สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 89
บทที่ 89 กลายเป็นสามีตอนไหน?
ในห้องทำงานของผู้อำนวยการ หลีชิงเยียนไม่รู้เกิดขึ้นตอนไหน ได้ถอดรองเท้าส้นสูงลงแล้ว เปลือยเท้าเรียวๆยืนตกอยู่ตรงหน้าหน้าต่าง มองไปยังCBDที่อยู่ไกล ในลูกตาดำที่สวยงามได้กะพริบความยุ่งเหยิงซับซ้อนจากการต่อสู้ดิ้นรนระยิบระยับไว้
แขนทั้งคู่ของเธอได้กอดอก ไม่มีใครสามารถคิดได้ ประธานเทพธิดาที่ดุร้ายและรวดเร็ว ก็จะมีตอนที่สับสนเช่นนี้
ทางด้านหลังของหลีชิงเยียน ซูเสี่ยวหยุนเอียงตัวอยู่ที่บนโต๊ะทำงาน จสกนั้นได้ถอนหายใจเบาๆ “เธอเนี่ย ก็คือปากแข็งใจอ่อน……”
“เห็นได้ชัดว่าคือชอบเขา ทุกครั้งกลับทำท่าทางรังเกียจเขาออกมา เธอดู ถูกผู้หญิงอื่นล้อมไปแล้วเถอะ” ซูเสี่ยวหยุนมองรูปภาพแต่ละใบไว้ จากนั้นก็ได้ถอนหายใจ
“เขาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาด้วยตัวเอง ยังโทษฉันอีกหรือ?” หลีชิงเยียนส่งเสียงไม่พอใจ และได้เปิดปากพูดด้วยความไม่พอใจ
“คำพูดก็ไม่สามารถพูดแบบนี้ได้ เธอกับเขาแต่งงานกันมากี่เดือนแล้ว เขาเคยสัมผัสเธอกี่ครั้ง? ก็แม้ว่าเขาเป็นสามีแต่ในนามของเธอ นั้นก็ไม่สามารถเย็นชาแบบนี้ได้……”ซูเสี่ยวหยุนพูดโน้มน้าว “เสี่ยวเยียน อย่างน้อยที่สุดที่เขาปฏิบัติต่อเธอก็ยังนับว่าไม่เลว แม้ว่าไม่ได้เป็นคนลึกลับที่ช่วยเธอหลายต่อหลายครั้งในวิกฤตการณ์ แต่เขาก็นับว่ามีความรับผิดชอบแล้ว”
“เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมความต่างก็มากเช่นนั้นล่ะ……” หลีชิงเยียนถอนหายใจออก จากนั้นก็พูดด้วยความทอดถอนใจ
“เธอแม้แต่คนลึกลับก็ไม่รู้ว่าคือใคร เป็นผู้ชายเป็นผู้หญิงก็แยกไม่ชัดเจน” ซูเสี่ยวหยุนกลั้นไม่ไหวได้เผลอหัวเราะออกมา
“นั่นฉันไม่สนใจ ดูคนอื่นแล้วเธอค่อยดูเขา ทุกครั้งตอนที่เมื่อมีอันตรายก็หลบขึ้นมา” หลีชิงเยียนแขวะอย่างบ้าคลั่ง “บนงานประมูลได้เป็นที่สนใจของชาวบ้านก็คือใช่เงินของเธอ เขามีความสามารถอะไร ที่มากที่สุดก็คือคนใช้ที่มีความสามารถค่อนข้างที่จะแข็งแกร่งคนหนึ่ง
“เธอคิดด้วยตัวเธอเองให้ดีๆเถอะ” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มเจื่อนๆและได้ส่ายหัวไปมา วางรูปภาพลง และเดินออกจากห้องทำงานแล้ว
ในคฤหาสน์ เฉินเป่ยกำลังทำงานบ้านอยู่ ทันใดนั้น เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้นถี่ๆ
ในใจของเฉินเป่ยตื่นเต้น คิดว่าเป็นหลีชิงเยียนโทรศัพท์เข้ามา และได้รับสายอย่างมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก
โทรศัพท์สายนั้น ที่ส่งเข้ามาเป็นเสียงที่มีเสน่ห์ดึงดูดของซูเสี่ยวหยุน ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
“พี่ซู มีเรื่องอะไรไหม?” เฉินเป่ยพูดถาม
