สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 641
บทที่641 กับดัก
เฉินเป่ยกับหลิวจิ้งจิ้งทั้งสองคนดื่มเหล้ากันแก้วแล้วแก้วเล่า เฉินเป่ยดื่มจนวิงเวียนพอสมควร…รู้สึกแค่ว่าสมองขยายตัวนิดหน่อย ฤทธิ์เหล้ายังค่อยๆ ขึ้นสมองด้วย
ส่วนหลิวจิ้งจิ้งใบหน้าแดงไปหมดแล้ว เมาจนเหมือนแอปเปิลแดง น่าหลงใหลเย้ายวนใจอย่างมาก
ทั้งสองคนชนแก้วกันและกัน ดื่มต่อไป…แสงยามค่ำคืนในผับแวววับ เสียงดีเจที่ตื่นเต้นดังก้องไม่หยุด…
ที่ไม่ไกลนัก ผู้ชายสวมชุดสูทที่มุมมืดคนนั้นลุกขึ้นกะทันหัน จัดเนกไทนิดหน่อย จากนั้นฉีกเส้นรัศมีวงกลมที่มุมปากขึ้น ค่อยๆ เดินมาทางที่นั่งของหลิวจิ้งจิ้ง
ผู้ชายชุดสูทกิริยาท่าทางสง่างาม ราวกับเดิมทีอยู่คนละโลกกันกับดีเจของผับที่ตื่นเต้นคนนี้…เขาผู้เป็นสุภาพบุรุษเดินมาถึงหน้าที่นั่งส่วนตัว ยื่นมือไปด้วยรอยยิ้มลุ่มลึก “เฉินเป่ย บังเอิญขนาดนี้เลย”
เฉินเป่ยเงยหน้าที่ดูมึนเมาขึ้น มองผู้ชายชุดสูทแบบงงงวยทีหนึ่ง
“เซวอี้?”ดวงตาเฉินเป่ยแข็งทื่อเล็กน้อย
เซวอี้จัดเสื้อสูทนิดหน่อย ยิ้มให้แล้วนั่งลงมา “นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ พี่เฉินนายก็ชอบเที่ยวผับ? ยังมาด้วยกันกับสาวน้อยแสนสวยขนาดนี้อีก”เซวอี้พูดพลางจ้องมองหลิวจิ้งจิ้งด้วยแววตาล้ำลึกขบคิด
เห็นผู้ชายชุดสูทที่ปรากฏตัวกะทันหันคนนี้เข้า ชั่วขณะนั้นใบหน้าที่แดงไปหมดของหลิวจิ้งจิ้งก็แข็งทื่อ พูดอย่างหนาวเย็น “นายเป็นใคร? ฉันอนุญาตให้นายนั่งลงแล้วเหรอ?”
บนหน้าอันหล่อเหลาของเซวอี้ฉีกยิ้มอ่อนขึ้น “หญิงสาวที่น่าสนใจนี่หน่า”
เฉินเป่ยจ้องเซวอี้แบบมีความหมายแฝง “คุณชายเซว การบังเอิญเจอครั้งนี้ของนายแสดงได้ไม่สมจริงเท่าไร…พูดมา สะกดรอยตามฉันมานานแค่ไหนแล้ว?”
รอยยิ้มบนหน้าเซวอี้ตะลึงนิดหน่อย…ทว่าชั่วพริบตาเดียวก็ยิ้มโชติช่วงยิ่งกว่าเดิม
“พี่เฉินนี่ล้อเล่นเก่งจริงๆ วันนี้ที่พวกเราบังเอิญเจอกัน พูดได้เพียงว่าเป็นโชคชะตา เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นกะทันหัน ดูแล้วฉันกับพี่เฉินคงมีวาสนาต่อกัน”เสียงของเซวอี้สงบนิ่งยิ้มแย้ม
หลิวจิ้งจิ้งจ้องมองผู้ชายชุดสูทคนนี้ด้วยความสงสัย หันหน้าไปถามทางเฉินเป่ย “เขา…เป็นเพื่อนของพี่?”
