สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1515 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1355
ปลายสุดของชั้นที่กว้างใหญ่มีเพียงห้องเดียวที่มีแสงไฟสว่างอยู่ ติงยียีชะลอฝีเท้าให้เบาลงอย่างอดไม่ได้ ถุงพลาสติกกับกล่องข้าวในมือเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังออกมาบางครั้งจนทำให้เธอตกใจ
ไม่รู้ว่าเย่ป๋อจงใจหรือไม่ ประตูของห้องทำงานไม่ได้ปิดสนิท เธอยืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างตื่นเต้น
เย่เนี่ยนโม่ฝังตัวเองไว้ในกองเอกสารหนาๆ ภายในห้องเงียบมากมีแต่เสียงเขียนหนังสือและเสียงนาฬิกาแขวนผนังที่เดินหมุนไป
เธอยืนมองเขาเงียบๆ ใจที่ร้อนรุ่มนิ่งสงบลง ราวกับว่าเวลาหยุดลง เรื่องราวที่เศร้าเสียใจในอดีตทั้งหมดดูเหมือนจะไม่สำคัญอีกแล้ว
“คิดว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นเธอตกใจมาก เธอรีบเดินเข้าประตู จนสะดุดขาล้มลง
เสียงฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงที่คุ้นเคยดังมา เธอเงยหน้าขึ้น สบตากับที่มองลงมาจากด้านบน
เย่เนี่ยนโม่โน้มตัวลงและนั่งยองๆที่พื้นอยู่ในระดับเดียวกันกับสายตาเธอ เธอกลืนน้ำลาย จากมุมของเธออยู่ในระดับเดียวกับริมฝีปากบางของเขาพอดี เธอมองริมฝีปากบางของเขาราวกับถูกมนต์สะกด
เย่เนี่ยนโม่ถามต่อเนื่องกันหลายครั้ง เธอก็ยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาขมวดคิ้วพลางพูดว่า “คงไม่ได้ล้มจนกระทบกระเทือนถึงสมองหรอกนะ”
ติงยียีตั้งสติกลับมาได้ ลุกขึ้นอย่างเขินอาย “ฉันเปล่าเสียหน่อย!”
เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม ยื่นมือมาหยิบเอากล่องข้าวในมือเธอไปเดินกลับไปที่โต๊ะ ติงยียีรีบพุ่งไปข้างหน้าเอามือปิดกล่องข้าวไว้ “เละเทะไปหมดแล้ว อย่ากินเลย”
เขาดึงมือเธอออกเบาๆ เปิดกล่องข้าวหยิบตะเกียบขึ้นมากินอย่างเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ทำเองเหรอ”
ติงยียีที่อยู่ด้านข้างพูดอย่างเคอะเขินว่า “ร้านอาหารที่ออกจากประตูบริษัทเย่ซื่อเลี้ยวซ้ายอยู่ตรงปากซอยเล็กๆเป็นคนทำ”
เขาพยักหน้ากินต่อ บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะ ติงยียีมองซ้ายแลขวา ทันใดนั้นก็หยิบกล่องข้าวผัดขึ้นมากล่องหนึ่ง ชี้ไปที่ข้าวผัดแล้วพูดว่า “คุณดูสิ ในข้าวผัดจานนี้มีแครอท มีแตงกวา มีเนื้อสัตว์ แล้วก็มีไข่ใช่มั้ย ตอนแรกของพวกนี้ล้วนมีรสชาติเป็นของตัวเอง แต่หลังจากผัดพร้อมกับข้าวสวยก็อร่อยมากเลยใช่มั้ย!”