“ดูๆว่านานกับเสี่ยวเยียนเป็นยังไงบ้าง มีอะไรที่ฉันจะช่วยได้ไหม” ซูเสี่ยวหยุนพูด
เฉินเป่ยยินดีอย่างยิ่ง และได้รีบพูด “พี่ซู พี่โน้มน้าวชิงเยียนเถอะ เรื่องนี้ฉันยอมรับผิดแล้ว”
“ต้องการให้ฉันช่วยเธอใช่ไหม?” โทรศัพท์สายนั้น น้ำเสียงของซูเสี่ยวหยุนช่างชักนำคนมาก “ได้ก็คือได้ เพียงแต่ว่าคืนนี้เธอต้องช่วยฉันเรื่องหนึ่ง”
“ไม่มีปัญหา!” เฉินเป่ยแม้ว่าซูเสี่ยวหยุนต้องการให้ช่วยอะไรก็ล้วนไม่รู้ คำอื่นยังไม่พูดก็ได้ตอบรับลงมาแล้ว
“นายก็ไม่ตัดสินใจที่จะคิดให้ดี?” ซูเสี่ยวหยุนที่อยู่ในสายโทรศัพท์นั้นได้ชะงักงัน
“ฟ้าสูงแผ่นดินใหญ่ เมียใหญ่ที่สุด ขอเพียงแค่ปลอบเมียฉันให้ดีได้ ให้ฉันเป็นวัวเป็นม้าก็ได้” เฉินเป่ยหัวเราะฮ๋าๆ
“เธอก็ทำต่อนายแบบนั้นแล้ว นายยังรักเธอรักอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส……” ซูเสี่ยวหยุนได้ถอนหายใจฟอดหนึ่งแล้ว “ตอนกลางคืนใส่ชุดสูททางการทั้งตัว ฉันมารับนาย ง่ายมาก เข้าร่วมงานเลี้ยงหนึ่ง”
“งานเลี้ยง ไม่มีปัญหา” หลังจากที่เฉินเป่ยวางสายโทรศัพท์ ก็ได้ทำงานบ้านทั้งบ่ายแล้ว หลังจากทุกอย่างทำเสร็จ ถึงได้เลือกชุดสูทที่สูงตรงทรงพลังชุดหนึ่งออกมาจากในตู้เสื้อผ้า
นำเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สกปรกบนตัวเขาเปลี่ยนออก หลังจากที่หวีผมล้างหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วถึงได้ออกจากบ้าน
หกโมงเย็น รถบีเอ็มดับเบิลยูคันหนึ่งได้ห้อตะบึงมาจากที่ไกลออกไป และได้จอดอยู่ตรงประตูใหญ่ของบ้านหรูอย่างตรงเวลา
เฉินเป่ยเดินออกมาจากประตูใหญ่ หน้าต่างรถก็ได้เลื่อนลง ปรากฏใบหน้าอ่อนช้อยที่สวยหยาดเยิ้มกินใจคนนั้นของซูเสี่ยวหยุนออกมา
“นาย……” ซูเสี่ยวหยุนมองไปทางเฉินเป่ยลูกตาดำที่สวยงามก็ได้มีความงงงันกะพริบผ่าน……เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของเฉินเป่ยคือมากเกินไปจริงๆ!
ชุดสุทที่ตรงสีน้ำเงินเข้มทั้งตัว หนวดเคราที่ยุ่งเหยิงได้ถูกโกนจนสะอาดสะอ๊าด เฉินเป่ยในเวลานี้กับเฉินเป่ยก่อนหน้านี้แทบจะแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน!
“พระเจ้า นี่……นี่คือนายเฉินเป่ย?” ซูเสี่ยวหยุนได้ถอนแว่นกันแดดอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อ จากนั้นก็ได้สังเกตเฉินเป่ยอย่างละเอียด
“เป็นยังไงบ้าง?” เฉินเป่ยยิ้มเล็กน้อย เฉินเป่ยในเวลานี้ มีเสน่ห์ของผู้ชายส่งกระจายออกมาทั่วตัวเป็นอย่างยิ่ง ก็แม้แต่น้ำเสียงก็ได้เปลี่ยนไปจนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
“ดีมาก ฉันก็กลัวว่าฉันจะอดไม่ไหวรักนายแล้ว” ซูเสี่ยวหยุนได้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เฉินเป่ยทำให้เธอตกใจมากจริงๆ เดิมทีเธอก็คิดไม่ถึงว่าเฉินเป่ยยังจะมีด้านที่รูปหล่อเท่ได้เช่นนี้อีก!