“เพื่อนกับผีน่ะสิ ศัตรู”เฉินเป่ยพูดออกมาไม่กี่คำแบบนิ่งๆ เห็นได้ชัดว่าสำหรับเซวอี้ตรงหน้านี้ เดิมทีเฉินเป่ยไม่ได้มีความรู้สึกดีใดๆ
เซวอี้จัดเนกไทให้เรียบร้อย พูดด้วยความจริงจัง “พี่เฉิน ฉันรู้ว่าระหว่างพวกเราเข้าใจผิดกัน…ครั้งก่อน เรื่องที่ประธานหลีโดนจู่โจมนั้น…ฉันเอาชีวิตมาสาบานได้เลย ไม่ใช่ฉันทำแน่ๆ”สายตาของเขาสงบนิ่งไร้ที่เปรียบ ไม่มีร่องรอยหลบเลี่ยงแต่อย่างใด
เฉินเป่ยกวาดผ่านสายตาของเขานิ่งๆ แวบหนึ่ง…ความสงสัยในใจเพิ่มมากขึ้น…สายตาของเซวอี้สงบอย่างยิ่ง…ลุ่มลึกจนมองไม่เห็นขอบเขต…นี่ทำให้ในใจเฉินเป่ยคาดเดาไม่หยุด…สรุปเขาอยากจะทำอะไร? แสดงว่ามาเจอกันที่ผับโดยบังเอิญนี้ เขามีเป้าหมายอะไร?
“ไอ้ไก่อ่อน ฉันไม่ต้อนรับนาย นายรีบออกไปเดี๋ยวนี้~”ใบหน้าหลิวจิ้งจิ้งหนาวเย็น ตะคอกใส่เซวอี้ด้วยลักษณะท่าทางของราชินี
ได้ยินหญิงสาวคนนี้เรียกตนเองว่า ‘ไอ้ไก่อ่อน’ รอยยิ้มที่มุมปากของเซวอี้ก็ลึกขึ้น “สาวน้อย…ฉันกับพี่เฉินเป็นคนที่รู้จักกันมานาน วันนี้บังเอิญมาคุยกัน ช่วยยืดหยุ่นหน่อยแล้วกันนะ”
ใบหน้าหลิวจิ้งจิ้งยิ่งหนาวเย็นเพิ่มขึ้น “ฉันบอกแล้ว ไม่ต้อนรับนาย”
“เป็นหญิงสาวที่น่าสนใจจริงๆ”เซวอี้หัวเราะเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเธออีก หันไปมองทางเฉินเป่ยแล้ว
“พี่เฉิน ว่ากันว่าสองฝ่ายที่มีความแค้นต่อกันไม่ควรผูกพยาบาท …ระหว่างพวกเราเดิมไม่ได้มีข้อพิพาทกัน จำเป็นต้องทำแบบศัตรูเจอกันด้วยเหรอ? ไม่สู้มาสามัคคีกัน ผูกมิตรด้วยกัน หรือว่าไม่…”เซวอี้ยังพูดไม่ทันจบ…
ทันใดนั้นหลิวจิ้งจิ้งที่อยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วเหล้าในมือขึ้น เหล้าบรั่นดีเต็มแก้วนั้นสาด’พรึบ’ไปบนหน้าเซวอี้
ซ่า! นี่…บรรยากาศเหมือนจะเงียบงันลงมาทันที
เฉินเป่ยตะลึงแล้ว…ถลึงดวงตามองฉากนี้แบบอึ้งๆ…ตอบสนองเข้ามาไม่ทันเท่าไร…เชี้ย…ยัยเด็กคนนี้…นี่ช่างแม่งหาเรื่องวุ่นเสียเหลือเกินมั้ง? ยัยแม่มดนี้เห็นใครเป็นต้องหาเรื่องให้ได้งั้นเหรอ? นี่แม่งเดิมทีจะมาสร้างศัตรูหรือเปล่า?
