สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 63
บทที่63 เรื่องในบ้านของตระกูลหลี
ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านั้น ความเยือกเย็นได้แผ่กระจายออกไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ร่างของคุณชายหลีสั่นออกมาไม่หยุด สีหน้าค่อยๆเย็นชาร้ายกาจออกมา
ใบหน้าหล่อนั้นดูเหมือนกับว่าใกล้จะบิดเบี้ยวไปเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นเองดวงตาที่จอดจ้องไปยังเฉินเป่ยและหลีชิงเยียนคู่นั้นแฝงเต็มไปด้วยความเยือกเย็นสะท้อนผ่านออกมาทันที!
การกระทำของเฉินเป่ยและหลีชิงเยียนที่แสดงออกมานั้นดูสนิทสนมกันอย่างมาก แขนทั้งสองที่คล้องเกี่ยวกันแน่นคู่นั้น มือใหญ่ของเฉินเป่ยใช้โอกาสนั้นจับมือเรียวยาวที่ขาวเนียนอย่างกับต้นอ่อนพืชของหลีชิงเยียนเอาไว้ เพื่อซึมซับความรู้สึกเนียนนุ่มของมือเล็ก ลูบไล้ออกไปไม่หยุด…
ภายนอกหลีชิงเยียนนั้นมีสีหน้าที่นิ่งเรียบ แต่เธอได้ถูกเฉินเป่ยเล่นงานเสียจนจิตใจเตลิดไปเล็กน้อย จึงทำได้เพียงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถามออกไป “คุณชายหลี มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
“มัน เป็นสามีของเธอมาตั้งแต่แรกเลย?” คุณชายหลีเรียกคืนสติกลับมาทันที มือบีบแก้วไวน์ เท้าก้าวออกไปข้างหน้า ทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังความเดือดดาลมหาศาลจนคล้ายจะผลักภูเขาพลิกทะเลนั้นของเขาได้กดดันไปยังหลีชิงเยียน!
หลีชิงเยียนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ใบหน้าสวยเผยสีหน้านิ่งขรึมออกมา…ปฏิกิริยานี้ของคุณชายหลี เห็นได้ชัดว่าเป็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์!
และในตอนที่พลังความเดือดดาลนั้นได้เข้ามาปกคลุมร่างของหลีชิงเยียนนั้น ทันใดนั้นเองเฉินเป่ยก็ได้เอื้อมมือออกไปกุมมือเล็กของหลีชิงเยียนเอาไว้ ทำให้รังสีของความเดือดดาลอันดุเดือดนั้นสลายตัวไปทันตา
“ไม่เป็นไรนะ” เฉินเป่ยเอ่ยกับหลีชิงเยียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อือ” หลีชิงเยียนพยักหน้าออกมา แต่ไหนแต่ไรมาหลีชิงเยียนนั้นเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็งมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ภายในใจของเธอกลับถูกการจู่โจมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนี้ของเฉินเป่ย ทำเอาภายในใจของเธอสั่นรัวออกมา จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นมาหลายระดับ
ส่วนคุณชายหลีในตอนนี้นั้น สีหน้าของเขาก็ทวีความย่ำแย่น่ากลัวออกมามากขึ้น…ยิ่งเฉินเป่ยแสดงความหวานกับหลีชิงเยียนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้าขึ้นมามากขึ้น!
อีกนัยหนึ่งก็คือหลีชิงเยียนเลือกที่คบอยู่กับไอ้เศษสวะเกาะผู้หญิงกินผู้นี้…อีกทั้งยังไม่ต้องการแต่งงานเพื่อธุรกิจกับเขาอีกเช่นกัน…คุณชายหลีอย่างเขายอมมาขอหลีชิงเยียนแต่งงาน ก็ถือว่าเป็นวาสนาดีของหลีชิงเยียนแล้ว แต่ผลสุดท้ายหลีชิงเยียนกลับไปคว้าไอ้เศษสวะผู้นั้นมาเหยียบหน้าเขา!
