สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1482 สาวใช้ของคุณชายเย่ 1382
สวีเห้าเซิงแสดงท่าทางให้เธอลงรถ เข้าประตู ด้านในประตูคุณหมอกับพยาบาลสองคนที่นั่งอยู่ มองเห็นเขา คุณหมอส่ายหน้า “ก็ยังไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ และก็ไม่ยอมทานข้าวเลยครับ ยอมแค่ให้พวกเราฉีดสารอาหารชนิดเหลวให้”
สวีเห้าเซิงพยักหน้า เดินไปที่ทางขึ้นบันได หันหน้าไปแสดงความหมายให้ติงยียีตามมา เธอกลับรู้สึกกลัวเล็กน้อย มีความรู้สึกต่อต้านในใจอย่างไม่มีเหตุผล
“ไปเถอะ” สวีเห้าเซิงยิ้มให้เธออย่างใจดี ติงยียีรีบตามไป ชั้นสองกว้างใหญ่มาก แต่กลับมีเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น ประตูสีขาวครีมขนาดใหญ่สถาปัตยกรรมแบบยุโรปถูกปิดอย่างแน่นหนา
สวีเห้าเซิงเปิดประตู หัวใจของติงยียีเต้นรัวอย่างตื่นเต้น ภายในห้องว่างเปล่าไร้ผู้คน หัวใจที่เต้นรัวก็หล่นตุบทันที
สวีเห้าเซิงขมวดคิ้วเดินไปตรงหน้าตู้เสื้อผ้า เคาะประตูตู้เสื้อผ้า พูดว่า “เสี่ยวเสว่รีบออกมาเร็ว”
ที่แท้ก็เป็นอ้าวเสว่! ติงยียีเดินเข้าใกล้ตู้เสื้อผ้า เสียงดังออกมาจากตู้เสื้อผ้า เสียงสิ่งของแตกดังขึ้น ติงยียีไม่รู้ว่าอ้าวเสว่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ตกลงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!
สวีเห้าเซิงเห็นว่าตู้เสื้อไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ก็รีบออกแรงเปิดตู้เสื้อผ้า อ้าวเสว่ที่สวมชุดนอนสีขาวกระโปรงยาวถึงข้อเท้า หดงอตัวอยู่ในมุมตู้ บาดแผลบนแขนน่าตื่นตกใจ
“คุณพ่อ ขอโทษค่ะ หนูไม่สบายแล้ว” อ้าวเสว่ร้องคร่ำครวญ สายตากวาดไปมองติงยียีด้วยความตื่นตกใจ ในใจเต็มไปด้วยความยินดี เธอจะต้องบีบให้เย่เนี่ยนโม่ปรากฏตัว ทำให้เย่เนี่ยนโม่ไม่กล้าจากเธอไปอีก!
สวีเห้าเซิงอุ้มเธอออกมาวางบนเตียงอย่างสงสาร ปลอบประโลมเธอด้วยเสียงอ่อนโยน จู่ๆอ้าวเสว่ก็ดิ้นรนขัดขืนลุกขึ้นมา พลิกตัวลงจากเตียงคุกเข่าต่อหน้าติงยียี “เธออย่าไปยุ่งเขาเลยนะ ฉันทรมานมาก ขอร้องเธอละคืนเขาให้ฉันนะ จะเอาชีวิตฉันไปก็ได้!”
เธอพูดพลางกดแผลบนแขนตัวเองไปพลาง เลือดสดๆไหลทะลักออกมา สวีเห้าเซิงตกใจรีบไปเรียกคุณหมอ ติงยียีกลัวจนถอยกรูดไปข้างหลัง แต่ทันใดนั้นเองก็มองเห็นอ้าวเสว่ค่อยๆเปลี่ยนทิศทางของหัวเข่าแหวกมาที่ตำแหน่งตรงข้ามตนเอง
ตนเองตาฝาดไปเหรอ! คิดว่าวินาทีนั้นอ้าวเสว่ทำอย่างนั้นอย่างมีสติรู้ตัว ติงยียีตกใจความคิดของตนเอง ด้านข้างมีคนสองสามคนวิ่งมา คุณหมอพูดอย่างดุดันว่า “ตอนนี้คนไข้อารมณ์แปรปรวน ขอความกรุณากลับไปก่อนนะครับ”
สวีเห้าเซิงพาติงยียีกลับไปที่ห้องรับแขก เขายิ้มเจื่อนๆพูดว่า “นี่ก็คือเหตุผลที่ฉันพาเธอมาที่นี่”
“คุณต้องการให้ฉันไปจากเนี่ยนโม่เหรอคะ” ติงยียีพูดเน้นทและคำ เขาพยักหน้า “ถ้าอ้าวเสว่ไม่ได้ป่วย อย่างนั้นฉันก็จะให้พวกเธอต่อสู้กันอย่างยุติธรรมไม่มีทางแทรกแซงเด็ดขาด แต่ว่าเธอป่วยแล้ว ผมจะไม่สนใจเธอเลยได้ยังไง!”