ชั่วขณะนั้นใบหน้าหล่อเหลาของเซวอี้หนาวเย็น…รอยยิ้มที่มุมปากนั้นแข็งค้างอยู่ในขณะที่เกิดเหตุ
“ปึง!” เซวอี้ตบลงบนโต๊ะของผับอย่างแรงทีหนึ่ง พลังที่รุนแรงสั่นสะเทือนจนทั้งโต๊ะสั่นไม่เลิก
“สามหาว!” เซวอี้เปลี่ยนไปเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง แค้นเคืองขึ้นมาทันที เขาเป็นประธานเฟยหยางกรุ๊ป ในเมืองแห่งนี้…ไม่เคยมีใครกล้ายั่วยุเขาเช่นนี้มาก่อน
ใบหน้าของหลิวจิ้งจิ้งเมาแดงอย่างมาก ไม่มีความหมายว่าจะหวาดกลัวสัตว์ดุร้ายในชุดสูทตรงหน้าคนนี้เลยแม้แต่น้อย เธอยกขวดเหล้าขึ้นอย่างไร้เหตุผล เทเหล้าทั้งขวดราดลงบนหน้าเซวอี้โดยตรง
“ซ่า!” เหล้าบรั่นดีที่เข้มข้นจนแสบจมูกนั้นสาดกระเซ็นออกมาในชั่วขณะหนึ่ง ราวกับน้ำพุนับไม่ถ้วนเทราดมาบนหน้าหล่อสง่าของเซวอี้…ผมของเขา…เสื้อเชิ้ตขาว…เสื้อสูท…ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกของเหลวสีทองจนเปียกโชก…สภาพดูไม่จืดเลยทีเดียว
เฉินเป่ยมึนงงถึงที่สุด เชี้ย…ยัยเด็กคนนี้…แม่งช่างหาเรื่องเสียเหลือเกิน แม่มด…ยัยแม่มด
ลูกตาเซวอี้หดตัวเฉียบพลัน ทั่วทั้งตัวถูกความแค้นเคืองอันมหึมาท่วมท้นเข้าแทนที่ บนหน้าที่หล่อเหลาแพร่ท่วงท่าที่อยากฆ่าคนออกมา
“นังเด็กนี่! แกวอนหาที่ตายซะแล้ว!!”เซวอี้ลุกขึ้นมาทันใด ถีบโต๊ะเหล้าด้านหน้าอย่างแรงจนพลิกไป เขาโกรธหนักจนสั่นเทาไปหมดทั้งตัว นั่นคือความคิดอยากฆ่าที่สยองขวัญ
หลิวจิ้งจิ้งไม่พูดพร่ำทำเพลง มือคว้าขวดเหล้าไว้ กวัดแกว่งพุ่งเข้าไปโดยตรงอย่างไม่พูดอะไรสักคำหมายจะทะเลาะวิวาท
หัวใจเฉินเป่ยเต้นแรง รีบดึงเธอเอาไว้ก่อน…แม่งเอ๊ยนี่ถ้าหาเรื่องต่อไปอีก…คงต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่…แน่นอนว่าเฉินเป่ยไม่กลัวเซวอี้…แต่ว่าเซวอี้คนนี้ไม่ใช่พวกที่หาเรื่องกันได้ง่ายๆ ถ้ายั่วโมโหให้เขาโกรธเข้าจริง…ไม่แน่ว่าหลิวจิ้งจิ้งยัยเด็กคนนี้คงเจอหายนะใหญ่หลวงเข้าแล้ว ต่อไปยัยเด็กคนนี้ยังมีทางรอดได้เหรอ?
“พี่อย่ามาห้ามฉัน…ฉันจะสั่งสอนเขา…เฮ้อ…” หลิวจิ้งจิ้งโบกควงขวดเหล้าในมือ ท่าทางราวกับแม่มดที่สิงอยู่ในร่างมนุษย์ เผด็จการสุดจะทนเสียจริง~
เฉินเป่ยดึงรั้งเธอไปด้วย แอบคิดอยู่ในใจไปด้วย: แม่งเอ๊ย…ที่แท้ยัยเด็กคนนี้ก็เป็นแม่มดสาวสินะ อย่าโดนภายนอกที่ใสซื่อนั้นของเธอหลอกให้สิ~ แต่ว่า…ฉันชอบนะ!