คุณชายหลีบีบแก้วไวน์ในมือ มือสั่นออกไปแรงขึ้น ทันใดนั้น คุณชายหลีก็ได้คลายมือลง แก้วไวน์ใบนั้นก็ได้ตกลงพื้น และได้แตกกระจายไปทั่วทั้งพื้นไปในทันที
“เพล้ง” เสียงแก้วแตกดังขึ้นมา ทำลายความเงียบที่ยาวนานในห้องรับประทานอาหารแห่งนั้น
“ต้องขอโทษด้วย พอดีมือมันลื่น” สีหน้าเย็นชาร้ายกาจของคุณชายหลี ได้สงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
เฉินเป่ยที่ยืนอยู่อีกฝั่งนึงนั้น ได้มองคุณชายหลีไปด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง อุปนิสัยของคุณชายหลีนั้น ดูแปลกขึ้นมาเรื่อย ๆ ยากที่จะคาดเดาได้จริง ๆ…
“นั่งกันเถอะ” หลีเช่าเทียนเดินเข้าไปยังข้างโต๊ะอาหาร แล้วดึงเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ” หลีชิงเยียนเดินไปที่โต๊ะอาหารช้า ๆ แล้วนั่งลง
ส่วนเฉินเป่ยที่หลังจากได้กวาดสายตามองออกไปแล้ว กลับพบว่า ไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว
“ฉันไม่รู้ว่าวันนี้ชิงเยียนจะพานายมาด้วย ก็เลยไม่ได้เตรียมเก้าอี้เอาไว้ให้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหลีเช่าเทียนไม่ได้ลดน้อยลง “แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเรียกคนให้เอามาให้นายอีกสักตัวเอง”
หลีเช่าเทียนตบมือออกมาสองสามที คนรับใช้สองคนก็ได้ยกเก้าอี้เข้ามาวางในฝั่งตรงกันข้ามกับที่นั่งของหลีเช่าเทียน
“นั่งเถอะ” หลีเช่าเทียนเอ่ยเสียงเรียบออกมา
สายตาของเฉินเป่ยกวาดสายตามองเล็กน้อย เก้าอี้ตัวนี้เตี้ยกว่าเก้าอี้ตัวอื่นไม่น้อยเลย เมื่อเฉินเป่ยนั่งลงไป ก็เตี้ยกว่าทุกคนในที่นี้ไปช่วงหนึ่ง
นี่เป็นการเหยียบหน้ากันกลายๆ แต่เฉินเป่ยนั้นกลับหาเหตุผลอะไรออกมาไม่ได้
สีหน้าของเฉินเป่ยนิ่งเรียบ ราวกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจมันเลยแม้แต่น้อย นั่งลงไปอย่างไม่ลังเล
หลีชิงเยียนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้ขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นเดียวกัน
หลังจากที่นั่งทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว หลีเช่าเทียนหั่นสเต็กออกมาชิ้นนึง จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆออกไปว่า “คุณเฉิน ฉันได้ข่าวมาว่า คุณเชี่ยวชาญด้านอาหารตะวันตกอย่างมาก?”
