สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1510 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่1350
เย่เนี่ยนโม่มองเขา สีหน้าที่โดนปิดบังจากความมืดดำในเวลากลางคืนนอกหน้าต่าง“ไห่โจ๋ซวน”
ไห่โจ๋ซวนตกตะลึง น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมและจริงจังเป็นอย่างมาก ทำให้เขาอดกลั้นไว้ในใจไม่ไหว เขารู้สึกขายหน้าเลยพยายามปกปิดความประหม่าของตัวเอง “เกิดอะไรขึ้น?”
เย่เนี่ยนโม่กำหมัดแน่น ผ่านไปสักพักถึงผ่อนคลายลง เขาอยากจะพูดเสียงดังออกไปว่าเขารักติงยียีมาแค่ไหน อยากจะพูดเสียงดังว่าเขามองพี่น้องสำคัญมากขนาดไหน แต่ว่าคำพูดก็ค่อยๆจางลง เขาเลือกที่จะฝังมันเอาไว้
เขากลับตัวมาหยิบต้นฉบับนิตยสารที่เพิ่งจะได้รับมา “ถ้ามีผู้หญิงโดนทำร้ายอีกศูนย์การค้าสากลของบริษัทเย่ซื่อก็คงจะลำบากน่าดู บางทีอาจจะติดขัดจนต้องเลื่อนการก่อสร้างออกไปอย่างไม่มีกำหนด”
ไห่โจ๋ซวนอ่านต้นฉบับ น้ำเสียงก็ยิ่งเคร่งขรึม “นี่เป็นผู้หญิงคนที่สองแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้อีกต่อไป ยากที่จะรับประกันว่าเบื้องบนจะช่วยตรวจสอบ พอถึงเวลานั้นงบดุลของบริษัทคงจะต้องทำใหม่อีกครั้ง”
เย่เนี่ยนโม่ไม่พูดไม่จา มองออกไปนอกหน้าต่างไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่“คุณชาย คนฟื้นแล้วครับ”
เย่ป๋อพูดหลังจากรับโทรศัพท์เสร็จ
ในห้องผู้ป่วย ผู้หญิงซีดเซียวนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เห็นกลุ่มของเย่เนี่ยนโม่ก็ขดตัวคลุมโปงอย่างหวาดกลัว เหลือเพียงดวงตาที่หมุนกลิ้งไปมา
เย่เนี่ยนโม่พยายามลดเสียงลงอย่างเต็มที่ “สวัสดีครับ ผมอยากจะขอสอบถามคุณว่าเย็นวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
หญิงสาวขดตัวไม่ตอบ สายตามองไปที่เขาอย่างหวาดกลัว ไห่โจ๋ซวนก้าวมาด้านหน้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: “มา พูดมาเถอะ คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดไม่ใช่คนเลวนะ”
หญิงสาวมองเขา พูด: “เพราะว่าฉันอยากจะไปทางลัดก็เลยผ่านทางนั้นเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดเลยว่าจะมีคนมากอดฉันจากทางด้านหลัง จากนั้นก็ทำอนาจาร”
หญิงสาวยิ่งพูดก็ยิ่งหวาดกลัว เสียงค่อยๆหายไป เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว “ที่ตรงนั้นห่างจากตัวเมืองเป็นระยะทางพอสมควรเลยนะ คุณพักอยู่ที่ไหน?”