เธอพูดจาเรื่อยเปื่อยสะเปะสะปะ เย่เนี่ยนโม่มองเธออย่างนิ่งเงียบ พักหนึ่งจึงถามว่า “ตกลงคุณอยากจะบอกอะไร”
ติงยียีก้มหน้าก้มตาอย่างยอมแพ้ “ฉันอยากจะพูดให้คุณไม่ต้องเศร้าเสียใจ อุปสรรคใหญ่หลวงมากแค่ไหนก็ต้องผ่านไปได้สักวัน ขอโทษนะคะ แม้แต่ปลอบใจฉันยังทำไม่ได้เลย”
บรรยากาศนิ่งเงียบราวกับตกอยู่ในห้วงมรณะก็ไม่ปาน เธอก้มหน้าสูดจมูก น้ำตาไหลออกมาอย่างอดไม่ได้
มีอะไรหนักๆอยู่บนศีรษะ สองมือลูบเส้นผมของเธอเบาๆ “การปลอบใจของคุณแย่มากจริงๆ” พอเขาพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่เขา ขอบตาแดงเล็กน้อย
เขายิ้มพลางโน้มตัวลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเธอ สายตาอ่อนโยน “แต่ผมชอบมาก”
เสียงดังปึงในหัวของติงยียี เธอมองร่างที่ค่อยๆเข้ามาใกล้ของเขา คิดจะถอยหลัง แต่ท้ายทอยกลับถูกยึดเอาไว้
“ติ๊งต่องๆๆ” ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เธอรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมา ไม่กล้าไปมองสายตาที่คลุมเครือของเย่เนี่ยนโม่
“ยียี ผมไม่ได้รบกวนคุณใช่มั้ย” เสียงเย่ชูหวินที่อยู่ในสายฟังดูไม่เลวเลย
“ชูหวิน!” ติงยียีมุดออกมาจากแขนของเย่เนี่ยนโม่ด้วยความดีใจ วิ่งไปข้างๆ สีหน้าตื่นเต้น
เย่เนี่ยนโม่กัดฟันกรอด แทบจะทนไม่ไหวที่จะแย่งโทรศัพท์มือถือมาทุบให้แหลก ทางติงยียีนั้นไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายความดุร้ายของเย่เนี่ยนโม่เลย ยังคงพูดคุยกับเย่ชูหวินอย่างดีใจ
เย่ชูหวินพูดเบาๆว่า “ผมเห็นโฆษณาของคุณในโทรทัศน์ ยอดมากเลย”
ติงยียีเอ่ยขอบคุณ เขินอายเล็กน้อย “คุณเป็นยังไงบ้าง เตรียมจะกลับประเทศแล้วหรือยัง”
เย่เนี่ยนโม่ที่กลับเข้าสู่โหมดทำงานใหม่อีกครั้งเงยหน้าขึ้นมาอย่างเงียบๆ หลังจากเห็นสีหน้าเศร้าโศกบนใบหน้าของติงยียี เขาก็โล่งใจเล็กน้อย ก้มหน้าลงอีกครั้ง ข้อความในเอกสารก็กระโดดไปมาราวกับมีชีวิต เขาก็หยุดเขียนอย่างดื้อๆและแอบฟังอย่างเปิดเผย
เวลาผ่านไปที่ละนิด เขามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังอย่างหงุดหงิด ในใจคิดอย่างกระวนกระวาย ยังคุยกันไม่เสร็จเสียที มีเรื่องอะไรให้คุยกันนักหนา!
ติงยียีไม่ได้รู้สึกถึงอารมณ์หงุดหงิดรำคาญของเย่เนี่ยนโม่เลย เธอเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับงานของตนเองให้เย่ชูหวินฟัง
จู่ๆเย่ชูหวินก็พูดขึ้นว่า “เย่เนี่ยนโม่อยู่ข้างๆคุณสินะ”
ติงยียีอึ้งไปทันที “คุณรู้ได้ยังไง”
เขาพูดอย่างแผ่วเบาว่า “เพราะตอนที่เขาอยู่ข้างๆคุณ คุณก็จะเปลี่ยนเป็นคนที่ร่าเริงมาก”
เป็นอย่างนี้จริงเหรอ เธอเงยหน้ามองไปยังคนที่ฝังตัวเองอยู่ในกองเอกสารอย่างไม่รู้ตัว ทางเย่ชูหวินนั้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “เอาละ ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ”
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆติงยียีก็รู้สึกวิตกกังวล ประโยคนั้นที่บอกว่าไม่ค่อยคุยกันใหม่บีบหัวใจเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอรู้สึกเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ปลายสายนั้นมีเสียงหายใจเบาๆดังมา ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่ชูหวินพูดเบาๆว่า “วางเถอะ”
“ผมของฉันยาวถึงบ่าแล้วนะ” ติงยียีรีบพูดให้จบแล้วจึงวางสาย
ในสถานพักฟื้นแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส เย่ชูหวินนั่งอยู่บนรถเข็น ร่างที่แต่เดิมแข็งแรงกำยำของเขานั่นผอมลงมากจนน่าสงสาร แสงแดดส่องกระทบตัวเขา เขากุมโทรศัพท์เอาไว้เงยหน้าขึ้นมารับแสงอาทิตย์ ในปากบ่นพึมพำ “ขอบคุณเธอนะ ยียี”
หลังจากวางสายแล้ว ติงยียียังรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมเวลาคุยโทรศัพท์กับเย่ชูหวิน มักจะทำให้เธอรู้สึกเศร้าเสียใจบางอย่าง เหมือนกับว่าทรายที่กำอยู่ในมือ กำลังหายไปทีละนิด
