สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1519 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1359
“แผนของนายถูกเปิดโปงแล้ว โจ๋ซวนวางมือเถอะ” ติงยียีเดินออกมาจากด้านหลังเย่เนี่ยนโม่ มีความสงสารในแววตาที่มองเขา
เขาเกลียดแววตาอย่างนั้นเหลือเกินเลย สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เปลี่ยนจนวิปริตเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับปกปิดได้
ไห่โจ๋ซวนพูดเสียงดังว่า “ฉันอยู่ร่วมกับทุกคนมาสิบกว่าปี คนหนึ่งคือแม่แท้ของผม คนหนึ่งคือพี่น้องแท้ ที่เหลือก็คือคุณอาเย่และน้าเซี่ยที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพ่อของผม ตอนนี้พวกคุณจะบอกผมว่าพวกคุณเชื่อคนแปลกหน้าคนหนึ่งแต่ไม่ยอมเชื่อผมเหรอ”
ภายในห้องโถงเงียบสนิท ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ทุกคนคุ้นเคยดังขึ้น “วันนี้เป็นวันที่ควรค่าแก่การฉลองในแผนการแก้แค้นของฉัน สองสาวนั้นเชื่อฟังมาก ยืนยันเสียงแข็งว่าพวกเธอถูกรังแกที่ไซต์ก่อสร้าง อีกไม่นานแรงกดดันจากความคิดเห็นของผู้คนจะบดขยี้ตระกูลเย่ ฉันกำลังรอวันนั้นอยู่ ”
“วันนี้ อากาศดี ฉันก็อารมณ์ดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ไปตรวจสอบบัญชีของบริษัทเย่ซื่อแล้ว ฉันเชื่อว่าไม่นานก็จะมีผลลัพธ์ที่ทำให้ฉันมีความสุข ผมเฝ้ารอคอยมันจริงๆนะครับ พ่อ ”
เทปบันทึกเสียงถูกเปิดอย่างชัดเจนทีละเทป ใบหน้าของไห่โจ๋ซวนยิ่งมืดมนขึ้น เขาจ้องเขม็งไปที่เย่ชูฉิงซึ่งกำลังถือปากกาบันทึกเสียงอยู่ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา บังเอิญเจอคืออะไร เค้กอะไร ที่แท้ก็ทำเพื่อให้เขาติดกับดัก
หลินหลิงเดินขึ้นไปตรงหน้าเขา ยกมือขึ้นตบเขาหนึ่งฉาด “ตระกูลไห่ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายทำร้ายใครมาก่อนเลย ลูกทำให้พ่อต้องอับอายขายหน้า!”
เขาถูกตบจนหน้าหัน แต่กลับหัวเราะหึๆๆอออกมา หัวเราะอย่างควบคุมไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่เกาะที่จับไว้ หลินหลิงโกรธจนตัวสั่น “แกหัวเราะอะไร!”
เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที จ้องมองไปที่คนตระกูลเย่อย่างดุร้าย “ผมหัวเราะที่แม่ไม่รู้จักแยกแยะ เป็นศัตรูชัดๆแต่กลับแสร้งทำเป็นพูดคุยหัวเราะยิ้มแย้มอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ผมทำไม่ได้ แม่รู้มั้ยว่าสายตาตอนที่ผมเห็นพ่อนอนลงข้างๆ แม่รู้มั้ยว่าผมฝันร้ายทุกวัน ในฝันเลือดสดๆทำให้ผมจมลงไปตาย ผมไม่ยอม!”
“พอแล้ว!” หลินหลิงตะคอก “การตายของพ่อลูกไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลเย่ เขาตายเพราะช่วยลูก!”
ไห่โจ๋ซวนเม้มริมฝีปากแน่น สายตาที่ดุร้ายกวาดตามองทุกคนที่อยู่ในห้องโถง สีหน้าหนักแน่น “ผมไม่เชื่อ แม่หลอกผม”
จู่ๆเย่เชินหลินที่นั่งอยู่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดก็พูดว่า “หรือว่านายไม่รู้แปลกใจเลยเหรอว่าทำไมศูนย์การค้าสากลถึงได้กลายเป็นแบบนี้ บริษัทเย่ซื่อทั้งบริษัทจะพังแล้วฉันก็ยังไม่ยื่นมือเข้าช่วย”
ไห่โจ๋ซวนหันหน้าไปมองเขา คำถามนี้เขาก็คิดไม่ออกจริงๆ เย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ข้างๆเองก็สงสัยเช่นกัน
เย่เชินหลินถูหลังมือของเซี่ยชีหรั่นแล้วตบเบาๆ เป็นการปลอบโยนเธอ พูดเบาๆว่า “ฉันได้โอนหุ้นเกินครึ่งหนึ่งให้เป็นชื่อของนายแล้ว พูดอีกนัยหนึ่งก็คือนายสามารถทำอะไรกับบริษัทเย่ซื่อก็ได้ตามที่นายต้องการ”
ไห่โจ๋ซวนถอยกรูดไปข้างหลัง ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมเย่เชินหลินไม่เข้ามาช่วย ที่แท้ไม่ว่าตนเองทำอะไรเขาก็รู้มานานแล้ว ตนเองกระโดดโลดเต้นในฝ่ามือของเขามาตลอด ช่างน่าขันจริงๆเลย!
