้วยความสงสัยเหมือนดูละคร…
ตอนแรกท่านประธานเทพธิดาหลีชิงเยียนพูดคุยกับเพื่อนในวงการธุรกิจอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเห็นว่าผู้คนเข้าไปรวมตัวกันที่จุดหนึ่งไม่หยุด…ท่านประธานเทพธิดาทำหน้าตกใจ ถือแก้วไวน์ไว้ เดินเข้าไปแบบอยากรู้อยากเห็น…