“กำลังคิดอะไรอยู่” เย่เนี่ยนโม่เข้าใกล้เธอ เขาทนไม่ไหวที่เธออยู่ตรงหน้าตัวเองแต่กลับกำลังคิดถึงคนอื่น
ติงยียีมองเขา ทันใดนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “เย่เนี่ยนโม่ แบบนี้พวกเราจะเอายังไงกัน” เห็นชัดว่าบอกว่าจะจากกันไปแล้ว บอกว่าจะไม่เจอกัน แต่เขาและเธอก็เหมือนแม่เหล็ก พอมีโอกาสเจอกันก็มักจะดึงดูดกันละกัน
เย่เนี่ยนโม่ลูบผมยาวของเธออย่างนิ่งเงียบ ตัวเขาแบกรับสิ่งต่างๆเอาไว้มากมาย ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ความเป็นเพื่อน แต่สำหรับความรัก เขาเลือกที่จะวางมันเอาไว้ในมุมที่ลึกที่สุดในหัวใจ
ติงยียีตื่นเต้นเล็กน้อย โทรศัพท์ของเย่ชูหวินทำให้เธอมีความวู่วามที่จะปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมาและความจริงนั้นเธอก็ทำแบบนี้แล้ว
เธอลุกยืนขึ้นมาพูดเสียงดังว่า “ทำไมต้องยกฉันให้ไห่โจ๋ซวน หรือว่าในใจของคุณนั้น ความรักมันไม่มีค่าขนาดนี้เลย”
เย่เนี่ยนโม่อยากจะปลอบโยนเธอ เธอผลักออกอย่างตื่นตระหนก ตะเบ็งเสียงต่อไปว่า “ถ้าคุณไม่รักฉัน อย่างนั้นคุณหายสาบสูญไปตั้งแต่ตอนนี้เลย อย่ามายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก แต่คุณรักฉันไง รักฉันแล้วทำไมถึงยอมปล่อยมือง่ายๆแบบนั้น!”
เธอแสดงความก้าวร้าว พูดไม่หยุด มองเขาพลางหอบหายใจเล็กน้อย พักใหญ่ เย่เนี่ยนโม่หยิบเสื้อโค้ทขึ้นมาเดินไปทางด้านนอก“ไปเถอะ ดึกแล้วผมส่งคุณกลับบ้าน”
“เย่เนี่ยนโม่ คุณนี่มันขี้ขลาด!” เธอคำรามและวิ่งไปที่ประตู เพิ่งจะเปิดประตู ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นผ่านหลังใบหูเธอมาที่ประตู เสียงประตูปิดดังปัง
แขนของเย่เนี่ยนโม่โอบรัดเธอเอาไว้ รอยเลือดในดวงตาทำให้เขาดูดุร้ายน่ากลัวขึ้นมา “ผมขี้ขลาดเหรอ อยู่กับผมก็จะมีแต่ทำให้คุณบาดเจ็บ ผมไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนแม่ผมมีชีวิตที่ถูกคนทำร้ายตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน ผมไม่อยากให้หลังจากที่พวกเราอยู่ด้วยกันแล้วเกิดความหวาดระแวงแคลงใจกันและกันเพราะเหตุผลต่างๆนานา
ไม่มีวินาทีไหนตอนไหนเลยที่ผมไม่อยากครอบครองคุณ ถึงขนาดกลัวว่าจะมีวันไหนที่ผมควบคุมตัวเองไม่อยู่ไปตัดปีกของคุณเข้า ทำให้คุณได้แต่อยู่ข้างกายผม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะว่าผมรักคุณ!”
นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังส่งเสียงดังบอกเวลาช้าๆ ทำลายความเงียบสงบภายในห้อง เขาปล่อยเธออย่างหดหู่สิ้นหวัง สีหน้าค่อยๆกลับมาใจเย็นเป็นปกติ
เปิดประตู ชิวไป๋กับเย่ป๋อยืนอยู่ด้านนอกประตูอย่างขัดเขิน ติงยียีออกมาดึงมือของชิวไป๋เดินไปอย่างรวดเร็วสองสามก้าว ทันใดนั้นก็หันกลับมา “คุณไม่เคยให้โอกาสฉันเลย ให้ฉันมีโอกาสได้พิสูจน์ว่าฉันทำได้”
ค่ำคืนที่มืดมิด รถตู้อเนกประสงค์เลี้ยวหายลับไปในความมืด เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างกระจก มองไฟท้ายรถตู้อเนกประสงค์ค่อยๆมืดดับไป เย่ป๋อยืนอยู่ข้างหลังเขา ถอนหายใจเบาๆจนแทบไม่ได้ยิน
ติงยียีไปถ่ายโฆษณาด้วยดวงตาคู่ที่ดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า ในฉากที่ถ่ายทำ ช่างแต่งหน้าช่วยเธอเติมหน้าพลาง บ่นพึมพำไม่หยุดกับผู้ช่วยคนหนึ่งพลางว่า “ศูนย์การค้าสากลของบริษัทเย่ซื่อจะหยุดการก่อสร้างแล้วรู้มั้ย”
ติงยียีตัวสั่น มือของช่างแต่งหน้าที่กำลังเขียนอายไลเนอร์ก็สั่นตามไปด้วย อายไลเนอร์ลากเป็นเส้นยาวออกไปที่หางตา
เธอยิ้มให้ช่างแต่งหน้าเป็นการขอโทษ ซ่อนความตื่นตกใจเอาไว้ ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆพูดว่า “ได้ข่าวว่าคณะกรรมการบริหารจะเข้าชื่อกันถอดคุณชายเย่ออกจากตำแหน่ง ครั้งนี้ถ้าศูนย์การค้าสากลยุติการสร้างจริง จะเสียหายหลายร้อยล้าน!”