ถึงแม้เฉินเป่ยจะห้ามหลิวจิ้งจิ้งไว้…แต่เห็นเซวอี้กระเซอะกระเซิงเช่นนี้…ในใจเฉินเป่ยนั้นเรียกได้ว่าสะใจ…นึกไม่ถึงเซวอี้ที่ก้าวร้าวเช่นนี้ ในที่สุดยังมีวันหนึ่งที่กระเซอะกระเซิงเช่นนี้ได้หรอกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะหลีชิงเยียน เฉินเป่ยคงอัดเจ้านี่สักยกไปตั้งนานแล้ว…ในขณะนี้ยืมมือของหลิวจิ้งจิ้ง สามารถทำให้เขาย่ำแย่เช่นนี้ได้ มันรู้สึกถึงอกถึงใจจริงๆ เลย
เวลานี้เซวอี้ยังมีออร่าสุภาพบุรุษที่บุคลิกภาพดูดีนั้นที่ไหนกัน? สีหน้าเขาโกรธเคืองสั่นเทาขึ้นมากะทันหัน อยากจะเข้ามาลงมือกับหลิวจิ้งจิ้ง เขาโดนยัยเด็กคนนี้เหยียบย่ำถึงขนาดนี้…นี่…คือการย่ำยีศักดิ์ศรีตระกูลเซวของเขา ตบหน้าเขาเซวอี้ชัดๆ
ดวงตาเฉินเป่ยแข็งทื่อ ยื่นมือผลักไปบนหน้าอกของเซวอี้ทีหนึ่ง…เซวอี้ถูกพลังมหาศาลโจมตีจนถอยหลังไปทันที…ทั้งตัวล้มลงบนโซฟาอย่างแรง…จนโซฟายุบลงอยู่บ้าง…
ซู่! โดยรอบนั้น…ลูกน้องสูทสีดำกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันล้อมรอบเข้ามาในชั่วพริบตาเดียว คนกลุ่มนี้สีหน้าหนาวเย็นไร้ที่เปรียบ ล้อมที่นั่งส่วนตัวเอาไว้ทันที แรงอาฆาตแค้นสุดแสนสะพรึงกลัว
เฉินเป่ยกวาดตามองผู้ชายชุดสูทกลุ่มนี้แบบนิ่งๆ เขาไม่ได้พูดอะไร โอบหลิวจิ้งจิ้งไว้โดยตรง เดินไปด้านนอกที่นั่งส่วนตัวอย่างนิ่งเฉยสุดๆ
ซู่! ชายชุดสูทกลุ่มหนึ่งล้อมวงเข้ามาโดยตรง ขวางตรงหน้าเขาไว้ เดิมทีไม่ให้เขาออกไป
เฉินเป่ยยกมือขึ้นฉับพลัน
“ป้าบๆๆ!” ตบหน้าต่อเนื่องกันไปหลายที…ผู้ชายชุดสูทกลุ่มนั้นโดนตบจนลอยออกไปทันที…เลือดสดสาดกระจาย
ลูกน้องชุดสูทที่เหลือไม่กี่คนสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ ยื่นมือเข้าไปในเสื้อทันใด…ล้วงอาวุธปืนออกมาโดยตรง เล็งเป้าไปยังเฉินเป่ยกันหมด
เวลานี้ทั้งผับวุ่นวายกันยกใหญ่ในชั่วขณะหนึ่ง เหล่าแขกที่กำลังเต้นโยกย้ายอย่างบ้าคลั่งกลุ่มนั้นเห็นปืนที่น่าสะพรึงกลัวนี้เข้า…ทุกคนต่างสับสน…ถอยหลบกันอยู่ในผับแบบคลุ้มคลั่ง…สีหน้าของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปกันสุดๆ
เฉินเป่ยโอบหลิวจิ้งจิ้งไว้ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งเฉยไร้ที่เปรียบขนาดนี้
“คุณชายเซว วันนี้…นายคิดจะฆ่าคนเหรอ?”เฉินเป่ยถามแบบมีความหมายแฝง ในน้ำเสียงมีความลุ่มลึก
เซวอี้กุมหมัดแน่น สีหน้าแค้นเคืองมาก บนผมของเขาล้วนเป็นเหล้ากลิ่นหึ่ง บนเสื้อผ้าก็เป็นเหล้าเช่นกัน…แถมยังสั่นเทาไปทั้งตัวเพราะความโกรธเคือง เขาจ้องเฉินเป่ยตาเขม็ง…เหมือนอยากเขมือบเฉินเป่ยเข้าไป