ติงยียีเม้มปาก ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรที่จะมาเกลี้ยกล่อมตนเองให้ปล่อยมือจากเนี่ยนโม่ แต่ทุกครั้งที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของเธอตอนนี้ก็เจ็บจนอยากจะควบคุมได้
“ลูกสาว!” จู่ๆ ก็มีหญิงสาวที่แต่งตัวเรียบร้อยดูดี แต่งหน้าสวยงามเดินเข้ามาคนหนึ่ง ติงยียีมองย่างตกตะลึง
แน่นอนว่าซือซือเองก็เคยเจอกับติงยียีแล้ว แต่ยังเดินมาข้างเธอทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักกัน พูดอย่างน้ำตาซึมว่า“คุณผู้หญิงคนนี้ อ้าวเสว่ของเรามีความรักอย่างลึกซึ้งจริงๆ คุณปล่อยพวกเขาสองคนได้มั้ย”
ติงยียีก้มหน้าไม่พูดอะไร สายตากลับมองไปที่กำไลบนข้อมือของหญิงสาวคนนี่ รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด เหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนในบ้าน
ซือซือเห็นเธอไม่พูดอะไร โทนเสียงก็เปลี่ยนไปทันที เสียงก็เปลี่ยนเป็นแหลมสูง “ผู้หญิงคนนี้อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอมีความคิดอะไร เย่เนี่ยนโม่กับลูกสาวฉันคบหาอยู่ด้วยกันแต่แรก เธอต่างหากที่เป็นมือที่สาม !”
“พอแล้ว” สวีเห้าเซิงตะคอกซือซือเธออึ้งไป ปาดน้ำตาถลึงตาใส่ติงยียีอย่างดุร้าย แล้วรีบขึ้นไปชั้นบน
ติงยียียังคงคิดถึงเรื่องกำไลที่เห็นเมื่อครู่ ตกลงว่าเห็นที่ไหนกันแน่นะ
ภายในห้อง ซือซือเปลี่ยนอารมณ์ความเศร้าเสียใจก่อนหน้านี้ วิ่งเข้าไปเติมเครื่องสำอางที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่ได้เหลียวมองอ้าวเสว่ที่นอนอยู่บนเตียงเลย
หลายวันนี้อ้าวเสว่มีชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารเหลว บวกกับเสียเลือดมาก ดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง เห็นแม่เข้ามาก็ไปเติมหน้าก่อน ก็หัวเราะเยาะเย้ย
ซือซือปัดขนตาไปพลางพูดไปพลาง “ทำแบบนี้ต่อไป ทำให้เย่เนี่ยนโม่ต้องยอมจำนน”
“คุณแม่ หนูเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้” อ้าวเสว่ก้มหน้ามองบาดแผลบนข้อมือตัวเอง ตนเองกลายเป็นคนที่ต้องอาศัยวิธีพวกนี้มามัดหัวใจผู้ชายคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่
ซือซือกลัวว่าเธอจะเสียใจภายหลัง รีบเดินกลับมาที่หน้าเตียง ก้มมองดูเธอ “ต้องคิดว่าที่ลูกทำทั้งหมดตอนนี้ก็เพื่อที่จะได้ครองคู่อยู่กับเย่เนี่ยนโม่” “ครองคู่กันเหรอ” อ้าวเสว่กัดฟัน พยักหน้า
หลังจากเดินออกมาจากคฤหาสน์ ติงยียีไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานแค่ไหน และก็ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว รู้แค่เพียงว่า ท้องฟ้าจากสว่างเปลี่ยนเป็นมืดแล้วทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนไป เธอยังคงอยู่บนถนน
มีรถยนต์คันหนึ่งขับผ่านด้านข้างไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดรถอย่างกะทันหัน เธอเดินต่อไปข้างโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งไหล่ถูกคนจับยึดไว้
เย่เนี่ยนโม่มองเธออย่างร้อนใจ เขากลัวว่าคุณลุงสวีจะมาหาเธอ ดังนั้นจึงให้เย่ป๋อคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วก็ยังพลาดได้
“ยียี อ้าวเสว่ป่วยแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ ทุกอย่างปล่อยให้ผมจัดการ” เย่เนี่ยนโม่มองใบหน้าขาวซีดของเธอ สงสารจับใจ
“แขนของเธอมีบาดแผลมากมายขนาดนั้น เลือดไหลตลอดเวลา” ติงยียีรีบทำท่าทางบนแขนของตนเอง อยากจะบอกเขาว่าภาพที่ตนเองเห็นน่ากลัวมากขนาดไหน
