สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 626
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 626 งานเลี้ยง
เฉินเป่ยกดหลีชิงเยียนเอาไว้กับโต๊ะทำงาน เขาใช้แรงปิดปากของเธอ ไม่ให้เธอพูดอะไรออกมา
ทั้งสองคนนัวเนียกันอยูพักใหญ่ หลีชิงเยียนหน้าแดงระเรื่อ แต่มันแดงเพราะความโกรธ
หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังเล่นวิดีโอหนังรักอันร้อนแรง เสียงดังออกมาจากลำโพงอย่างต่อเนื่อง
และในห้องทำงาน สงครามของคนจริงก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลีชิงเยียนโดนเฉินเป่ยกดขี่อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเธอจึงกัดข้างปากของเฉินเป่ยด้วยความโมโห
กลิ่นคาวเลือดแผ่ซ่านไปทั่ว แต่มันกลับทำให้เฉินเป่ยเลือดร้อยขึ้นอีก เธอถ่างขาของหลีชิงเยียนออก และบุกรุกเข้าไปใต้กระโปรงของเธออย่างเอาแต่ใจ
ตอนนี้หลีชิงเยียนตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
เธอใช้ทั้งสองมือปัดป่าย สีหน้าของเธอเหมือนกำลังเสียสติ
“ไอ้เวร จะทำอะไรน่ะ” หลีชิงเยียนใช้แรงขัดขืน เธอใช้ขาเตะและดันเฉินเป่ย ส้นสูงของเธอหลุดออกไปแล้ว ขาทั้งสองข้างเตะไปที่เฉินเป่ยและพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้าย
เฉินเป่ยแสยะยิ้มด้วยความโมโห “เมื่อกี้คุณดื้อดึงมากไม่ใช่เหรอ จะแฉผมไม่ใช่หรือไง ในเมื่อวันนี้จะต้องตาย ผมก็ขอทำอะไรเกินเลยก่อนที่จะต้องอับอาย”
“อย่านะไอ้เวร ถ้านายกล้าเตะต้องตัวฉัน ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่!” หลีชิงเยียนพูดด้วยความโมโห เธอหวาดกลัวจริงๆ ตอนนี้เฉินเป่ยไม่ฟังอะไรจนดูน่ากลัว เธอไม่สามารถขัดขืนได้เลย
เฉินเป่ยยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ “ผู้หญิงน่ารังเกียจ ยังกล้าปากแข็งอีกนะ” พูดพลางเขาก็ทำอะไรตามอำเภอใจมากขึ้นไปอีก
หลีชิงเยียนสั่นไปทั้งตัว เธอรู้สึกเหมือนโดนมดกัด ตอนนี้เธอทั้งอายและโมโห
“อย่า ขอร้องล่ะ” หลีชิงเยียนพยายามร้องขอ ตอนนี้เธอหวาดกลัวและตัวสั่นไปหมด
เฉินเป่ยยิ้มกวนประสาท “คุณพูดอะไร ผมฟังไม่ค่อยได้ยิน”
หลีชิงเยียนกัดฟันกรอด ตอนนี้เธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ตอนแรกเธอต้องการใช้โอกาสนี้เอาคืนเฉินเป่ย แต่เธอคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะบังอาจและน่ารังเกียจขนาดนี้ กล้าทำแบบนี้กับเธอ ตอนนี้เธอกลายเป็นเหยื่อของเขาไปแล้ว จึงจำเป็นต้องยอมแพ้
“อย่านะ ปล่อยฉัน..” น้ำเสียงของหลีชิงเยียนสั่นระรัว และเต็มไปด้วยความอับอาย
เฉินเป่ยยืนหน้าไปข้างหูเธอ จากนั้นก็พูดอย่างร้ายกาจว่า “งั้นคุณคิดจะแฉผมอีกไหม”
หลีชิงเยียนกัดฟันกรอด จากนั้นเธอจึงฝืนใจพูดออกมาว่า “ไม่..”