คนที่ไม่รู้จะต้องรู้สึกว่า อากัปกิริยามือไม้ท่าทางของเฉินเป่ยได้กระจายความมีเสน่ห์กับความมั่นใจในตัวเองออกมา จะต้องเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!
“ขึ้นรถ” ซูเสี่ยวหยุนเปิดประตูรถออก เฉินเป่ยได้นั่งอยู่ตรงเบาะที่นั่งข้างคนขับแล้ว
“ไปเข้าร่วมงานเลี้ยง ทำไมจะต้องให้ฉันตามเข้าไป?” เฉินเป่ยพูด
“งานเลี้ยงรุ่นมัธยมปลาย ให้นายมาเป็นโล่ให้ฉันสักหน่อย” ซูเสี่ยวหยุนขับรถและพูดอธิบาย
“พูดได้ดี เรื่องที่ง่ายขนาดนี้ ฉันคิดว่าล่ะ” มือใหญ่ๆของเฉินเป่ยได้โบกอย่างไม่สนใจ
ซูเสี่ยวหยุนหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่น่าดึงดูด “ด้านในเพื่อนนักเรียนชั้นมัธยปลายกลุ่มนี้ของพวกเรา มีคนมากมายก็ล้วยคือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จจำนวนหนึ่ง เป็นประธานในบรรดาบริษัทชั้นนำห้าร้อยแห่งในต่างประเทศตั้งนานแล้ว”
เฉินเป่ยพยักหน้า ใบหน้าที่เงียบสงบรวมกับว่ากิจการที่แข็งแรงห้าร้อยแห่งนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เขาตื่นตกใจมากเกินไป
ซูเสี่ยวหยุนได้มองเฉินเป่ยแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ “คาดไม่ถึงว่านายจะไม่ประหลาดใจ?”
“เขาเป็นประธานของกิจการที่แข็งแรงห้าร้อยแห่ง เกี่ยวข้องกับฉันอะไร” เฉินเป่ยยักไหล่
บนเรื่องจริงที่ซูเสี่ยวหยุนไม่รู้ก็คือ ตอนนั้นกิจการของไต้ห้าวหนาน ก็ได้เกินกิจการชั้นนำห้าร้อยแห่งไปนานแล้ว แต่อยู่ในสายตาของเฉินเป่ยแล้ว ก็เหมือนกันที่เป็นเพียงการดีดปลายนิ้วของการทำลาย!
ลูกตาดำที่ลึกซึ้งเงียบสงบของเฉินเป่ย คือกิจกรรมชั้นนำห้าร้อยแห่งก็ดี ไม่ใช่กิจการชั้นนำห้าร้อยแห่งก็ช่าง……อยู่ในสายตาของเฉินเป่ย มีความแตกต่างงั้นเหรอ?
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง รถบีเอ็มดับเบิลยูก็ได้จอดลงมาอยู่หน้าโรงแรมใหญ่แชงกรีล่าแล้ว
หลังจากที่ซูเสี่ยวหยุนจอดรถเสร็จก็พาเฉินเป่ย เดินเข้าสู่ภายในโรงแรมช้าๆ
ข้อกำหนดของโรงแรมแห่งนี้สูงมาก ที่ส่วนบนสุดมีห้องชุดของประธานาธิบดี ห้องโถงงานเลี้ยงมีโคมระย้าเพชรขนาดใหญ่ แสงมันวาวได้เปล่งแสงแวววับนับไม่ถ้วนออกมา ส่องห้องโถงงานเลี้ยงทั้งห้องได้สว่างยิ่งใหญ่ขึ้น
เท้าเหยียบอยู่บนพรมที่อ่อนนุ่ม นิสัยเฉพาะตัวของเฉินเป่ยได้เปลี่ยนไปทั่วตัว ท่าทางปกติที่ยอมลดเกียรติต่ำต้อยแน่นอนว่าไม่มีอยู่ เวลานี้ทุกๆการประทำของเฉินเป่ย เมื่อขมวดคิ้วเมื่อยิ้มก็เต็มไปด้วยความรู้สึกของความมหัศจรรย์ เป็นคนหนึ่งที่มีท่าทางของสุภาพบุรุษที่รวดเร็วฉับไวสง่าน่าเกรงขาม
ซูเสี่ยวหยุนที่อยู่ด้านหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองเฉินเป่ยมากขึ้นไปกี่ที ในลูกตาดำที่สวยงามเต็มไปด้วยความตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เฉินเป่ยยังสามารถมีท่าทางเช่นนี้ได้อีก
ภายใจห้องโถงงานเลี้ยง แขกผู้มาเยือนมากมาย แก้วเหล้าทีละมอบออกมาชนกัน ก็อยู่มรตอนที่มีการพูดมีการหัวเราะของการพูดคุยสนทนาในหัวข้อที่แต่ละคนให้ความสนใจ
ที่นี่กับสังคมแลกเปลี่ยนชั้นสูงไม่มีความแตกต่าง……ทุกคนที่นี่ก็ล้วนเป็นตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยที่มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจ
“ซูเสี่ยวหยุน?”