หญิงสาวพยักหน้าด้วยความกลัว เย่เนี่ยนโม่มือล้วงกระเป๋า สายตามองลงไปที่เสื้อผ้าราคาถูกของหญิงสาวที่พับอยู่บนหัวเตียงอย่างเงียบขรึม “จากที่ผมทราบมา ด้านหลังของศูนย์การค้าสากลนั้นมีเพียงแค่สามชุมชน แต่ละชุมชนราคาค่าห้องเป็นหลักล้าน”
เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างเชื่องช้า โทนเสียงนั้นยิ่งช้าลงเรื่อยๆ กดดันทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้หญิงมองเขาอย่างหวาดกลัว ศีรษะมุดเข้าไปในผ้าห่ม ไม่ยินยอมที่จะพูดต่ออีก
“เนี่ยนโม่ คุณโหดร้ายเกินไปแล้ว เธอก็เป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง!”สีหน้าของไห่โจ๋ซวนนั้นเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย
เย่เนี่ยนโม่ใช้สายตาส่งสัญญาณไปให้เย่ป๋อ กลับตัวเดินจากไป ด้านนอกห้องผู้ป่วย ไห่โจ๋ซวนส่งบุหรี่หนึ่งมวนให้กับเขา “คุณคิดว่าอย่างไร?”
เย่เนี่ยนโม่คีบบุหรี่เอาไว้ นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เคลื่อนไหวเล็กน้อย ยาสูบที่นำพากลิ่นนิโคตินหลุดจากมือของเขาหล่นลงไป
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา“ คุณลุง Baker ผมชื่อเนี่ยนโม่ มีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณ”
เขาคุยโทรศัพท์อย่างตั้งใจ ไม่มีใครเห็นว่าแววตาของไห่โจ๋ซวนนั้นเป็นประกายเต็มไปด้วยแผนการ
วันรุ่งขึ้น ติงยียีมองไปตรงยังสถานที่คุ้นเคยแต่กลับมีคนแปลกหน้านั่งอยู่ ในใจนั้นว่างเปล่า
“เอ๊ะ วันนี้คุณชายเย่ไม่มา” ช่างแต่งหน้าใช้ช้อนตักเนื้อปลาในหม้อพร้อมกับพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ติงยียีมองเธอยิ้มๆไม่ได้พูดอะไร
เมื่อวานไห่โจ๋ซวนส่งข้อความหาเธอ เธอจึงรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ศูนย์การค้าสากลอีกแล้ว และคิดไม่ถึงเลยว่าจะร้ายแรงขนาดนี้
ประตูกระจกถูกผลักเปิดออก เย่ป๋อเดินเข้ามาด้านใน เธอยืดศีรษะมามองด้านหลังของเขาอย่างไม่รู้ตัว
เย่ป๋อเดินมาที่ด้านข้างเคาน์เตอร์ พูดเสียงดัง: “เถ้าแก่สั่งข้าวหมูแดงกลับบ้านหนึ่งที่ สองวันนี้เจ้านายของฉันยุ่งมาก ดังนั้นเลยไม่สามารถมาที่นี่ได้”
เถ้าแก่ห่อข้าวหมูแดงส่งให้เขาอย่างยิ้มแย้ม เขาทำหน้าตายกะพริบตาไปทางติงยียี จากนั้นก็จากไปนำข้าวหมูแดงมาที่บริษัทเย่ซื่อ เย่ป๋อส่งตรงไปให้เลขา “ให้คุณเอาไปกิน”
Baker เย่เนี่ยนโม่ “บริษัทเย่ซื่อ เมืองตงเจียง”
ในสำนักงาน Bakerนั่งลงอย่างไม่สนใจ เย่เนี่ยนโม่กำลังคิดจะเอ่ยปากก็ถูกเขาตัดหน้าไปก่อน “ฉันรู้ว่าตอนนี้เรื่องของบริษัทเย่ซื่อคาดว่าในเมืองตงเจียงคงไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณลุงBaker คุณคิดว่าอย่างไร?”เย่เนี่ยนโม่ถามอย่างสงบเยือกเย็น
Bakerยกกาแฟที่เลขาส่งมาให้ขึ้นมาดื่มไปหลายคำ ผ่านไปนานสักพักจึงพูด: “คุณไปหาพ่อของคุณมาแล้วหรือยัง?”