“นิดๆหน่อยๆเองครับ” เฉินเป่ยยิ้มเรียบออกมา
“อาหารตะวันตก นี่นายเคยออกนอกประเทศด้วยหรอ?” หลีเซิ่งเอ่ยถามออกไป
“เคยไปทำงานพิเศษที่ต่างประเทศครับ” เฉินเป่ยพยักหน้าออกไปเล็กน้อย ตอบออกไปตามจริง
“ฉันก็นึกว่าจะเป็นอะไรได้ ที่แท้ก็ยังเป็นงานเร่รอนหาเงินของพวกคนจนสินะ เพียงแต่แค่เปลี่ยนไปเท่านั้น” ป้าใหญ่ของหลีเช่าเทียนที่อยู่อีกฝั่งนึงเอ่ยพูดยิ้มๆออกมาเป็นนัยบางอย่าง
“เจ้าเฉิน ในเมื่อนายเป็นสามีของชิงเยียน งั้นฉันก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของนายแล้ว” หลีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆออกมา
“พ่อตาสวัสดีครับ” ทันใดนั้น เฉินเป่ยได้โค้งตัวร้อยแปดสิบองศา เอ่ยยิ้มๆออกมาอย่างประจบประแจง
“ฉันคงไม่กล้ายอมรับคำว่าพ่อตาคำนี้ได้หรอก ฉันเพียงแต่แค่อยากถามนายดูหน่อยว่า นายกับชิงเยียนไปรู้จักกันได้ยังไง?” หลีเซิ่งมองไปยังเฉินเป่ย
ร่างบางของหลีชิงเยียนที่นั่งอยู่อีกฝั่งนึงสั่นออกมาเล็กน้อย ภายในใจรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่า งานเลี้ยงในครอบครัววันนี้หลีเซิ่งเอ่ยซักเฉินเป่ยออกมา อีกทั้งคำถามคำถามพวกนี้ ก็เป็นคำถามที่ไม่อาจตอบได้ทั้งนั้น
ถ้าหากเฉินเป่ยหลุดพิรุธและเผยช่องโหว่ออกไป ก็จะถูกหลีเซิ่งและหลีเช่าเทียนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบสังเกตเห็นมันได้ อย่างนั้นแล้วตนก็มีโอกาสที่ด้ามมีดจะหลุดไปอยู่ในมือของพวกเขาได้
นิ้วเรียวของหลีชิงเยียนสอดออกไปใต้โต๊ะ ดึงชายเสื้อของเฉินเป่ยเล็กน้อย พยายามบอกใบ้เป็นนัยอย่างบ้าคลั่ง แต่เฉินเป่ยกลับทำราวกับว่าไม่รับรู้ถึงมันเลยยังไงอย่างนั้น ชูแก้วไวน์ขึ้นมา จากนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมา “ผมกับชิงเยียนรู้จักกันที่อาร์ตแกลอรี่แห่งหนึ่งครับ”
“อาร์ตแกลอรี่?” หลีเซิ่งนิ่งอึ้งออกมาเล็กน้อย รู้สึกคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
แม้แต่หลีชิงเยียนเองก็ยังแสดงอาการมึนงงออกมา มองไปทางเฉินเป่ยอย่างเลื่อนลอย
“ทุกท่านยังจำภาพเลียนแบบภาพชื่อดังของท่านหมี่ตือเอ่อภาพนั้นที่ได้เอามาเปิดประมูลที่มีการรายงานในข่าวเมื่อหลายวันก่อนกันได้มั้ยครับ? ผมกับชิงเยียนอยู่ในอาร์ตแกลอรี่ที่เดียวกันและได้ถูกภาพชื่อดังอย่างของท่านหมี่ตือเอ่อดึงดูดเข้าพร้อม ๆกัน เธอถูกดึงดูดด้วยแสงยามพระอาทิตย์ตกดินที่เป็นสีแดงในภาพ แสงยามพระอาทิตย์ตกดินที่แสนจะงดงามนั้นทำให้เธอจินตนาการว่าสักวันหนึ่งจะสามารถพบเจอกับมันได้ ส่วนผมนั้นกลับชอบเทคนิคการวาดภาพแสงยามพระอาทิตย์ตกดินของภาพนั้น ลายเส้นที่อ่อนช้อย ถึงแม้ว่าเหตุผลของการชอบของพวกเราจะแตกต่างกัน แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการรู้จักกันของพวกเราทั้งสองคนเลยครับ”
ใบหน้าสวยของหลีชิงเยียนประกายความอึ้งตกใจออกมา นัยน์ตาสวยแสดงอาการแปลกประหลาดออกมา เธอรู้เรื่องที่เฉินเป่ยเอ่ยออกมาเมื่อสักครู่นี้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมามั่วซั่ว แต่เรื่องภาพชื่อดังที่เฉินเป่ยเอ่ยถึงนั้นเป็นเรื่องจริง อีกทั้งเฉินเป่ยยังพูดออกมาเป็นมืออาชีพอย่างมากจนทำให้คนอื่นเผลอเข้าใจผิดว่าเป็นคำพูดของคนรักศิลปะจนเป็นนิสัยท่านหนึ่งได้ง่ายๆเลยทีเดียว
นัยน์ตาของหลีเช่าเทียนดูอ่านยากมากขึ้น ส่วนหลีเซิ่งนั้น ก็พยักหน้าออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยยิ้มออกมาว่า “ดูเหมือนว่า นายกับชิงเยียนมีวาสนาต่อกันเสียจริงนะ”
หลีเซิ่งหันไปมองหลีชิงเยียน จากนั้นก็เอ่ยถามออกไป “ชิงเยียน ช่วงนี้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหู้ไห่ราบรื่นดีไหม?”