เฉินเป่ยกับซูเสี่ยวหยุนเพิ่งจะเดินเข้าสู่ห้องโถงงานเลี้นง คนวัยกลางคนท่านหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ได้เปิดปากอย่างประหลาดใจ
“เป็นฉัน” ซูเสี่ยวหยุนพูดพร้อมยิ้มบางๆ
“นานแล้วที่ไม่ได้พบกัน คิดไม่ถึงว่างานเลี้ยงรุ่นของวันนี้เธอก็มาแล้ว ฉันก็เกือบจะจำเธอไม่ได้……” คนวัยกลางคนได้พูดและยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ฉันก็ด้วย ไม่พบกันมาหลายปีเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงของทุกคนมีมากแล้ว” ซูเสี่ยวหยุนได้ตอบกลับด้วยการแสดงความเคารพอย่างสุภาพ และได้ยิ้มช้าๆ
ทั้งสองคนก็ได้พูดคุยกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฉินเป่ยมองไปรอบๆทันใดนั้นตรงหน้าสายตาก็ได้สว่าง และได้เดินไปถึงทางด้านหนึ่งที่มีอาหารว่างวางอยู่ที่โต๊ะนั้น จากนั้นก็ได้กินดื่มขึ้นมาอย่างไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
กินไปได้แล้วครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ก็มีเงาหนึ่งส่งมาจากทางด้านหลัง “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม?”
“รสชาติพอได้” เฉินเป่ยชื่นชมแล้วชื่นชมอีก
ใบหน้าที่อ่อนช้อยมีสวยงามและเสน่ห์ของซูเสี่ยวหยุนได้เหงื่อตกด้วยความอับอาย โรงแรมใหญ่แชงกรีล่า เป็นระดับห้าดาวได้มาตรฐานทั้งหมด อาหารว่างของที่นี่ก็มีฝีมือละเอียดและงดงามเป็นอย่างมาก รสชาติก็เลิศล้ำที่สุด
ผลสุดท้ายเฉินเป่ยสินค้าชิ้นนี้ได้พูดออกมาจากในปาก……คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพอได้……
“เก็บท้องไว้หน่อย อีกเดี๋ยวมีอาหารอันโอชะรอนายกินล่ะ” ซูเสี่ยวหยุนพูด
“อาหารอันโอชะ?” ในลูกตาดำของเฉินเป่ยได้กะพริบรอยยิ้มที่ลึกซึ้งหนึ่งผ่านไป
เขามีอาหารอันโอชะอะไรที่ไม่เคยกิน……เป๋าฮื้อ กุ้งมังกร……ปลิงทะเล……อยู่เมืองนอกมาตั้งนาน เขาก็ล้วนคือพาพวกพี่น้องขับขบวนเรือด้วยตัวเองไปบริเวณทะเลลึก จับก่อนกิน……
ตอนที่อยู่ในโรงแรมมากมายพวกนั้น บนโต๊ะอาหารที่ได้พบก็คือวัตถุดิบราคาที่สูงมาก…… เฉินเป่ยกลัวว่ากินแล้วก็ต้องรีบคายแล้ว
ตรงกันข้ามคืออาหารว่างเล็กๆที่มีฝีมือละเอียดงดงามพวกนี้ ทำให้เฉินเป่ยกินขึ้นมาแล้ว มีความรู้สึกถึงรสชาติที่ไม่ต้องปรุงแต่ง
ในห้องโถงงานเลี้ยงมีแขกผู้มาเยือนมากเกินไปแล้ว เพื่อนนักเรียนเก่าที่คุ้นเคยแต่ละคนก็ได้ทยอยพูดคุยกับซูเสี่ยวหยุน เฉินเป่ยก็กินดื่มตลอดทาง แต่ปากก็ไม่เคยไม่ยิน