เย่เนี่ยนโม่เงียบ ที่จริงแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นที่บ้านก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย นอกจากชูฉิงที่โทรมาถามหนึ่งครั้ง แม่และพ่อนั้นเหมือนจะเงียบกริบ
Bakerมองสีหน้าของเขาก็พอที่จะเดาได้อยู่บ้าง ถอนหายใจและพูด: “เย่เชินหลินไม่ออกโรงแสดงว่าเรื่องนี้สำหรับเขาแล้วไม่ได้อยู่ในสายตาเลย ถึงคุณจะไม่ยื่นมือเข้ามาสุดท้ายแล้วเขาเองก็คงสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ? คุณมีหลักฐานอะไรมายืนยัน?” ไห่โจ๋ซวนถามด้วยความสงบเยือกเย็นBakerเหลือบมองเขา “สำหรับผู้ชายหนึ่งคนที่กล้าออกมาจากเขตพื้นที่โรคระบาดในแอฟริกาคนเดียวได้ คุณคิดว่าจะมีเรื่องอะไรที่เขาจัดการไม่ได้?”
เย่เนี่ยนโม่นำข้อมูลของหญิงสาวส่งให้กับเขา“มาเริ่มกันเถอะ คุณลุงBaker”
Bakerรับข้อมูล สีหน้าท่าทางที่สนุกสนานเปลี่ยนเป็นสุขุมทันที เขาพลิกทีละหน้าดูจนจบ จากนั้นก็นำข้อมูลโยนข้อมูลทิ้งไว้บนโต๊ะ “ตอนนี้เด็กสาวทั้งสองคนไม่มีจุดที่เหมือนกัน”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาคิดไม่ออกมากที่สุด Bakerกลับมาที่หัวข้อ “พวกคุณเคยคิดไหมว่าเป้าหมายอาจจะไม่ใช่หญิงสาว”
“คุณจะบอกว่ามีคนจงใจพุ่งเป้ามาที่บริษัทเย่ซื่อ”ไห่โจ๋ซวนที่อยู่ด้านข้างแย่งพูดก่อน Bakerพยักหน้า
ทั่วทั้งสถานที่ตกอยู่ในความเงียบเหมือนกับป่าช้า เย่เนี่ยนโม่เป็นคนเริ่มกลับไปที่โต๊ะทำงานก่อนนิ้วมือที่ว่องไวนั้นกำลังทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ผ่านไปสักพักพูด“ในเมืองตงเจียงบริษัทที่สามารถแข่งขันกับบริษัทเย่ซื่อได้เหมือนว่าจะไม่มี ส่วนบริษัทที่เหลือสองสามแห่งช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่ได้มีข้อพิพาททางธุรกิจกับบริษัทเย่ซื่อ”
“ฉันเห็นว่าถ้าพุ่งเป้ามาที่บริษัทเย่ซื่อ พุ่งเป้ามาที่ ศูนย์การค้าสากล นั่นแสดงว่ามีความเป็นไปได้ว่าไม่นานหลังจากนี้จะมีคนถูกทำร้ายอีก”ไห่โจ๋ซวนพูดด้วยความกังวล
เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้น สายตากวาดไปที่Baker สองคนยิ้มอย่างรู้ทัน เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างเยือกเย็น: “ในเมื่อเขาอยู่ในที่ลับไม่เปิดเผยตน งั้นพวกเราก็จะเป็นคนลากเขาออกมาเอง”
“หมายความว่ายังไง?”ไห่โจ๋ซวนมองพวกเขาสองคนอย่างสงสัย Bakerยิ้ม จิบกาแฟหนึ่งอึก “ถ้าหากว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคือผู้หญิง เราเตรียมตำรวจหญิงก็พอแล้ว”