“ผมรู้ ผมรู้ ทุกอย่างมีผมคอยจัดการ” เย่เนี่ยนโม่จูบบนผมเธอ ตบหลังเธอเบาๆ ปลอบอย่างอ่อนโยน
ท้องฟ้าที่มืดสลัว รถยนต์ทะยานฝ่าสายลม เย่เนี่ยนโม่ค่อยหันหน้ามา มองติงยียีที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
รถยนต์หยุดลงบนทางเดิน เขาปลดเข็มขัดนิรภัย รถจอดบนทางเดิน สองมือประคองแก้มเธอเอาไว้ไม่ให้เธอหันหน้าหนี “คุณลุงสวีพูดอะไรเหรอ”
ติงยียีเหมือนกับถูกสปริงเด้งขึ้นมาอย่างนั้นรีบปฏิเสธทันที แววตาเย่เนี่ยนโม่ยิ่งลึกล้ำ ติงยียีโน้มตัวไปข้างหน้า พิงเข้ากับไหล่เขาเบาๆ พูดเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “พวกเราไปเอาแพนด้ากลับบ้านกันเถอะค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าเธอมีเรื่องอะไรในใจ แต่กลับเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ เขารัดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง รถมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่ง
บ้านตระกูลเย่ เย่ชูฉิงคว้ากระเป๋าสะพายเตรียมจะออกจากบ้าน หลังจากมองเห็นติงยียีก็ดีใจกอดเธอเอาไว้ไม่ปล่อย
“จะไปไหนอีก” เย่เนี่ยนโม่ถามเสียงเข้ม “จะไปเยี่ยมอันหรันอีกแล้วเหรอ” ติงยียีเองก็มองเย่ชูฉิงอย่างแปลกใจ ที่แท้เธอก็ชอบอันหรันนี่เอง
เย่ชูฉิงพยักหน้า ยิ้มพลางเอ่ยว่า “คนเราก็ต้องมีสิ่งที่ตนเองชอบบ้างสิคะ ไม่อย่างนั้นมัวแต่อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็จะบ้าเอาได้ง่ายๆนะคะ”
“โฮ่งๆ!” เสียงหมาเห่าดังมาจากชั้นสองแพนด้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปหาติงยียี หมากับคนกอดกันกลม ติงยียีถูกเลียจนหน้าเต็มไปด้วยน้ำลาย
“คึกคักขนาดนี้เลยเหรอ” ไห่โจ๋ซวนเดินเข้ามาจากประตู หลังจากเย่ชูฉิงมองเห็นเขาก็ดวงตาสว่างวาบ รีบก้มหน้าสำรวจตัวเองว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องเหมาะสมบ้าง
หลังจากทักทายกับติงยียีและเย่เนี่ยนโม่แล้วไห่โจ๋ซวนก็หันไปมองที่เย่ชูฉิง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “วันนี้มีเวลาว่างมั้ย มีหอการค้าแห่งหนึ่งต้องพาคู่เดตไปเข้าร่วมด้วย เธอก็รู้ว่าพี่ไม่มีคู่เดต ก็มีแค่น้องสาวอย่างเธอนี่แหละที่จะช่วยได้”
สีหน้าของเย่ชูฉิงค่อยๆหมดความสดใสไป เห็นชัดว่ามีความลำบากใจอยู่บนใบหน้า แต่กลับฉีกยิ้มกว้าง “ได้ค่ะ”
สายตาของไห่โจ๋ซวนหันไปมองที่ติงยียี พูดว่า “ยียีไปด้วยกันมั้ย ผมได้ยินว่ามีนักออกแบบอัญมณีบางคนก็จะไปด้วย พวกคุณสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้”
สายตาที่เย่ชูฉิงมองติงยียีมีการวิงวอนขอร้อง แน่นอนว่าติงยียีเข้าใจความหมายของเธอ จึงส่ายหน้าปฏิเสธไปว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังมีธุระอีก”
ไห่โจ๋ซวนก็ไม่ได้บีบบังคับ พยักหน้าให้เย่ชูฉิง ทั้งสองเดินจากไป พ่อบ้านเข้ามาพอดี มองเห็นเย่เนี่ยนโม่ก็พูดด้วยความดีใจว่า “คุณชายน้อย คุณไม่ได้กลับมาพักที่บ้านนานแล้ว คุณนายคิดถึงคุณมากเลยนะครับ”
“ห้องเขาไม่ได้น้ำรั่วเหรอคะ” ติงยียีถามอย่างแปลกใจ
“น้ำรั่วเหรอครับ” พ่อบ้านถามเย่เนี่ยนโม่อยากแปลกใจ มีห้องที่น้ำรั่วในบ้านตระกูลเย่โดยที่เขาไม่รู้ได้อย่างไร
เย่เนี่ยนโม่ส่งสายตาให้พ่อบ้านอย่างเงียบๆ พ่อบ้านอยู่ที่บ้านตระกูลเย่มานานหลายสิบปีจะไม่เข้าใจได้อย่างไร รีบรับลูกเขาทันทีว่า “ใช่ครับ น้ำรั่วหนักมาเลยครับ เฮ้อ!”
