สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 615
บทที่ 615 หวั่นไหวชั่วครู่
จางจ้านสงสัยในใจอย่างหนัก ในสายตาเขา ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสห้ามไว้ ต่อสู้ไปสักพัก ตัวเองคงจะจัดการเจ้าคนรนหาที่ตายนั่นได้แล้ว
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ผู้อาวุโสจะหันหัวมามองจางจ้าน และพูดอย่างระมัดระวังด้วยดวงตามีนัยยะว่า “นายน้อย…เมื่อกี้…”
ผู้อาวุโสพูดอึกอัก ก่อนจะไม่พูดอะไรอีก
“ทำไมหรอครับ ผู้อาวุโส?” จางจ้านขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจมันเรื่องอะไรกันแน่ ทำให้ผู้อาวุโสที่ผ่านอะไรมามากมายเปลี่ยนเป็นระมัดระวังขนาดนี้!
“ผู้ชายคนนั้น…ผมมองเขาไม่ออก ไม่รู้ฝีมือเขาเลย…” ผู้อาวุโสถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนว่า
คำพูดนี้ของผู้อาวุโสทำให้จางจ้านสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าตะลึงแสดงถึงความสงสัย!
“ผู้อาวุโส อย่าล้อเล่นกับผมสิ ด้วยฝีมือของท่าน ทั่วทั้งหู้ไห่แทบไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้กับท่านแล้วนะ…” จางจ้านพูดเสียงเครียด
ผู้อาวุโสกลับถอนหายใจยาวพลางว่า “นายน้อย ผมไม่ได้ล้อเล่นครับ เมื่อกี้ผมไม่มั่นใจเลยสักนิด…”
“อะไรนะ? !” จางจ้านสีหน้าชะงักกึก! ศึกเมื่อกี้ผู้อาวุโสไม่มั่นใจเลย? ! เป็นไปได้ยังไง! ! ฝีมือผู้อาวุโสน่ากลัวมาก รังสีอำมหิตร้ายกาจ ในโลกนี้ยังมีการต่อสู้ที่ผู้อาวุโสไม่มั่นใจอีกหรือไง? !
“ผู้อาวุโส พูดโอเวอร์ไปหรือเปล่าครับ? เจ้านั่นก็แค่มดตัวหนึ่ง ต่อให้ผมคนเดียวก็ฆ่ามันได้แล้ว!” จางจ้านพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น มันเป็นรังสีอำมหิตชนิดหนึ่ง
ผู้อาวุโสส่ายหน้าช้าๆ “นายน้อย อย่าประมาทศัตรู ฝีมือเอ๋อตงเฉินลึกลับประหลาดนัก ไม่สามารถคาดคะเนฝีมือได้เลย..อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นยิ่งทำให้ผมขาดความมั่นใจไปใหญ่”
จางจ้านสีหน้าชะงัก “ผู้หญิงเมื่อกี้? แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเอง…น่ากลัวตรงไหนกัน?” จางจ้านพูดอย่างไม่ยี่หระ แค่ฝีดาบในมือเขาก็ฆ่าได้หมดแล้ว!
ผู้อาวุโสถอนหายใจยาว คล้ายกับผิดหวังในความหยิ่งทระนงของนายน้อย
“นายน้อย เหนือฟ้ายังมีฟ้า…เหนือคนยังมีคน..ฝีมือที่ผู้หญิงคนนั้นแสดงออกมาดูเป็นวิถีทหาร…ผมว่าเราต้องวางแผนกันอีกยาว” ผู้อาวุโสพูดด้วยแววตาครุ่นคิด
จางจ้านสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผู้อาวุโส เขายกดาบยาวขึ้นมา สองขาแข็งเกร็ง ทั้งร่างพุ่งทะยานขึ้นไปฟ้า ก่อนไปหยุดในคฤหาสน์…
ผู้อาวุโสมองไปในความว่างเปล่า และถอนหายใจอย่างหน่ายใจออกมาหนึ่งที…
….