“ยียีเธอจะไปไหน” ช่างแต่งหน้าตะโกนเรียกติงยียีที่จู่ๆก็วิ่งหนีไป
ติงยียีวิ่งไม่หยุดไปที่บริษัทเย่ซื่อ รีบบอกกับหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่า “สวัสดีค่ะ ฉันอยากพบท่านประธานเย่ค่ะ”
“ขอโทษนะคะ คุณได้นัดไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ” หญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์มองเธอด้วยรอยยิ้มสดใส
เธอส่ายหน้า เธอหมุนตัวภายใต้สายตาขอโทษของหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่กลับไม่ยอมจากไป ในทางกลับกันเธอวิ่งไปที่ประตูลิฟต์ของอาคารใหญ่
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคิดจะไปขวางเธอ หญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ยิ้มพลางห้ามเขาว่า “ไม่ต้องขวางหรอก เธอเป็นเพื่อนของผู้จัดการใหญ่”
ติงยียีวิ่งออกจากลิฟต์ เห็นเย่เชินหลินเข้าประตูไปพอดี เธอพุ่งตัวไปแต่กลับถูกขวางไว้
จางเฟิงอี้ขมวดคิ้ว ระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัทเย่ซื่อตอนนี้แย่ขนาดนี้เลยเหรอ แม้แต่เด็กผู้หญิงก็ยังวิ่งเข้ามาได้ง่ายๆ ต่อให้เขาเกษียณแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถปล่อยวางบริษัทเย่ซื่อได้ บางครั้งก็ยังมาเดินป้วนเปี้ยนที่นี่ ดูว่าช่วยอะไรได้บ้าง
ติงยียีพูดอย่างร้อนใจ “สวัสดีค่ะ ฉันมาหาท่านประธานเย่ค่ะ”
จางเฟิงอี้ไม่ยอมปล่อยให้เธอไป “มีคนเยอะแยะมากมายอยากมาหาท่านประธานเย่กันทั้งนั้น”
ติงยียีเหล่มองช่องว่างข้างๆคิดจะแทรกตัวเข้าไป จางเฟิงอี้ทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว โดยเฉพาะการอยู่ข้างกายเย่เชินหลินเพื่อช่วยเขาสกัดสาวๆมานานหลายปีขนาดนั้น อุบายตื้นๆอย่างนี้หลอกเขาไม่ได้
เขาขวางอยู่ตรงหน้าติงยียี เตือนด้วยความจริงใจว่า “คุณยังเด็ก อย่ามาตามตื๊อท่านประธานของพวกเราอีกเลย เขามีครอบครัวแล้ว ภรรยาของเขาก็สวยและอ่อนโยนมาก คุณกลับไปตั้งใจเรียนหนังสือเถอะ”
ติงยียีไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ รู้แค่ว่าตัวเองต้องพบกับเย่เชินหลินให้ได้ จางเฟิงอี้เห็นเธอยังดื้อดึง สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก
เวลานี้เอวเลขาก็เดินออกมาพูดว่า “ท่านประธานให้เชิญคุณผู้หญิงท่านนี้เข้าไปค่ะ”
จางเฟิงอี้ปล่อยเธอไปพลางส่ายหน้า มองดูติงยียีเดินเข้าไปในประตู บ่นพึมพำว่า “ท่านประธานเย่ท่านจะผิดต่อคุณนายไม่ได้นะครับ!”
ติงยียีผลักประตูเปิด เย่เชินหลินนั่งชงชาอยู่ด้านข้าง เขาส่งสัญญาณให้เธอนั่งลง เอาชาแก้วหนึ่งวางตรงหน้าเธอ