เพื่อสิ่งนี้ ซูเสี่ยวหยุนจึงอดสงสัย ท้องของเฉินเป่ยอีกด้าน คือเชื่อมติดกับหลุมดำใช่ไหม
ทันใดนั้นคนวัยกลางคนพุงย้ายคนหนึ่งก็ได้รีบเดินเข้ามาทางซูเสี่ยวหยุน ซูเสี่ยวหยุนเห็นถึงคนนี้
คนวัยกลางคน ได้ขมวดหัวคิ้วแล้วขมวดอีกกับใบหน้าที่อ่อนช้อยงดงามที่หาได้ยาก เหมือนกับคือรังเกียจคนอ้วนคนนี้มาก
“ช่วยฉันขวางไว้ครู่หนึ่ง” ซูเสี่ยวหยุนได้ดึงฉุดเฉินเป่ยที่อยู่ทางด้านหนึ่ง
คนวัยกลางคนเพิ่งจะต้องการเข้าใกล้ซูเสี่ยวหยุน ทันใดนั้นก็มีเงาหนึ่งกะพริบมาถึงตรงหน้าเขา ทำให้ฝีเท้าของเขาต้องหยุดชะงักลง
“นายเป็นใครล่ะ! ไสหัวออกไป!” คนวัยกลางคนได้โหดร้ายทารุณ น้ำเสียงไม่เป็นมิตรสุดขีด!
คนวัยกลางคนด้านหนึ่งได้พูด อีกด้านหนึ่งยังคงใช้แรงอย่างเต็มที่ ผลักเฉินเป่ยอย่างรุนแรงไปแล้วทีหนึ่ง!
แต่ก็อยู่ในชั่วพริบตาที่คนวัยกลางคนได้ออกแรง สีหน้าของคนวัยกลางคนก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
คนอ้วนพุงย้อยคนนี้ใช้แรงของการดื่มนม เฉินเป่ยยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิมอย่างไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขากับพื้นก็ได้ติดอยู่ด้วยกันแล้ว
ตลาดจนใบหน้าเขาได้แดงขึ้น มือทั้งคู่ขาทั้งคู่ก็ใกล้จะเป็นตะคริวแล้ว ร่างกายของเฉินเป่ย ยังคงไม่ได้เคลื่อนย้ายเลยแม้แต่น้อย
ซูเสี่ยวหยุนที่อยู่ทางด้านหนึ่ง ได้มองฉากนี้ไว้ มุมปากก็ได้ยกรอยยิ้มที่กลัดกลุ้มหนึ่งขึ้นมาแล้ว
“จะเป็นไปได้ยังไง……” สีหน้าของคนอ้วนได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และจ้องมองเฉินเป่ยไว้อย่างแน่นหนา ในลูกตาดำได้ปรากฏถึงความยากที่จะเชื่อออกมา
“นายกินข้าวหรือยัง? ทำไมแม้ว่านายใช้แรงฉันก็ไม่รู้สึกถึง?” เฉินเป่ยมองไปทางคนอ้วนทีหนึ่ง ด้วยใบหน้าที่แปลกใจ
“นาย……” ใบหน้าของคนอ้วนมีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ช้าก็ได้เกรงใจไปมากแล้ว ได้มองไปทางซูเสี่ยวหยุน และหัวเราะไปมาด้วยความเกรงใจ จากนั้นได้พูด “ท่านนี้คือ……” คนวัยกลางคนพุงย้อยท่านนั้นได้มองไปทาง
เฉินเป่ยหัวเราะเล็กน้อย เพิ่งจะต้องการเปิดปาก ทันใดนั้นซูเสี่ยวหยุนก็ได้แย่งเฉินเป่ยพูดและหัวเราะไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว
“ท่านนี้เป็นสามีของฉัน”
เฉินเป่ยชะงักงัน และได้มองไปทางซูเสี่ยวหยุนด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ
สามี เรื่องเกิดขึ้นตอนไหน?
ตัวเขาเองก็ล้วนไม่รู้