รถสปอร์ตแล่นไปตามทาง เฉินเป่ยกับซูเหลยไม่ได้พูดอะไรกันเลย ทั้งคู่พร้อมใจกันเงียบ
เฉินเป่ยนั่งที่นั่งด้านหลัง และหลับตาพักผ่อน ผ่านไปสักพักเขาถึงลืมตาขึ้น มองไปนอกหน้าต่าง สายตามีแววครุ่นคิด
เพียงแต่ว่า พอถึงฉากเมื่อกี้ เขาอดเสียดายไม่ได้…ถ้าไม่ใช่เพราะซูเหลยปรากฎตัว ศึกนั้น…เขาต้องโจมตีแน่ ต่อให้ไม่สามารถฆ่าจางจ้านได้ ก็ทำมันบาดเจ็บสาหัสได้แน่! และยังคนใช้เก่าแก่บ้านจางคนนั้นอีก…อายุเกือบร้อยแล้วยังมีพลังทำลายล้างเก่งกาจแบบนี้การที่มีคนเก่งระดับนี้หลบซ่อนตัวอยู่ในหู้ไห่ ต่อไปจะกลายเป็นอันตรายแน่…
“ทำไมมาห้ามผม…” เฉินเป่ยถาม
“ประธานหลีบอกน่ะ เธออยากให้นายรีบกลับไป…” ซูเหลยอึ้งเล็กน้อย เฉินเป่ยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ซูเหลยใจสั่นสะท้าน ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่รู้ฐานะของเฉินเป่ยแล้ว ซูเหลยก็ไม่มีท่าทีเหมือนก่อนอีกเลย…ต่อหน้าราชาหลง ซูเหลยไหนเลยหาญกล้าบังอาจ…
“เธอ? เธอเจอเรื่องยุ่งยากอะไรหรอ?” เฉินเป่ยถามอย่างคิ้วขมวด
“เปล่า ประธานหลีแค่อยากให้นายกลับไป ไม่อยากให้นายอยู่ข้างนอกนาน แล้วไปทำเรื่องอะไรอีก…” ซูเหลยอธิบาย
เฉินเป่ยรับคำ เอนหลังพิงที่นั่งด้านหลัง หลับตาลงอย่างสบายๆ มุมปากยิ้มอย่างมีเลศนัย จนดูเหมือนยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ พลางพึมพำไม่หยุด
สุดท้ายซูเหลยที่ขับรถอยู่ด้านหน้า ได้ยินคำพูดของเฉินเป่ยเข้า เธอเกือบทำเท้าที่เหยียบคันเร่งหลุด…
พอฟังละเอียดแล้วคือ “ม้าพยศตัวนี้ ตกกลางคืนเหงาขึ้นมาเลยคิดถึงฉันแล้วสิ ถึงได้รีบร้อนให้ฉันกลับไป…”
ซูเหลยเหงื่อตก ประธานสาวแสนเย็นชาเลื่องชือของเมืองหู้ไห่กลายเป็นแบบนี้จากปากหมอนี่…ถ้าคำพูดนี้เล็ดรอดไปเข้าหูประธานหลีเข้า ประธานหลีต้องปรี๊ดแตกแน่!
….
ตกเย็น เฉินเป่ยนั่งอยู่ในห้องทำงาน เขากำลังเล่นเกมส์อย่างสบายๆ ทันใดนั้นมีโทรศัพท์โทรเข้ามา
เฉินเป่ยปรายตามอง หน้าจอมือถือโชว์เบอร์ที่หาที่มาไม่ได้ เฉินเป่ยหรี่ตามอง ประกายตาวาบขึ้น ถึงหยิบมือถือมารับสาย
“เจ้าหนู คิดถึงฉันไหม?” ปลายสายมีเสียงคนแก่คุ้นหูเข้ามา
พอเฉินเป่ยได้ยินเสียงนั่น สีหน้าเย็นชาและแววตาระแวงหายวับ เขาหัวเราะว่า “ตาแก่นี่ ไม่มีอะไรทำไม่ใช้เบอร์มือถือตัวเองโทร กลับใช้เบอร์เน็ตโทรมา กำลังปฏิบัติภารกิจหรือไง?”