เห็นท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดของเขา เซี่ยชีหรั่นก็ลุกขึ้น หยิบกล่องที่วางข้างๆ ตัวออกมาด้วยมือสั่นๆ เปิดกล่องแล้วหยิบจดหมายออกมา
เธอเอาจดหมายยื่นให้เขา “ตอนที่พ่อของนายใกล้จะจากไปได้เอาจดหมายฉบับนี้ให้ฉัน เขาและฉันต่างก็หวังว่าจะไม่มีวันที่ต้องเอาจดหมายฉบับนี้ให้นาย แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเอาจดหมายให้นาย”
ไห่โจ๋ซวนมองเธออย่างสงสัย รับจดหมายมาด้วยมือที่สั่นเทา เปิดจดหมายออก ลายมือที่คุ้นเคยทำให้น้ำตาอุ่นๆของเขาเอ่อนอง
เขาอ่านจดหมายอย่างเงียบๆ น้ำตาไหลออกมาหยดลงบนกระดาษจดหมายบางๆ ผสมปนเปกับความเศร้า เขาเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยน้ำตาและความสับสน ความเชื่อที่ยึดมั่นมานานขนาดนั้นก็พังทลายลง เขาใช้เวลาหลายสิบปีในการวางแผนแก้แค้น เพื่อเกลียดคนมากมายนั้น แต่สุดท้ายกลับมีเพียงความว่างเปล่า
เย่เนี่ยนโม่อยากจะเดินไปข้างหน้า ติงยียีดึงเขาเอาไว้ ส่ายหน้าให้เขาอย่างเงียบๆ สิ่งที่ไห่โจ๋ซวนต้องผ่านไปให้ได้ในตอนนี้ สิ่งแรกก็คือด่านตัวของเขาเอง ไม่มีใครช่วยเขาได้ คนที่ช่วยได้มีเพียงตัวเขาเอง
หลินหลิงเองก็ปวดใจ และก็โกรธ แต่น้ำเสียงกลับแข็งกร้าวขึ้น เธอพูดว่า “ไห่โจ๋ซวน!”
ไห่โจ๋ซวนมองเธอด้วยความสับสน เธอพูดต่อไปอีกว่า “เพราะความผิดพลาดของลูกทำให้บริษัทเย่ซื่อขาดทุนมหาศาล ตอนนี้ฉันในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของตระกูลไห่ จึงตัดสินใจไล่แกออกทันที”
“พี่หลินหลิง!” เซี่ยชีหรั่นรีบเข้ามาห้าม ถ้าไล่ไห่โจ๋ซวนออกตอนนี้ก็ยิ่งทำให้เขาเสียใจไม่ใช่หรือ!