ติงยียีไม่เคยคิดมาก่อน โฆษณาเพียงแค่สามนาทีจะสามารถทำให้คนที่ไม่โด่งดังคนหนึ่งกลายเป็นคนที่ทุกตรอกซอกซอยให้ความสนใจได้ เธอนั่งอยู่ในสำนักงานที่กว้างขวาง ฝั่งตรงข้ามมีผู้ชายวัยกวางคนคนหนึ่งกำลังยิ้มและมองเธออยู่
“คุณหนูติงยียี ไม่ทราบว่าสนใจที่จะร่วมงานกับบริษัทศิลปะการแสดงแสงดาวหรือเปล่า ในเมื่อผมเองก็ว่าดีเหมือนกัน คนที่อันหรันเป็นคนเลือกทำไมถึงมีเสน่ห์มากมายขนาดนี้”ชายวัยกลางคันเล่นลูกประคำที่อยู่ในมือไปเรื่อยๆ เหมือนบรรยายโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย แต่ว่าดวงตานั้นเป็นประกายระยิบระยับ
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าความหมายของคุณ”ติงยียีมองเขาอย่างแปลกใจ
ผู้ชายพูดอย่างเชื่องช้า “หลังจากที่โฆษณาออกอากาศออกไป ก็เกิดเรื่องแปลกเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง มีสองอำนาจทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ว่าจะใหญ่เล็กในเมืองตงเจียงโดนกวาดเกลี้ยง หนึ่งในนั้นยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ คุณหนูติงยียีมองคนที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ”
ชายวัยกลางคนเล่นลูกประคำและมองดูเธออย่างพิจารณาครุ่นคิด แค่สองอำนาจที่พัวพันเป็นเครือข่ายใหญ่อยู่เบื้องหลังของเธอ ก็มากพอที่จะทำให้เขายินดีที่จะทุ่มเงินจำนวนมากเลี้ยงดูเธอ
ติงยียียืนขึ้นกล่าวคำขอโทษ: “ต้องขออภัยด้วยนะคะ ฉันไม่ได้เตรียมที่จะเข้าวงการบันเทิง”ชายวัยกลางคนรอยยิ้มขมขื่น “เป้าหมายหลักของคุณคงจะเป็นวงการโฆษณา คุณดูการ์ดเชิญพวกนี้”
ผู้ชายนำการ์ดเชิญที่ได้รับทั้งหมดมากางออก มีอยู่ห้าหกซอง ติงยียีกวาดตามองอย่างเร็วหนึ่งรอบ ด้านในซองพวกนั้นยังเป็นสินค้าที่เป็นที่รู้จักที่เห็นบ่อยๆในโทรทัศน์
“คุณหนูติงยียี ผมหวังว่าคุณจะมองงานนี้ด้วยความคิดทั่วไป โฆษณาประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จนั้นมองที่ยอดขายสินค้าเป็นสำคัญ ยอดขายในครั้งนี้คนที่ผลักดันสนับสนุนตัวสินค้านั้นไม่ใช่แค่อันหรันคนเดียว แต่ยังมีคุณ หวังว่าคุณจะพิจารณาอีกครั้ง”
ติงยียีไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไรดี เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะพาตัวเองไปอยู่ในแสงไฟต่อหน้าสาธารณชน เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่พร้อมจะจมหายไปในฝูงชน
ชายวัยกลางคนป้ายยากับเธอต่อไป “ถ้าวันนั้นคุณอยากจะออกจากวงการก็สามารถออกได้ หรือว่าคุณไม่อยากที่สร้างฐานะให้กับครอบครัวให้ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี?”
เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ พอคิดถึงคุณพ่อที่อยู่ในบ้านของคุณป้า ตอนที่เธอเพิ่งจะเรียนจบเธอสาบานไว้ว่าจะต้องให้คุณพ่อมีชีวิตที่ดีขึ้น ตอนนี้มีโอกาส เธอจะไม่คว้าไว้อย่างนั้นเหรอ
“ถ้าวันไหนฉันอยากจะไป ฉันก็จะไป”เธอหมุนตัว เดินกลับมานั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง การสนทนาครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล
ติงยียีเซ็นสัญญา เป็นศิลปินในสังกัดบริษัทแสงดาวอย่างเป็นทางการ ชายวัยกลางคนได้มอบหมายผู้จัดการหนึ่งคนให้เธอ
“สวัสดีค่ะ คุณหนูติงยียี ฉันชื่อชิวไป๋ เมื่อก่อนเป็นผู้จัดการให้กับคุณอันหรัน เป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ต่อไปจะได้ร่วมงานกับคุณ” เธอยิ้มและยื่นมือมาทางติงยียี
เวลานี้เองประตูก็ถูกเปิดออก อันหรันและสวุเหวยเหรินเดินเข้ามา เมื่อพบกับชิวไป๋ อันหรันก็ดีใจขึ้นมาทันที “ชิวไป๋ คุณกลายมาเป็นผู้จัดการของติงยียีอย่างนั้นเหรอ?”
ชิวไป๋พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย หลังจากทักทายเสร็จ เธอก็เดินมาตรงด้านหน้าของติงยียี “คุณหนูติงยียีค่ะ พอดีว่าวันนี้ช่วงบ่ายมีประชุมธุรกิจกับบริษัทโฆษณา พวกเราจำเป็นจะต้องออกเดินทางแล้วค่ะ”
ติงยียีพยักหน้า บอกลาอันหรันที่ค่อนข้างไม่สบายใจแล้วจึงออกไป มองเธอเดินออกไปแล้ว อันหรันที่สีหน้าท่าทางมีความสุขก็นิ่งขึ้น “คุณอย่าใช้ประโยชน์จากเธอให้มันมากเกินไป!”
เขาตำหนิตัวเองอยู่บ้าง ตัวเขานั้นมาช้าไปก้าวหนึ่งทำให้ติงยียีเซ็นสัญญาไปแล้ว ผู้ชายยิ้มอย่างอ่อนโยน “เบื้องหลังเธอบริษัทเย่ซื่อ และยังมีตระกูลสวุรุ่นที่สอง ไม่ว่าบุคคลฝั่งไหนก็ดูถูกไม่ได้ หญิงสาวคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
ติงยียีนั่งในรถBMWที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ ในใจนั้นไม่ค่อยสงบ ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนเธอตั้งตัวไม่ทัน
รถยนต์แล่นไปตามถนน ผ่านอาคารที่คุ้นตาแวบๆอยู่หนึ่งอาคาร“รอก่อน!”ติงยียีอยู่ดีๆก็เอ่ยปาก “คุณหนูยียี เป็นอะไรหรือเปล่า?” ชิวไป๋มองเธอผ่านกระจกมองหนักเอ่ยถาม
“รบกวนคุณจอดด้านหน้าอาคารหลังนั้นให้ที”ติงยียีชี้ไปที่ศูนย์การค้าสากล
ชิวไป๋ ดูนาฬิกา คิ้วถึงแม้จะขมวดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังตรงไปที่อาคารนั้น
ติงยียีลงจากรถ ความรู้สึกนั้นไม่เหมือนเดิมอย่างมาก ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอสวมชุดธรรมดามายืนมองอาคารหลังนี้ที่นี่ แต่ตอนนี้ ตัวเธอที่เพิ่งจะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแฟชั้นสไตล์ปารีส นั่งรถBMW ความรู้สึกนี้มันช่างเลิศล้ำเกินคำบรรยาย
คนงานสองสามคนบริเวณรอบๆจ้องมองเธอ เธอยิ้มเล็กน้อย“สวัสดีค่ะ”
คนงานทักทายอย่างตื่นเต้นดีใจไม่คาดฝัน จากนั้นก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ชิวไป๋ที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ: “ยียี ต่อไปคุณจะเป็นบุคคลสาธารณะ คนที่ติดต่อคบค้าสมาคมด้วยควรจะต้องคัดกรองให้ดีก่อน”