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่อย่างนี้ อากาศก็เหมือนจะแข็งตัวไป
สายตาเซวอี้ล็อกเฉินเป่ยไว้แน่นขนัด…จ้องเขาอยู่ตั้งนาน…ในที่สุดถึงพ่นสามคำออกมาจากช่องฟัน “ให้…เขา…ไป”
สามคำนี้ของเซวอี้แทบจะออกมาเป็นคำๆ…สามารถจินตนาการได้ถึงความโกรธแค้นและดุร้ายในขณะนี้ของเขาได้
เฉินเป่ยนิ่งสงบอย่างยิ่ง โอบหลิวจิ้งจิ้งไว้แบบนี้ พยายามลากเธอออกมาจากผับแล้ว
เหล่าลูกน้องที่ถือปืนไว้กลุ่มนั้นไม่ได้ขัดขวาง เพียงแค่เล็งเป้ายังเฉินเป่ยไว้ตรงๆ…จนกระทั่งเขาดึงหลิวจิ้งจิ้งเดินออกไปนอกประตูผับ…จากนั้นหายไปจากการมองเห็นของทุกคน…
ภายในผับ เซวอี้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกไร้ที่เปรียบ ทั้งตัวปล่อยพลังเหี้ยมโหดที่น่ากลัวออกมา
“ประธานเซว…จะปล่อยมันไปแบบนี้?” เหล่าลูกน้องกลุ่มนั้นเข้ามาแบบอึมครึม พลันถามขึ้น
เซวอี้ค่อยๆ ยื่นมือไปเช็ดเหล้าบนหน้า…ในดวงตาสาดส่องแสงเย็นเฉียบโหดร้าย “ไม่…ฉันอยากเล่นมันให้ตายช้าๆ…ยังมีนังผู้หญิงคนนั้นอีก…ส่งคนตามเข้าไป…คืนนี้ ฉันอยากดูละครสนุกๆ สักฉาก…”
เหล่าลูกน้องพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด จากนั้นค่อยๆ ถอยออกไปแล้ว…
…
หน้าประตูผับ เวลานี้หลิวจิ้งจิ้งยังคงดิ้นรนอยู่ “พี่ห้ามฉันไว้ทำไม…เมื่อกี้ฉันควรจะปาขวดเข้าไป…เชอะ…สั่งสอนไอ้ไก่อ่อนนั้นสักหน่อย~!”
เฉินเป่ยมองท่าทางของเธอที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินแบบนั้นแล้วอดตกตะลึงอยู่บ้างไม่ได้ จากนั้นพูดขู่ “แม่คุณ…เมื่อกี้เธอไม่เห็นว่าคนอื่นเขามีปืนเหรอ? เธอไม่กลัวตายรึไง?”
“ปืนแล้วยังไง? มีแล้วเหนือกว่างั้นเหรอ?”หลิวจิ้งจิ้งพูดพลางคลำหาของจากในกระเป๋าของตนเองสักครู่…
“นี่…ฉันก็มี~”หลิวจิ้งจิ้งล้วงปืนขนาดมินิสีดำขลับน่าสะพรึงกลัวกระบอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าคาดอกอย่างกะทันหัน
เฉินเป่ยแข็งเป็นหินถึงที่สุด…ถลึงดวงตาโตทำหน้างงงวย เขามองปืนพกขนาดเล็กกระบอกนั้นในมือของหลิวจิ้งจิ้งอย่างตะลึง…นี่…นี่เหมือนว่าจะเป็นปืนจริง? แม่งเอ๊ย…ยัยเด็กสาวที่เรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง…นักศึกษาคนหนึ่ง…คาดไม่ถึงจะพกปืนติดตัวไว้ด้วย? นี่แม่งเก่งกาจเกินไปแล้วจริงๆ
ในที่สุดเฉินเป่ยก็เข้าใจแล้ว… ทำไมเมื่อช่วงกลางวันตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย…เหล่านักศึกษากลุ่มนั้นถึงกลัวเธอขนาดนี้…นี่แม่งคือปีศาจสาวผู้หนึ่งชัดๆ ปีศาจสาวนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน คาดไม่ถึงยังพกปืนติดตัวด้วย ทั้งในมหาวิทยาลัยนี้…มีใครกล้าหาเรื่องเธอกัน?