“งั้น ไหนลองเรียกผมว่าพี่ให้ฟังหน่อยสิ” เฉินเป่ยยิ้มกวนประสาทแล้วพูดขู่ออกมา รอยยิ้มของเขาเหมือนกับพวกอันธพาล
“นาย!” หลีชิงเยียนโกรธฟึดฟัด นี่มันน่าอายมาก
เฉินเป่ยยิ้มกวนประสาทขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ เธอก็ประกบปากของเธออย่างแรง
หลีชิงเยียนขัดขืนจนตัวสั่น แต่ขัดขืนอยู่นานเธอจึงหมดแรงสู้ เธอโดนเขากดตัวเอาไว้ ราวกับลูกกวางที่กำลังเหม่อลอยที่ปล่อยให้หมาป่าทำอะไรตามอำเภอใจ
ทั้งสองนัวเนียกันอยู่บนโต๊ะทำงาน กอดรัดฟัดเหวี่ยงราวกับหนังรักเรื่องหนึ่ง
ทันใดนั้นประตูห้องทำงานถูกผลักออกเบาๆ
ซุนเจียเจียยืนอยู่หน้าประตู เธอถือแก้วกาแฟและยืนมองภาพนั้นอย่างอึ้งๆ เดิมทีเธอจะเอากาแฟมาให้เฉินเป่ย แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อมาถึงก็เจอกับภาพบาดตาบาดใจ
“เพล้ง” แก้วกาแฟในมือของเธอหล่นลงบนพื้น
เฉินเป่ยได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้น เขาเห็นซุนเจียเจียยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงาน
สีหน้าของเธอซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำ เธอไม่ได้พูดอะไรและหันหลังเดินออกไป
เฉินเป่ยอึ้งไป เขารีบผละออกจากตัวของหลีชิงเยียน
“ขอโทษนะชิงเยียน เมื่อกี้เลขาของเธอคงคิดว่าเราทำอะไรเกินเลยกันไปแล้ว” เฉินเป่ยยิ้มกวนประสาท
พูดจบเขาก็รีบเดินตามไป
ผมของหลีชิงเยียนยุ่งเหยิง สภาพของเธอดูไม่ปกติ เธอจัดการห้องทำงานของเฉินเป่ยจนเละเทะไปหมด จากนั้นก็ตัวอ่อนปวกเปียกเดินออกไปจากห้องทำงานของเฉินเป่ย
ซุนเจียเจียกระทืบส้นสูงเดินกลับไปในห้องทำงานของตัวเอง เธอล็อกประตูทันที
เฉินเป่ยมาถึงหน้าห้องทำงาน เขาเคาะประตูแล้วพูดว่า “เปิดประตูหน่อยเลขาซุน”
ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน
เฉินเป่ยเคาะประตูอีก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
เฉินเป่ยไม่รู้จะทำอย่างไร เขาตัดสินใจใช้วิธีพิเศษ เขาปลดล็อกประตูจากข้างนอกและผลักเข้าไป
ตอนนี้ซุนเจียเจียนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สีหน้าของเธอตกตะลึง การที่เป็นเลขาของหลีชิงเยียน เธอรู้ความสัมพันธ์ของหลีชิงเยียนกับเฉินเป่ยดีกว่าใคร แต่เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าประธานเทพธิดาจะทำเรื่องแบบนั้นกลางวันแสกๆ
เฉินเป่ยเข้ามาในห้องทำงานและปิดประตูลง
“เจียเจีย เมื่อกี้…” เฉินเป่ยลังเลเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ซุนเจียเจียกะพริบตา “เมื่อกี้ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” น้ำเสียงของเธอโมโหและหึงอย่างเห็นได้ชัด
เฉินเป่ยยื่นหน้าไปตรงหน้าเธอ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจียเจีย เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อกี้ฉันแค่ปรึกษาเรื่องธุรกิจกับประธานหลี…”
เฉินเป่ยอธิบายช้าๆ เขาปรึกษาธุรกิจกับหลีชิงเยียนจริงๆ แต่ว่าเป็นเพียงธุรกิจไม่กี่ร้อยล้าน เมื่อครู่เขาแค่หัวร้อน และอยากสั่งสอนเธอแค่นั้น แต่คิดไม่ถึงว่าซุนเจียเจียจะบังเอิญมาเห็น