“ราบรื่นดีทุกอย่างค่ะ” หลีชิงเยียนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ราวกับกำลังพูดกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น
“ชิงเยียน ฉันรู้ว่าแกยังคิดเรื่องนั้นอยู่ แต่นี่มันเป็นเรื่องของรุ่นที่แล้ว ความแค้นเคืองใจของรุ่นที่แล้ว ไม่ควรเอามาพัวพันกับคนรุ่นนี้อย่างพวกเธอสิ…” ทันใดนั้นเองหลีเซิ่งก็ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในทันที เพื่อปกปิดอะไรบางอย่างภายในใจ “ชิงเยียน ในเมื่อแกมาร่วมงานเลี้ยงแล้ว งั้นก็หมายความว่าแกยังอยากกลับไปเยี่ยนจิง…” หลีเซิ่งค่อยๆพูดออกมาอย่างช้า ๆ น้ำเสียงค่อยๆเข้มขึ้น ให้ความชัดเจนขึ้นมาอีกหลายระดับ
“พวกเรารู้ถึงความลำบากของแก เพียงแค่โอนหุ้นบริษัทตระกูลหลี กรุ๊ป ของแกมา ส่วนที่เหลือก็ให้เช่าเทียนเป็นคนจัดการก็ได้” หลีเซิ่งเอ่ยออกมา “อย่าลืมไปว่าในร่างกายของแก ยังมีสายเลือดตระกูลหลีอยู่นะ”
“ชิงเยียน ฉันให้โอกาสเธอมาหลายครั้ง นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย…” นัยน์ตาของหลีเช่าเทียนดุดันออกมา เอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำ
“ทุกท่านไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมฉันอีกหรอกค่ะ ฉันไม่มีวันโอนสิทธิ์ผู้ถือหุ้นให้ใคร นอกเสียจากว่าฉันตายไปแล้ว” จู่ ๆหลีชิงเยียนก็เอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
ดวงตาทั้งสองข้างของหลีเช่าเทียนนิ่งแข็งไป หลีเซิ่งกระโชกเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการบีบบังคับ “ชิงเยียน ฉันเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกัน อย่ามาบังคับให้ฉัน…ต้องใช้กำลังบังคับ”
หลีชิงเยียนยิ้มนิ่งๆออกมา “ตั้งแต่ที่เหยียบเข้าประตูบ้านหลังนี้มา ฉันยังมีทางเลือกอยู่ด้วยหรือคะ?”
“อย่าไปพูดไร้สาระกับเธอเลย ก็แค่ลูกสาวของลูกนอกสมรสคนหนึง ยังกล้ามาท้าทายพวกเรา พ่อของเธอมาก็ยังต้องคุกเข่ายอมรับผิดอย่างนอบน้อมเลย!” จู่ ๆ ป้าใหญ่ก็ลุกขึ้นมา แล้วเอ่ยออกมาด้วยท่าทีที่ดูคลุมเครือ
“หุบปาก!” ทันใดนั้นเอง เฉินเป่ยที่นิ่งเงียบไม่ออกปากออกเสียงอยู่นานจู่ก็ตวาดเสียงเย็นออกมา กวาดสายตาเย็นชา สีหน้านิ่งเรียบออกมา
“แกคิดว่าแกเป็นใครกันหา นี่มันเรื่องของนายหรือไง ไสหัวไปตรงอื่นเลยไป!” ป้าสองลุกยืนขึ้น เอ่ยปากพูดออกไปอย่างไม่พอใจ พลางจู่โจมไปทางเฉินเป่ย!
“ไสหัว?” เฉินเป่ยมองไปอย่างยั่วเย้า เผยสายตาเสียดสีออกมา!