“พอแล้ว…ยัยแม่มด…รีบเก็บปืนของเธอไว้เถอะ…” เฉินเป่ยนำปืนของเธอเก็บเข้าไป ซ่อนไว้ในกระเป๋าคาดอก จากนั้นพยายามดันเธอที่มึนเมาเข้าในรถไมบัคของตนเอง
“ผลักฉันทำไม…ฉัน…ฉันเองก็มีรถ…” หลิวจิ้งจิ้งชี้ไปยังรถแข่งเฟอร์รารี่สีแดงคันนั้นที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก พูดจาแบบมึนเมา
เฉินเป่ยชายตามองดูรถคันนั้น…อดจุ๊ปากชมไม่ได้…รถแข่งเฟอร์รารี่หลายสิบล้าน เดิมทีเป็นของพวกลูกคนรวย มิน่าถึงเผด็จการขนาดนี้…เฮ้อ เด็กสาวสมัยนี้ล้วนเผด็จการกันขนาดนี้…ต่อไปจะแต่งงานออกไปได้อย่างไร?
ในใจเฉินเป่ยทุกข์ระทมครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจหลิวจิ้งจิ้ง…ฝืนยัดเธอเข้าไปในรถ คาดเข็มขัดนิรภัย…เธอเมาจนถึงขั้นนี้แล้ว…ย่อมไม่สามารถขับรถได้ ได้แต่เป็นตนเองที่ต้องไปส่งเธอกลับบ้าน…
หลังจากค่อยๆ สตาร์ทรถไมบัค เฉินเป่ยก็พายัยเด็กสาวคนนี้แล่นฉิวออกไปตลอดทาง
“พี่…จะพาฉันไปที่ไหนกัน?”หลิวจิ้งจิ้งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับอย่างมึนเมา ผมยาวยุ่งเหยิง ถามขึ้น
“ส่งเธอกลับมหาวิทยาลัย”เฉินเป่ยตอบไป
“มหาวิทยาลัย?”ดวงตาหลิวจิ้งจิ้งสะลึมสะลือมึนเมาพอสมควร “ดึกขนาดนี้แล้ว…มหาวิทยาลัยประตูปิดไปแล้วล่ะ…ฉันกลับไปไม่ได้แล้ว…” ใบหน้างดงามของเธอมุ่ยเล็กน้อย สวยหยาดเยิ้มและเซ็กซี่ ทำให้คนแทบหยุดหายใจ
พอเฉินเป่ยได้ยินก็ตะลึง “มหาวิทยาลัยปิดประตูแล้ว? งั้นฉันต้องส่งเธอไปที่ไหนล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…” หลิวจิ้งจิ้งส่ายหน้าแบบงุนงง ทันใดนั้นดวงตาของเธอเปลี่ยนไปสะลึมสะลืออยู่บ้าง…เหมือนผลลัพธ์ของเหล้านอกกำลังออกฤทธิ์…
“เฮ้อ…ร้อนจังเลย~” ใบหน้าหลิวจิ้งจิ้งแดงระเรื่อ…เธอค่อยๆ ยื่นมือมาเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ออกเต็มหน้าออกไป
ขณะที่เธอพูดอยู่ก็ดึงส่วนคอเสื้อของเสื้อยืดสีขาวที่แนบตัวออกเบาๆ…
เฉินเป่ยเห็นสถานการณ์แบบนี้เข้า…รู้สึกเพียงว่าเลือดกำเดาเกือบจะพุ่งออกมา…
“นี่…ยัยหนู ฉันว่าเธอทำอะไรเนี่ย?” เฉินเป่ยตวาด “นี่…เธอใส่เสื้อผ้ากลับคืนเลยนะ…”
เฉินเป่ยแทบจะตะลึงงัน…นี่…ยัยเด็กคนนี้เป็นอะไรกัน? ดื่มเหล้ามาเท่านี้…ต้องร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ? ต้องมีปฏิกิริยาหนักขนาดนั้นเชียวเหรอ?
ในขณะเดียวกันทันใดนั้นเฉินเป่ยพบว่า…ร่างกายของตนเองก็ร้อนรุ่มกะทันหันอยู่บ้าง??