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนายสองคนจะจัดงานเลี้ยงไหม” ซุนเจียเจียไม่เชื่อ เธอมองเฉินเป่ย ตอนนี้เธอน้อยใจเป็นอย่างมาก สีหน้าของเธอห่อเหี่ยวจนน่าสงสาร
เฉินเป่ยมืดแปดด้าน เธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เพราะภาพเมื่อครู่มันค่อนข้างที่จะอธิบายยาก
เขาตัดสินใจโน้มเข้าไปหาซุนเจียเจีย และรวบร่างบางเข้ามากอดและนั่งลงบนเก้าอี้
ตัวของซุนเจียเจียโดนเฉินเป่ยกอดเอาไว้ เธอนั่งอยู่บนขาของเฉินเป่ย ตอนแรกเธอดิ้นเล็กน้อย
แต่เฉินเป่ยไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเธอ แถมยังกอดเธอแน่นขึ้นเพื่อสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธอ ตอนนี้เฉินเป่ยรู้สึกถึงความอ่อนโยน
“เจียเจีย อย่าโกรธเลยนะ…” เฉินเป่ยกอดและพูดง้อเธออย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังง้อผู้หญิงซึ่งเป็นที่รัก
เมื่อได้ยินเสียงของเฉินเป่ย ร่างกายของซุนเจียเจียก็อ่อนยวบ และให้เฉินเป่ยกอดตามอำเภอใจ
ซุนเจียเจียสีหน้าห่อเหี่ยว แววตาคู่สวยแดงก่ำเล็กน้อย “นายกับหลีชิงเยียนเป็นอะไรกัน” เสียงของเธอเบาราวกับไร้ความกล้า ขนาดตัวเธอเองยังรู้สึกประหลาดใจ ทำไมเธอถึงแคร์เฉินเป่ยขนาดนี้ ทำไมถึงแคร์เรื่องที่เฉินเป่ยอยู่กับผู้หญิงคนอื่น
ในความเป็นจริง ทำไมซุนเจียเจียจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียน แต่เธอก็ยังดึงดันถามออกไป เหมือนกับกำลังกลั่นแกล้งตัวเอง
เฉินเป่ยเห็นเช่นนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปช้าๆ “เจียเจีย อย่าโกรธเลยนะ ผมขอจูบหน่อยนะ”
ซุนเจียเจียย่นปากยู่บนพึมพำ “อย่า…อื้อออ” เธอยังไม่ทันได้พูดจบ เฉินเป่ยก็ปิดปากเธอทันที
ตอนแรกซุนเจียเจียยังต่อต้าน แต่เมื่อเฉินเป่ยเล้าโลมไม่กี่นาที ร่างกายของเธอก็อ่อนปวกเปียก
“เฉินเป่ย อื้อออ อย่าจูบ เย็นนี้ฉันต้องไปร่วมงานเลี้ยงของเพื่อนสนิท นายจูบจนเครื่องสำอางของฉันเลอะหมดแล้ว” ตัวของซุนเจียเจียสั่นเบาๆ มือเล็กผลักไปที่หน้าอกของเฉินเป่ย เพื่อที่จะผละออกจากเขา
เฉินเป่ยเห็นท่าทางที่มีเสน่ห์ของเธอ ก็รู้สึกอยากกินเข้าไปอีก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยแต่งใหม่ก็ได้” เฉินเป่ยพูดเบาๆ เสียงของเขาอ่อนโยนและยียวน
“นี่..อย่าทำแบบนี้สิ” ซุนเจียเจียตื่นตระหนก มือเล็กกำมือปลาหมึกของเฉินเป่ยเอาไว้เพื่อที่จะห้ามเขา
เฉินเป่ยยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาปลดกระดุมเสื้อของเธอออกสองเม็ด
เฉินเป่ยรู้สึกเหมือนเลือดกำเดาจะไหลออกมา
ซุนเจียเจียตื่นตระหนกจนเกือบจะร้องไห้ออกมา ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ
เมื่อเห็นท่าทีของเจียเจีย เฉินเป่ยก็อดไม่ได้ที่จะติดกระดุมเสื้อให้เธอเบาๆ
ซุนเจียเจียสับสนไปหมด พวงแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ จนแทบจะอดใจกัดลงไปไม่ได้
เฉินเป่ยติดกระดุมให้เธอ แต่ทว่าเขายังไม่ผละออกจากใบหน้าของเธอ
ร่างบางของเจียเจียอ่อนยวบ เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของเฉินเป่ย