คนทางปลายสายเฉินเป่ยคุ้นเคยดี ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเพราะหัวหน้าคนนี้ช่วยเหลือตอนที่เขาพึ่งออกจากโรงพัก
“ที่หน้าโรงพัก ก็ไม่สะดวกจะฟื้นความหลังกับนาย ฉันเองก็มีภารกิจต้องทำ พอช่วยนายออกมาก็รีบกลับไปแล้ว” หัวหน้าหัวเราะร่วนพลางว่า “เวลาพิเศษน่ะ ไม่สามารถบอกตำแหน่งของฉันได้ มันเป็นกฎ นายรู้น่า”
“จะมาฟื้นความหลังดื่มเหล้ากับฉันทางโทรศัพท์หรือไง?” เฉินเป่ยหัวเราะ
“แน่นอนว่าไม่มีทาง ฉันจะให้ซือโก้มาเชิญนายไปทานข้าว คิดซะว่ารื้อฟื้นความหลังแทนฉัน” หัวหน้าพูด “หลานสาวฉันคนนี้ เจิงซือโก้ เป็นดวงใจของฉัน ฉันให้เธอเชิญนายไปทานข้าว ถือว่าให้เกียรตินายมากแล้วนะ”
“หลานสาวนาย” เฉินเป่ยหรี่ตาครุ่นคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงหญิงสาวที่ยืนข้างหัวหน้าเมื่อก่อน เขาเบ้ปาก
“ตาแก่ คิดว่าฉันไม่รู้ว่านายคิดอะไรหรือไง ฉันมีครอบครัวแล้ว มุขนี้ไม่มีประโยชน์!”
“ฮะฮะฮะ….” พอเห็นเฉินเป่ยมองแผนการของตนออก หัวหน้าหัวเราะอย่างเก้อเขิน “หลานสาวฉันคนนี้ขี้เล่นจะตาย กำลังขาดคนมาคุมเธอพอดี ฉันคิดว่าแบบนายนี่เหมาะเลย ให้เธออยู่กับนายไม่ขาดทุนหรอก…”
“เวร…” เฉินเป่ยอึ้ง ก่อนสบถคำออกมา “อยู่มาจนป่านนี้แล้ว พึ่งเคยเจอคนพยายามยกหลานสาวให้คนอื่นอย่างนายเป็นครั้งแรกนี่แหละ…”
เฉินเป่ยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกน่ากลัว เขาพอเข้าใจตาแก่นี่อยู่บ้าง เจ้าคิดเจ้าวางแผน ไม่ยอมทำการค้าขาดทุนแน่ ตัวเขาเองต่างหากน่าจะเสียเปรียบ…
“ถ้าฉันคำนวณเวลาไม่ผิดล่ะก็ เธอน่าจะใกล้ถึงบริษัทพวกนายแล้ว ไม่พูดละ รอฉันกลับมา วันไหนว่างๆจะไปเยี่ยมนายละกัน…”
หัวหน้าพูดจบ ก็วางสายไป
เฉินเป่ยกำมือถือสีหน้าอึ้ง เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเอง…โดนแกงซะแล้ว…
และวางสายไปได้ไม่นาน โทรศัพท์ห้องทำงานดังขึ้น เฉินเป่ยรับสายขึ้น ยามโทรขึ้นมา บอกว่ามีผู้หญิงมาหาเขาที่ด้านล่าง
“แม่งเอ๊ย!” เฉินเป่ยสบถออกมาทันที เขาโดนตาแก่นั่นเล่นงานเข้าให้แล้วจริงด้วย!
….