เย่เชินหลินดึงเธอเอาไว้ ส่ายหน้าเบาๆ ตอนนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวตระกูลไห่ จะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
ไห่โจ๋ซวนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนัก เขาพยักหน้าเหมือนเครื่องจักรกล จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
“พี่โจ๋ซวน!”เย่ชูฉิงตามออกไป
บ้านตระกูลเย่เต็มไปด้วยความเศร้าหดหู่ ติงยียีเริ่มสงสัยเล็กน้อย คนนอกอย่างตัวเองนี้ทำแบบนี้ถูกหรือผิด เธออยากจะจากไปอย่างเงียบๆ แต่เย่เนี่ยนโม่ที่คอยสังเกตอยู่ตลอดกลับไม่ปล่อยให้สมหวัง
“ยียี” เย่เนี่ยนโม่เดินตามหลังเธอ เสียงนั้นเบาลงกว่าที่เคยเป็นมา เพื่อนของตนเองที่เติบโตมาด้วยกันก็เกลียดตนเองมาตลอด นี่ทำให้เขายอมรับมันได้ยากชั่วขณะหนึ่ง
ติงยียีหยุดฝีเท้าลง หันมา “คุณคิดจะทำยังไง ศูนย์การค้าสากลยังมีโอกาสรอดใช่มั้ย”
เขาพยักหน้า “เย่ป๋อไปเจรจากับผู้หญิงสองคนนั้นแล้ว เด็กหญิงทั้งสองก็ยอมรับว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากไห่โจ๋ซวน ”ที่เหลือเขาไม่ได้พูด ถ้าทุกอย่างเป็นแผนของโจ๋ซวน ถ้าเช่นนั้นเรื่องของอ้าวเสว่ล่ะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากการสนทนาที่เรียบง่ายบรรยากาศก็อึดอัดเล็กน้อย ติงยียีรู้สึกเศร้าในใจอยู่บ้าง คนสองคนที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนั้น สุดท้ายกลับไม่มีอะไรจะพูด
เย่เนี่ยนโม่ทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดขึ้นมาก่อนว่า “แพนด้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”
ติงยียียิ้ม ตอบไปตามคำถามเขา “ดีขึ้นมากแล้ว กินยาไปเยอะทำให้ร่างกายอ่อนแอ คุณหมอให้กินอาหารเหลว จนกว่าลำไส้จะกลับมาแข็งแรงเป็นปกติเหมือนเดิม”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า ทั้งสองคนตกอยู่ในสภาวะที่ไม่มีอะไรจะพูดอีก ติงยียีแย่งพูดขึ้นมาก่อนว่า “ฉันยังมีธุระอีก ฉันไปก่อนนะ ลาก่อน”
เขาเห็นเธอหนีไปอย่างเขินอาย ผมหางม้าด้านหลังส่ายไปส่ายมาจนเกิดเป็นมุมโค้งมุมหนึ่ง เขามองอยู่นานมาก จนกระทั่งร่างนั้นค่อยๆหายลับจากสายตาไป จึงหมุนตัวไป
ติงยียีกลับมาที่บ้านก็โทรศัพท์หาเย่ชูฉิงก่อน ไม่มีคนรับสาย แม้เธอจะร้อนใจ แต่กลับคิดวิธีอะไรไม่ออก
โทรศัพท์ไปหาไห่โจ๋ซวนอีกครั้งปรากฏว่าโทรติด ปลายสายนั้นเสียงดังมาก มีเสียงเพลงที่คนกรีดร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ความวิตกกังวลในใจเธอยิ่งมากขึ้น “โจ๋ซวน คุณเกลียดฉันหรือเปล่า”
“เกลียดเหรอ” ไห่โจ๋ซวนหัวเราะ ตอบเธอว่า “ที่ผมเกลียดที่สุดก็คือตัวผมเอง”
“คุณอยู่ที่ไหน เมื่อกี้ฉันหาชูฉิงไม่เจอ คุณเห็นเธอมั้ย” ติงยียีรู้ว่าตอนนี้ตนเองไม่ควรจะเอ่ยถึงเย่ชูฉิง แต่ว่าเธอเป็นห่วงหล่อนจริงๆ
ในสายไม่มีการตอบโต้ แต่กลับแต่มีเสียงฟองสบู่ไหลออกมา ติงยียีเรียกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีใครตอบ
ภายในผับ ไห่โจ๋ซวนมองโทรศัพท์ที่แช่อยู่ในน้ำ ยิ้มพลางส่ายหน้า อะไรเรียกว่าเย่ชูฉิง อะไรคือตระกูลเย่ ไปให้พ้นจากสายตาเขาให้หมด!
ติงยียีโทรไปใหม่อีกหลายครั้งอย่างไม่ถอดใจ โทรศัพท์ไห่โจ๋ซวนจากที่โทรไม่ติดจนกลายเป็นปิดเครื่อง เธอถอนหายใจอย่างแรง
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอรีบรับสาย เสียงของติงต้าเฉินดังเข้ามาชัดเจน “ยียี ทำไมโทรศัพท์ของลูกถึงโทรไม่ติดเลย พ่อกลับมาที่ตงเจียงแล้ววันนี้ ประมาณอีกสองชั่วโมงก็ถึงบ้านแล้ว! ”
“พ่อ ทำไมพ่อไม่บอกก่อน หนูไปรับพ่อนะ” ติงยียีกระโดดเด้งขึ้นมาจากโซฟา ออกแรงกะทันหันจนเอวเกือบเคล็ด
ติงต้าเฉินหัวเราอย่างมีความสุขในโทรศัพท์ “ยียีเอ้ย พ่อฉันถ่ายสำเนาโฆษณาทั้งหมดที่ลูกถ่ายไว้หมดแล้ว ตอนนี้ญาติๆ ทุกคนก็ภูมิใจในตัวลูก! ไม่คุยแล้ว มาถึงสถานีแล้ว วางสายก่อนนะ!”