“เจียเจีย ยังโกรธผมอยู่ไหม” เฉินเป่ยถามขึ้นอย่างอ่อนโยน
ซุนเจียเจียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้า แต่ก็พยักหน้า
“โกรธ เมื่อกี้กาแฟที่ฉันซื้อให้นายหกหมดเลย ฉันตั้งใจซื้อให้นาย” เสียงของซุนเจียเจียอ่อนโยนจนทำให้เฉินเป่ยเอ็นดู
เจียเจียกอดเขาแน่น เฉินเป่ยสูดกลิ่นอยู่ที่ลำคอของเธอ “เจียเจีย ฉันไม่อยากดื่มกาแฟ…ฉันอยากกินเธอ…”
ซุนเจียเจียหน้าแดงก่ำ เธอรีบลุกขึ้นมาจากตัวของเฉินเป่ย “ไอ้เลว อย่ามาวุ่นวาย รีบออกไปเร็ว เดี๋ยวต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนสนิทอีก ฉันต้องเติมหน้าหน่อย”
เฉินเป่ยแสยะยิ้ม หลังจากที่ง้อสาวน้อยเสร็จ เขาจึงเดินออกจากห้องทำงานของซุนเจียเจีย
…
ช่วงเลิกงานตอนเย็น เฉินเป่ยเอารถเบนซ์ให้ซูเหลย ให้เธอดูแลหลีชิงเยียนตอนกลับบ้าน
ส่วนเขากลับนั่งอยู่ในรถมินิของซุนเจียเจีย เขาไปร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนสนิทซุนเจียเจีย
งานปาร์ตี้วันเกิดจัดขึ้นที่คลับเฮาส์ที่อยู่ในโรงแรมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหู้ไห่ รถเก๋ง BMW มินิเคลื่อนตัวมาถึงหน้าโรงแรม ที่หน้าโรงแรมมีรถหรูจอดอยู่มากมาย รถมินิของซุนเจียเจียดูเหมือนจะไม่อยู่ในสายตา
ทั้งสองคนลงจากรถ เฉินเป่ยจับมือของซุนเจียเจียอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน
จากการแนะนำของพนักงาน ทั้งสองเดินไปที่คลับเฮาส์ที่เป็นห้องขนาดใหญ่
เฉินเป่ยอดพูดออกมาไม่ได้ “เจียเจีย เพื่อนสนิทเธอนี่รวยนะ จัดงานปาร์ตี้วันเกิดในโรงแรมหรูอย่างนี้”
ซุนเจียเจียยิ้มหวาน เธอกะพริบตาแล้วพูดว่า “ใช่ เธอเป็นตระกูลที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจ เลยมีฐานะค่อนข้างดี ฉันแนะนำให้นายรู้จักดีไหม”
เฉินเป่ยดึงมือของซุนเจียเจีย จากนั้นจึงจูบไปบนมือของเธอ “ฉันมีเธอก็พอแล้ว”
ซุนเจียเจียหน้าแดงก่ำ ความรู้สึกแปลกประหลาดปะทุขึ้นมา หวั่นไหว สับสน อีกทั้งยังรู้สึกถึงความหวานที่ไม่สามารถอธิบายได้
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องขนาดใหญ่ คนที่อยู่ข้างในพากันโห่ร้องออกมา
“ในที่สุดเจียเจียก็พาแฟนมาแล้ว”
“ว้าว ไม่เลวนิ หน้าตาดูดีเลยทีเดียว ยินดีด้วยนะเจียเจีย”
กลุ่มเพื่อนต่างพากันแซวไม่หยุด
ซุนเจียเจียหน้าแดงระเรื่อ เธอจูงมือเฉินเป่ยไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
เจ้าของปาร์ตี้วันเกิดในวันนี้คือสาวงามผมยาวสลวย เธองามราวกับไข่มุก
ซุนเจียเจียชี้ไปที่เจ้าของงานวันเกิด และแนะนำให้เฉินเป่ยรู้จัก “นี่หวาหย่าหรุ่ย เพื่อนสนิทของฉัน และเป็นเจ้าของงานคืนนี้”
เฉินเป่ยพยักหน้าให้หวาหย่าหรุ่ย
หวาหย่าหรุ่ยไม่ได้วางมาดอะไร เธอยิ้มให้เจียเจียอย่างมีมารยาท
“หย่าหรุ่ย ทุกคนมาถึงแล้วใช่ไหม ขาดแต่จื่อหลาน” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
เจ้าของงานอย่างหย่าหรุ่ยดูข้อความในวีแชท “จื่อหลานส่งข้อความมาบอกว่าเธอก็ถึงแล้วเหมือนกัน”