เขาเพียงรู้สึกว่าบนหน้าค่อยๆ มีความร้อนที่เผาไหม้…ไม่นานน้ำเหงื่อไหลออกมาแล้ว ปกคลุมเต็มหน้าผากของเขา…เสื้อของเขาก็เปียกชุ่มเช่นกัน…สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแดงระเรื่อ…
เฉินเป่ยพยายามเขย่าศีรษะของตนเอง…ทำไมถึงได้? หรือว่าตนเองเมาแล้ว? นี่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครรู้ดีถึงปริมาณการดื่มของตนเองดียิ่งกว่าเขาได้… ความสามารถในการดื่มของเขา…เรียกได้ว่าพันแก้วยังไม่ล้ม วันนี้แค่ดื่มเหล้านอกไปไม่เท่าไรแค่นี้เอง…จะเมาได้อย่างไรกัน?
แต่ว่าเวลานี้ ความรู้สึกของร่างกายกำลังเตือนสติเขาอยู่ไม่ขาด…ตนเองเหมือนจะเมาเหล้าแล้ว…การรู้สึกตัวของเขาค่อยๆ เลือนหายไป…
และหลิวจิ้งจิ้งที่อยู่เบาะข้างคนขับได้หลงใหลไปถึงที่สุด…ใบหน้าของเธอแดงไปหมดทั้งแถบ…แดงแบบแปลกมากๆ…ผมยาวพันยุ่งเหยิง…ขนตาที่เรียวยาวสั่นเบาๆ…บนตัวมีเหงื่อเม็ดเล็กวิบวับไหลออกมา…ลมหายใจทั้งหมดของเธอดูผิดจังหวะอย่างน่าประหลาดใจ…ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนว่ากำลังจมสู่สภาพเพ้อฟันที่น่าประหลาดสักอย่าง สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนหาย จากนั้นค่อยๆ พังทลายลง…
เกิดอะไรขึ้นกัน? นี่สรุปว่ามันเรื่องอะไรกัน? เฉินเป่ยแค่รู้สึกว่าจิตใจค่อยๆ สับสน…เหมือนมีฤทธิ์ยาอะไรกำลังพยายามก่อกวนสติสัมปชัญญะของเขา…อยากเข้าควบคุมเขา…
อารมณ์เฉินเป่ยในเวลานี้เหมือนถูกความคิดที่ยุ่งเหยิงเข้าแทนที่…เขาหันหน้ามองหลิวจิ้งจิ้งแวบหนึ่ง…ในขณะนี้ เขาเพิ่มระดับความตื่นตัวทั้งหมดขึ้น…ทำให้ตนเองพยายามรักษาสภาพปกติ…
จิตวิญญาณระดับสูงของเฉินเป่ยรวมตัวกันขึ้นมา…และค่อยๆ พบความผิดปกติบนท้องถนนเข้า…
ดูผ่านกระจกมองหลังของรถไมบัค…แอบปรากฏภาพเงารถที่ตามมาอย่างแปลกประหลาดสองคัน…
มีคนสะกดรอยตาม
เมื่อสักครู่สติสัมปชัญญะของเฉินเป่ยไม่แจ่มแจ้งนัก…จึงไม่รู้ตัวมาโดยตลอด…นึกไม่ถึงว่าตนเองถูกสะกดรอยตามเข้าแล้ว?
เฉินเป่ยพยายามฝืนกลั้นความคิดสกปรกที่สับสนวุ่นวายในหัวสมองพวกนั้นไว้…เขาเปลี่ยนเกียร์เพิ่มความเร็วทันใด…
รถไมบัคแล่นฉิวออกไป พยายามสะบัดรถยนต์ที่สะกดรอยตามท้ายสองคันนั้นที่อยู่ด้านหลังทิ้งไป
ด้านหลัง โฟล์กสวาเกนสีดำสองคันนั้นก็ขับเร็วขึ้นไปด้วยในทันใด ตามด้านหลังรถไมบัคแบบไม่ช้าไม่เร็ว ราวกับมีวงจรปิด
รถไมบัคแล่นอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง ในรถเป็นความรู้สึกหลงใหล…อากาศเหมือนโดนอุณหภูมิร่างกายของสองคนนี้ส่งผลกระทบจนเปลี่ยนไปอบอุ่น…หลิวจิ้งจิ้งที่อยู่ข้างคนขับสับสนเหมือนเสียสติไปแล้ว…เสื้อผ้ายุ่งไปหมด…กระโปรงพลีทก็ยุ่งเหยิงจนดึงขึ้นมาส่วนหนึ่ง…เหมือนเสียการควบคุมไปทั้งตัว…ใบหน้าเธอแดงมาก ทันใดนั้นก็กระโจนใส่บนตัวเฉินเป่ย…