หลังจากวางสายแล้ว ติงต้าเฉินก็ลงจากรถ ใส่ขาเทียมไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเคยชินนัก เวลาเดินก็ยังเป๋ๆอยู่บ้าง
ออกจากสถานีแล้ว รถแท็กซี่ที่จอดอยู่ข้างถนนก็โบกมือให้เขา “คุณลุง ไปไหนครับ”
“ไปตลาดที่ท่าเรือตงกั่งเท่าไหร่” ติงต้าเฉินคิดจะซื้ออาหารเล็กน้อยกลับไปด้วย พอได้ยินราคาที่คนขับแท็กซี่บอก เขาก็เบิกตาโต “นี่แพงเกินไปแล้ว!”
คนขับได้ยินก็ขำ “คุณลุง พวกเราก็บอกราคาตามท้องตลาด ก็ราคาประมาณนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ให้ลูกสาวลูกชายมารับคุณเอง”
ติงต้าเฉินทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าขวาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ พูดด้วยเสียงฮึ่มฮั่มว่า “ลูกสาวฉันยุ่งมาก ก็คือคนในโฆษณาเครื่องดื่มนั้นไง ก็คือลูกสาวฉัน!”
คนขับส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ไปลากลูกค้าคนอื่น ติงต้าเฉินค่อยๆเดินช้าๆไปที่ป้ายรถเมล์
ป้ายรถเมล์เต็มไปด้วยนักเรียนและแรงงานจากนอกพื้นที่ ติงต้าเฉินมองป้ายรถเมล์เสร็จแล้วก็ยืนรอรถ
ด้านหน้ามีรถติด รถเบนซ์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน พอติงต้าเฉินเห็น นี่ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของยียี ที่ในวันนั้นรังแกติงยียีคนนั้นเหรอ
ที่ผ่านมาเขาอยากคุยกับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา เมื่อเห็นว่ารถติดเครื่องยนต์แล้ว เขาก็รีบโบกรถแท็กซี่แล้วตามไป
รถเบนซ์เลี้ยวไปเลี้ยวมาแล้วมาจอดที่ข้างจัตุรัสแห่งหนึ่ง ติงต้าเฉินก็เดินกะโผลกกะเผลกและตามเธอเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง
พอเข้าไปในร้าน ติงต้าเฉินพบว่าเป็นร้านขายชุดชั้นใน เห็นพนักงานมองตนเองด้วยสายตาแปลกๆ เขาก็รีบถอยออกมารอที่ประตู
หลังจากรอสักพักหนึ่ง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ติงต้าเฉินรับสาย พูดเบาๆว่า “ยียี พ่อเจอคนคนหนึ่ง เธอออกมาแล้ว พ่อวางก่อนนะ”
ติงต้าเฉินเห็นหญิงสาวถือถุงเดินไปทางรถเบนซ์ที่จอดข้างทางก็รีบวางสายตามไป
“สวัสดีครับ กรุณารอสักครู่” ติงต้าเฉินขวางอยู่ตรงทางที่จะเดินไปที่รถ “คุณจำผมได้มั้ย”
ซือซือขมวดคิ้วมองผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายตรงหน้า พูดอย่างอดทนว่า “คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่รู้จักคุณ”
ติงต้าเฉินร้อนใจแล้ว “ผมคือพ่อของติงยียี!”
ซือซือมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าครู่หนึ่ง ในที่สุดก็จำได้ว่าเคยพบเขาที่บ้านตระกูลเย่ครั้งหนึ่งจริงๆ น้ำเสียงยิ่งแย่ขึ้นอีก “มาหาฉันมีธุระอะไร”
“ผมอยากจะคุยกับคุณเรื่องยียีหน่อยครับ หรือว่าคุณไม่อยากรู้เลยว่าแกใช้ชีวิตยังไง” ติงต้าเฉินพูดด้วยความอดทน
ซือซือเห็นเขาไม่ยอมหลบ จึงขึ้นจะทิ้งรถเอาไว้ทางนั้น เดินขึ้นสะพานลอยไป ติงต้าเฉินรีบตามไป “ยียีเด็กคนนั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก ผมรู้ว่าเป็นความผิดของพวกเรา แม่ของเธอตายไปนานแล้ว···”