หน้าประตูตึกใหญ่ตระกูลหลี รถสปอร์ตMarston Martinสีแดงเพลิงคันหนึ่งมีผู้หญิงร่างอรชรผิวขาวในชุดกระโปรงแดงคนหนึ่งแนบพิงอยู่ ดูเหมาะกับรถแข่งคันนี้มาก
ผู้หญิงคนนี้ยืนรอที่ใต้ตึกพักหนึ่ง ใบหน้างามเริ่มปรากฏความหงุดหงิด “ทำไมยังไม่มาอีก? คุณปู่คงไม่ได้หลอกเราหรอกนะ?”
เธอมองไปรอบด้านซักครู่ จนไปหยุดสายตาลงที่ลิฟท์ในห้องโถงตึกตระกูลหลี และเห็นผู้ชายท่าทางเลอะเทอะคนหนึ่งปากคาบบุหรี่เดินออกมา
“ทำไมพึ่งมาล่ะ?” สาวน้อยมองเฉินเป่ยอย่างกล่าวโทษเล็กน้อย
“โห โอเคนี่ เปลี่ยนรถอีกแล้ว” เฉินเป่ยมองประเมินรถแข่งMarston Martin สีหน้ามีแววตกใจ แต่แววตากลับนิ่งเฉยไม่มีอะไรเลย
“เหอะ มีอะไรล่ะ รถในโรงรถที่บ้านฉันมีเยอะจะตายไป…” เจิงซือโก้เชิดคางเธออย่างเย่อหยิ่ง เหมือนกับการชมเชยของเฉินเป่ยทำให้เธอภูมิใจอะไรแบบนั้น
สุดท้ายเธอไม่คิดเลยว่า เฉินเป่ยจะพยักหน้าพยักเพยิดตามพลางว่า “ก็จริงนะ ไม่ได้เป็นรถหรูอะไรนัก ระดับประมาณหนึ่งเท่านั้นเอง”
เจิงซือโก้ปรายตาสำรวจเฉินเป่ย ดวงตางามฉายแววเหยียดหยาม การแต่งตัวของเฉินเป่ย ขนาดแค่เครื่องแต่งตัวเล็กๆของรถแข่งยังซื้อไม่ไหวเลย กลับพูดจาเหิมเกิรมถึงขนาดนี้
เธอคิดยังไงก็คิดไม่ตก ผู้ชายแบบนี้เนี่ยนะทำให้คุณปู่ของเธอยอมทิ้งงานที่ไม่ว่าจะทำอยู่หรืออยู่ไกลแค่ไหน ก็จะต้องมาช่วยให้ได้ ในความทรงจำของเธอ ต่อให้ตอนเด็กๆเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส คุรปู่ยังไม่ยอมละทิ้งภารกิจมาดูใจเธอสักนิดเลย
“เอาล่ะ งั้นนายก็ไปกับฉันดีๆละกัน” เจิงซือโก้เปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง
พอเฉินเป่ยขึ้นไปนั่งด้วย เจิงซือโก้เหยียบคันเร่ง เสียงแตรรถแข่งMarston Martinดังลั่น ก่อนจะขับออกไปข้างนอก…
ห้องประธานกรรมการ ตึกใหญ่ตระกูลหลี
หลีชิงเยียนยืนอยู่หน้ากระจก เธอสองมือกอดอก มองดูเฉินเป่ยเดินไปขึ้นรถแข่งMarston Martin และมองรถแข่งสีแดงเพลงค่อยๆจากไป ใบหน้างามฉายแววเย็นเยียบขึ้นวูบหนึ่ง
เจ้าหมอนี่ เธอพึ่งให้ซูเหลยไปพาเขากลับมา แล้วนี่เขากลับออกไปอีก…ดูเหมือนจะไปกับผู้หญิงคนหนึ่งด้วย?