ติงยียีกลั้นหัวเราเอาไว้ไม่ไปเปิดโปงพวกเขา เย่เนี่ยนโม่ลากเธอเดินไปข้างนอก พ่อบ้านตะโกนจากด้านหลังว่า “คุณนายใกล้จะกลับมาแล้ว คุณชายน้อยไม่รอหน่อยเหรอครับ”
ติงยียีสัมผัสได้ว่าฝีเท้าเขายิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เธอคิดว่าเย่เนี่ยนโม่เหมือนไม่อยากให้ตนเองเจอกับคุณน้าเซี่ย
ระหว่างทางกลับ จู่ๆติงยียีก็เอ่ยปากอยากกลับไปดูบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ เย่เนี่ยนโม่จะไปส่งเธอ แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
เขาคิดว่าเธออยากจะอยู่เงียบๆ ไม่อยากบีบบังคับเอมากเกินไป จึงปล่อยให้ติงยียีลงรถตรงปากซอย ติงยียีมองรถที่หายลับสายตาไปตรงหัวมุมถนนแล้วจึงค่อยๆเดินเข้าไป
ทีมก่อสร้างภายในบ้านกำลังทำงานอย่างเต็มที่ เธอเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ มีข้าวของจิปาถะจำนวนมากที่ย้ายออกจากบ้านมาวางตรงมุมสนาม เธอเดินไปที่กองสิ่งของเพื่อตรวจดูทีละชิ้น
ข้าวของจิปาถะส่วนมากคือของเล่นในวัยเด็กของเธอ เธอเจอของเล่นม้าไม้ที่เก่าผุพัง นึกถึงตอนนั้นที่บ้านเริ่มตกต่ำ พ่อแม่ไปเรียนที่ร้านช่างไม้ศึกษาว่าทำของเล่นไม้อย่างไรโดยเฉพาะ เพื่อทำของขวัญวันเกิดให้เธอ ตอนนั้นมีเพื่อนหลายคนยังอิจฉาเธอ
สมุดบันทึกที่เก่าขาดเล่มหนึ่งถูกทับอยู่ใต้ของเล่นไม้ เธอเปิดออกอย่างรู้ ตัวอักษรภายในทำให้หัวใจเธอเต้นรัวขึ้นมาทันที
นั่นคือลายมือของแม่ ทำไมตอนที่จัดข้าวของถึงไม่เห็นนะ! เธอไม่สนใจความสกปรกเปียกชื้นบนพื้น นั่งลงไปทันที แพนด้าอยู่ข้างๆเธออย่างเชื่อฟัง
“วันแรก เสี่ยวยียีไม่ยอมดื่มนม ฉันกังวลใจแทบตาย ไม่รู้จะทำยังไงได้แต่เอาซีเรียลมาป้อนเธอ คิดไม่ถึงว่าเธอจะกินอย่างมีความสุขขนาดนั้น ลูกคนนี้ดูก็รู้ว่าเป็นจอมกินจุคนหนึ่งเลย!”
“วันที่สองร้อยหกสิบ วันนี้เด็กน้อยซนอย่างที่สุดเลย ทำชามข้าวคว่ำ ฉันถลึงตาใส่เธอ เธอยังคิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ความจริงเพราะว่าฉันสงสาร กลัวว่าข้าวที่ค่อนข้างร้อนจะไปลวกเธอเจ็บเข้า”
“วันที่สามร้อย····”
ติงยียีอ่านทุกหน้าทุกหัวข้อ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ความทรงจำในวัยเด็กทะลักเข้ามาในหัว ราวกับว่าแม่อยู่ข้างกายเธอตลอดไม่เคยจากไปไหนมาก่อนเลย
สมุดบันทึกเล่มบางๆไม่นานก็พลิกอ่านจนจบเล่มแล้ว สองหน้าสุดท้ายกลับติดเข้าด้วยกัน ติงยียีไม่อยากทำลายสมุดบันทึก และก็ไม่อยากฉีกออก