เฉินเป่ยที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร เขารู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้เล็กน้อย เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ไม่นานก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงเดินเป็นจังหวะดังอยู่ข้างนอกห้อง
จากนั้นประตูห้องจึงถูกเปิดออก สาวสวยที่แต่งหน้าจัดยืนอยู่หน้าประตู สาวสวยยังควงชายหนุ่มไฮโซในชุดสูทมาด้วย
“ในที่สุดจื่อหลานคนสวยก็มาแล้ว”
“โอ้โห วันนี้จื่อหลานแต่งตัวด้วยของลิมิเต็ดระดับโลกทั้งนั้นเลย หลายล้านเชียวนะเนี่ย”
“พอจื่อหลานยืนคู่กับสามีของเธอ พวกเราแทบจะอิจฉาตาย”
เหล่าเพื่อนพากันพูดชื่นชมกันยกใหญ่
เมื่อได้ยินเพื่อนพูดชม จางจื่อหลานก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ จางจื่อหลานคือผู้สูงส่งท่ามกลางผู้คน ความงามที่มีมาตั้งแต่เกิด มันคือความแตกต่างทางฐานะ
ในห้อง เหล่าเพื่อนผู้หญิงพากันยิ้มและพูดชื่นชม บรรยากาศคึกคักเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารอย่างเฉินเป่ยรู้สึกมึนงง เขาเบิกตาโตมองสาวสวยที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาอึ้งอยู่นาน จากนั้นจึงสบถออกมา “เฮ้ย!”
เสียงของเฉินเป่ยไม่ถือว่าดัง แต่มันก็ไม่ได้เบา ทุกคนได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเงียบลงทันที
เหล่าเพื่อนต่างพากันหันไปมองตามที่มาของเสียง
จางจื่อหลานกับสามีที่ยืนอยู่หน้าประตูก็หันไปตามเสียงเช่นกัน
เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารท่ามกลางผู้คน เมื่อจางจื่อหลานเห็นคนที่น่ารังเกียจและคุ้นเคย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก
สามีของจางชิงหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน เขาจ้องเขม็งไปที่คนที่สมควรตายคนนั้น
“นายเองเหรอ” จางจื่อหลานจ้องเฉินเป่ยเขม็ง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา
จางจื่อหลานไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนที่เธอไปชี้ตัวอย่างเฉินเป่ย จะมานั่งอยู่ตรงหน้าเธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่มันเป็นไปได้ยังไง
จางจื่อหลานไม่เข้าใจ ส่วนซุนเจียเจียที่อยู่ข้างๆ สีหน้าสับสนเป็นอย่างมาก เธอมองเฉินเป่ย “ทั้งสองคนรู้จักกันเหรอ”
“รู้จักสิ ตอนที่คุณจางยืนข้างประธานเฟยหยางกรุ๊ป ก็ว่านอนสอนง่ายเหมือนตอนนี้ไม่มีผิด” เฉินเป่ยพูดกวนประสาทจางจื่อหลาน จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “คุณจาง เซวอี้ไม่ได้มากับคุณเหรอ เขาซื้อชุดนี้ให้คุณเพื่อแสดงความในใจของเขานิ”
นี่มันเป็นการประชดเพื่อสั่นคลอนความสัมพันธ์ของเธอกับแฟนหนุ่ม
ทำไมจางจื่อหลานจะดูไม่ออกว่าเฉินเป่ยกำลังพูดอย่างมีเลศนัย
จางจื่อหลานโมโหจนแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่แฟนหนุ่มอย่างอู๋ตุ้งห้ามเธอเอาไว้
อู๋ตุ้งกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเธอว่า “จื่อหลานเรานั่งทานข้าวกันก่อน อีกเดี๋ยวค่อยเชือดมัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของสามี จางจื่อหลานจึงสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เธอจูงมือของสามีเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารอันหรูหรา
เจ้าของงานวันเกิดอย่างหวาหย่าหรุ่ยทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดภายในงาน “ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานวันเกิดของฉัน ตอนนี้ทุกคนมากันครบแล้ว ทานอาหารกันเถอะ”
อาหารแต่ละจานถูกยกออกมาเสิร์ฟ งานปาร์ตี้วันเกิดเริ่มขึ้น
จางจื่อหลานนั่งกับอู๋ตุ้งผู้เป็นสามี แววตาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความเย็นชา และมองไปยังเฉินเป่ยไม่หยุด ราวกับจะฆ่าเขาอย่างไรอย่างนั้น
เพื่อนคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อย แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างซุนเจียเจียกลับรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ ซุนเจียเจียไม่รู้จักจางจื่อหลาน เพราะจางจื่อหลานเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของงานวันเกิด เธอจึงไม่เคยได้พูดคุยกับจางจื่อหลาน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ ทำไมสาวงามที่ชื่อจางจื่อหลานถึงมองเฉินเป่ยเหมือนเป็นศัตรู
เธอโน้มหน้าเข้าไปที่ข้างหูของเฉินเป่ยและถามขึ้น “ทำไมสาวสวยคนนั้นถึงมองนายแบบนั้นล่ะ”
เฉินเป่ยได้ยินก็หัวเราะ เขาพูดเนิบๆ ว่า “ไม่ต้องไปสนใจผู้หญิงคนนั้นหรอก”
ซุนเจียเจียงงเข้าไปใหญ่ เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ แววตาของจางจื่อหลานไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ทำให้ซุนเจียเจียรู้สึกงง หรือว่าเฉินเป่ยหมางใจกับเธอ
ทุกคนนั่งล้อมอยู่ที่โต๊ะอาหาร พากันยกแก้วชนกันอย่างรื่นเริง งานเลี้ยงหรูหราเช่นนี้ คนที่มาในงานล้วนเป็นสาวสวยฐานะดีทั้งนั้น และหนึ่งในอันดับต้นๆ ก็คือจางจื่อหลานกับอู๋ตุ้ง แฟนสาวของอู๋ตุ้งซึ่งเป็นทายาทของ บริษัทตระกูลหวู ทำให้เพื่อนในงานต่างพากันมาทำความรู้จักกับเธอ การที่ได้เป็นเพื่อนกับจางจื่อหลานถือเป็นเกียรติของพวกเธอ
ทุกคนในงานต่างพากันมาหาจางจื่อหลาน เพราะทุกคนหวังว่าจะได้คุยและสร้างความสัมพันธ์กับทายาทตระกูลจางจื่อหลานเหมือนดอกไม้ที่ถูกล้อมรอบด้วยหมู่ดาว เธอดูสูงส่งและสง่างาม หญิงสาวยกไวน์ขึ้นมาจิบ แววตาของเธอจ้องไปที่โต๊ะอาหารตำแหน่งที่เฉินเป่ยนั่งอยู่ จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงก้องกังวาน “คุณผู้ชายคนนี้ เหมือนฉันจะนึกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณออกแล้วล่ะ”
เฉินเป่ยกัดกุ้งมังกรออสเตรเลีย แล้วเหลือบมองจางจื่อหลาน เขาไม่เห็นผู้หญิงคนนี้อยู่ในสายตา
อู๋ตุ้งที่นั่งอยู่ข้างๆ หรี่ตาลง เหมือนคิดอะไรออก จู่ๆ เขาก็พูดออกมาว่า “จื่อหลาน คุณพูดออกมาแบบนี้ เหมือนผมก็คิดอะไรออกเหมือนกัน เมื่อเดือนที่แล้วตอนที่ผมไปบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป เหมือนเขาจะเป็นคนขับรถของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปนะ…”
เมื่อประโยคนี้ออกมา บรรยากาศในงานก็เงียบลงทันที