……
“นายบอกสิ จะกินอะไร?” เจิงซือโก้ถาม
เฉินเป้ยหัวเราะบอก “กินของอร่อย ก็ต้องไปถนนของอร่อยของเมืองหู้ไห่สิ”
“หา?” เจิงซือโก้อึ้งเล็กน้อย…ถนนของอร่อยของเมืองหู้ไห่? ทำไมเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย? แต่ในเมื่อเฉินเป่ยเอ่ยปากแล้ว เจิงซือก็ก็จะคิดจะไปดูสักหน่อยให้หายสงสัย…
ดังนั้นรถแข่งแล่นไปจนถึงถนนของอร่อยสายหนึ่งของเมืองหู้ไห่
ช่วงเย็นเป็นเวลาที่ธุรกิจของถนนของอร่อยครึกครื้นที่สุด ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็น แสงไฟระยิบระยับ… กลิ่นหอมของของอร่อยกำจายไปทั่วท้องฟ้า คนเดินกันขวักไขว่…
“นี่คือถนนของอร่อยที่นายว่า?” เจิงซือโก้มองถนนของอร่อยตรงหน้าพลางมุมปากกระตุก
เจิงซือโก้ยังไงก็คิดไม่ถึงว่า ถนนที่มีคนเดินแออัดไปหมดแบบนี้จะเป็นถนนของอร่อยในปากผู้ชายคนนี้ ของที่ขายอยู่ก็แค่ของกินเล่นธรรมดา ไม่มีอะไรดูแปลกพิสดารซักหน่อย
“แน่นอน ของกินมากมายในถนนของอร่อยนี่เป็นของดีทั้งนั้น” เฉินเป่ยพูดพลางพาเจิงซือโก้เดินไปที่แผงลอยปิ้งย่างแผงหนึ่ง และสั่งแพะเสียบไม้ย่างหลายไม้
“นี่กินได้หรอ?” เจิงซือโก้มองเนื้อแพะเสียบไม้ย่างกลิ่นหอมประหลาดในมือ สีหน้ายิ่งสงสัยหนักขึ้น เนื้อแพะย่างที่เธอเคยกินก่อนนี้ที่ร้านอาหารภาคตะวันตกพิเศษไม่มันเท่าของแผงลอยนี่ และบนเนื้อแพะย่างนี้กลับใส่เครื่องเทศที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย…
“เนื้อแพะย่างเสียบไม้ไม่ใช่อาหารชั้นสูงอะไร ของกินเล่นของประชาชน ก็ต้องมากินในที่แบบนี้ถึงจะยิ่งดีสิ…” เฉินเป่ยเหมือนดูออกถึงความสงสัยของเจิงซือโก้ เขาหยิบไม้หนึ่งขึ้นกัดกินคำใหญ่
พริบตาเดียว เนื้อแพะย่างเสียบไม้ก็โดนเฉินเป่ยจัดการลงท้องหมดไปสองไม้เรียบร้อย
เจิงซือโก้เห็นเนื้อแพะย่างในมือตนโดนเฉินเป่ยจัดการหายไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา ก็ทำใจกล้าอ้าปากกัดมาคำหนึ่ง…
พอเนื้อเข้าปาก ดวงตางามของเจิงซือโก้มีแววตะลึง..
จากนั้นเจิงซือโก้เริ่มกินด้วยความเร็ว แทบไม่น้อยหน้าเฉินเป่ยเลย…
เห็นท่าทีกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว เฉินเป่ยยิ้มมุมปาก
ปลายอีกด้านของถนนของอร่อย ผู้ชายหลายสิบคนในชุดทันสมัยเดินมาท่ามกลางผู้คน
ชายคนนำเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใส่หมวกเบสบอล ดูมีออร่ามากเลย
“นี่ พี่ใหญ่ ดูเร็ว…ตรงนั้น…มีสาวสวยด้วย…” ชายหลายคนด้านหลังเขาเขยิบมาตรงหน้าเขา พลางชี้ไปที่ไม่ไกลนัก
หยวนเปียวมองตามที่ลูกน้องชี้ไป สิ่งที่ปะทะเข้าสายตาคือสาวงามระดับท็อปคนหนึ่ง…. ! ออร่านั่นแค่เห็นก็ทำให้เขาใจกระตุกแล้ว!