“ฉันร้อนมาก…ร้อนจัง…อึดอัดมาก…” ดวงตาหลิวจิ้งจิ้งสับสนไร้ที่เปรียบ วินาทีนี้ เธอเสียการควบคุมถึงที่สุดแล้ว…
เดิมทีเวลานี้เฉินเป่ยอยู่ในสภาพที่เสียการควบคุมเช่นกัน ตกใจการกระทำแบบนี้ของหลิวจิ้งจิ้งเข้าแล้ว…จิตใจของเขาเกือบพังทลาย…
วินาทีนี้ เฉินเป่ยเรียกสติกลับเข้ามาทันที เขากัดลิ้นอย่างแรงทีหนึ่ง ลิ้นถูกกัดจนเลือดสดไหลซิบ ความเจ็บจู่โจมมา ดึงสติของเขาให้กลับมาปกติดังเดิม
ในหัวสมองของเฉินเป่ยมีภาพแต่ละฉากฉายผ่านไป…แบบถอยหลัง การปรากฏตัวลึกลับของเซวอี้…ในผับ…
ในชั่วพริบตาเดียวลูกเฉินเป่ยก็แข็งทื่อ
เหล้านั้น… เหล้านั้นมีปัญหา
ในที่สุดเฉินเป่ยได้สติกลับเข้ามาแล้ว มิน่าเขาดื่มเหล้านั้นแล้ว…ถึงรู้สึกว่าในรสชาติมันมีสิ่งแปลกๆ อย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา…ในเหล้านั้น…มียา เซวอี้…เซวอี้ใส่ยาลงไปในเหล้า
สีหน้าของเฉินเป่ยดูแย่ถึงขั้นสุด เขามองหญิงสาวที่อ่อนระทวยคนนั้นในอ้อมอก…คำตอบในใจยิ่งเผยออกมาถึงที่สุด เขา…ถูกเซวอี้เล่นงานแล้ว
คาดไม่ถึงว่าเซวอี้จะใส่อะไรลงไปในเหล้า
ท้องถนนด้านหลัง รถโฟล์กสวาเกนสองคันกำลังสะกดรอยตามรถไมบัคมาไม่ขาดสาย
“เหมือนว่าถูกพบเข้าแล้ว?” ในรถโฟล์กสวาเกน สมาชิกสูทสีดำคนหนึ่งค่อยๆ พูดขึ้น
“กลัวอะไร…เฉินเป่ยคนนั้นโดนยาเข้าไปตั้งนานแล้ว…ฤทธิ์ยาคงทำงานเรียบร้อยแล้ว…เขากับยัยเด็กคนนั้นทั้งสองคน…เดิมทีไม่มีทางควบคุมตัวได้…หึๆ…” ผู้ชายอีกคนหนึ่งมีรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก
ในมือพวกเขาถืออุปกรณ์การถ่ายภาพสารพัดไว้กันหมด…กล้องถ่ายวิดีโอในยามค่ำที่ความคมชัดสูง…กล้องดีเอสแอลอาร์…สารพัดอุปกรณ์แอบถ่ายถูกเตรียมพร้อมครบครัน…คืนนี้ พวกเขาต้องบันทึกละครโรแมนติกฉากหนึ่งในเหตุการณ์ไว้
“แต่แรงต้านทานของผู้ชายคนนั้นยังแข็งแกร่งจริงๆ…นี่เป็นปริมาณยาขนาดสิบเท่า…มาถึงเวลานี้แล้วเขายังรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้…รอจนฉันร้อนใจจะตายแล้วเนี่ย!” ในรถโฟล์กสวาเกน ผู้ชายเบะปากพูดอย่างร้อนใจอยู่บ้าง
“รีบอะไรกัน…ประธานเซวให้พวกเราสองคนใส่ยาลงไปสิบเท่าแล้ว…รออีกหน่อยให้พวกเขาได้สนุกกัน…”คนขับรถหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย สีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง “ยัยเด็กคนนั้นหน้าตาสวยสดใสขนาดนั้น…รอเดี๋ยวถ่ายคลิปเสร็จ…พวกเราเสพสุขด้วยกันสักหน่อย…จะปล่อยให้เสียของไปไม่ได้หรอก…”