สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1529 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1369
ภายในร้านกาแฟอันอบอุ่น เครื่องปรับอากาศมีการจ่ายไฟไม่หยุด ดูอบอุ่นไปทั่วทั้งร้านกาแฟ แมวสีอ่อนนอนหลับสนิทอยู่บนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ บางครั้งอุ้งเท้าของมันก็ยื่นเหยียดไปข้างหน้า ไม่รู้ว่ามันกำลังฝันดีอะไร
“ชูฉิงล่ะ” ติงยียีดูนมอุ่นๆ แก้มโดนไอน้ำร้อนเป่าจนแดง
“เธออยู่กับหลี่ยี่ซวน ทั้งสองคนกำลังจัดกระเป๋าเดินทาง” ไห่โจ๋ซวนเหล่มองผ้าพันคอบนคอของเธอ ถ้าเขาจำไม่ผิด ผ้าพันคอผืนนี้น่าจะเป็นของเย่เนี่ยนโม่
“คุณจะไปแล้วเหรอ!” ติงยียีร้องถามอย่างอดไม่ได้ แมวที่นอนบนเคาน์เตอร์แคชเชียร์บิดขี้เกียจเหมือนถูกทำให้ตกใจตื่นอย่างนั้นศีรษะยื่นไปถูกับด้านหน้าเคาน์เตอร์
ไห่โจ๋ซวนพยักหน้า “เตรียมไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ประเทศแรกคือฝรั่งเศส”
“งั้นชูฉิง” ติงยียีถามอย่างลังเล เธอกลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ทำให้ตนเองผิดหวัง
“เธอก็ไปด้วยกัน” ไห่โจ๋ซวนคนกาแฟสีดำในแก้ว ตอบอย่างช้าๆ ติงยียีถอนหายใจอย่างโล่งอกยาวๆ ในใจกลับจุกขึ้นมา ถ้าพวกเขาอยู่ด้วยกันจริงๆ เธอจะบอกกับเมิ่นเจ๋อย่างไร มิตรภาพของเธอกับหล่อน ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้แล้วจริงๆหรือ
ไห่โจ๋ซวนสองมือประสานกันวางไว้บนโต๊ะ ถอนหายใจ “วันนี้ที่ผมมาหาคุณก็เพื่อที่จะมาขอโทษคุณ ที่เมื่อก่อนหลอกใช้คุณให้ทำเรื่องพวกนั้น”
ติงยียีส่ายหน้า “คุณที่คุณควรขอโทษอาจจะไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเมิ่นเจ๋”
เขาพยักหน้าไม่พูดไม่จา นักศึกษาโต๊ะข้างๆกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ ระหว่างทั้งสองคนถือว่าไม่ได้อึดอัดอะไร สองมือติงยียีโอบรอบแก้วนมที่มีไอร้อนพ่นออกมา ความคิดประเดี๋ยวก็ไปนึกถึงศูนย์การค้าสากล อีกเดี๋ยวก็ไปที่ตัวของซ่งเมิ่นเจ๋
“ผมจะไปบอกเธอด้วยตัวเอง ช่วยพวกคุณแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดนี้” ไห่โจ๋ซวนลุกขึ้นยืนล้วงเงินมาจากกระเป๋าสตางค์ วางธนบัตรสีแดงไว้บนโต๊ะสองใบ
ติงยียีพยักหน้า เธอรู้สึกว่าวันนี้ที่เขามาหาเธอไม่ได้มาเพื่อที่จะขอโทษธรรมดาแค่นั้นแน่นอน ก็เป็นอย่างที่คิดจริง ไห่โจ๋ซวนที่ลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงมาใหม่ กวาดสายตามองเธอ “ทางที่ดีที่สุดคุณควรจะระวังอ้าวเสว่”
“ทำไม” ติงยียีหัวใจเต้นรัว น้ำเสียงและสีหน้าท่าทางต่างก็จริงจังมาก ทำให้ต้องฉุกคิด
ไห่โจ๋ซวนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สีหน้าท่าทางการบอกลาในครั้งนี้แฝงด้วยความเฉียบขาด เขาเน้นย้ำทีละคำว่า “จำไว้ อ้าวเสว่ไม่ได้ไร้พิษสงแบบนั้นอย่างที่เห็นภายนอกแน่นอน”
ไห่โจ๋ซวนไปแล้ว แต่กลับทิ้งความสงสัยไว้มากมาย ติงยียีโยกศีรษะไปมาแล้วหมอบลงบนโต๊ะ พักหนึ่งจู่ๆก็เด้งขึ้นมา ทำไมเธอถึงได้ลืมไปว่าวันนี้ต้องไปที่บริษัท
พอถึงบริษัทก็มีคนบอกเธอว่าชิวไป๋อยู่ที่ห้องทำงานของท่านประธาน ติงยียีตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นสูงสุด เดินออกมาจากลิฟต์ก็ได้ยินเสียงดังของชิวไป๋
“ก่อนหน้านี้รายการวาไรตี้โชว์ไม่ใช่งานที่บริษัทให้เหรอคะ ตอนนี้ทำไมถึงได้เปลี่ยนใจอีก ตอนนี้เทปตัวอย่างก็ออกอากาศไปหลายครั้งแล้ว นี้มีผลกระทบกับเธอมากแค่ไหนคุณเข้าใจมั้ยคะ”
หน้าอกชิวไป๋กระเพื่อมอย่างรุนแรง ทันใดนั้นชายวัยกลางคนที่ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ก็พูดขึ้นว่า “อันหรันเตรียมที่จะไปโลดแล่นที่ฮอลลีวูด สหรัฐอเมริกาแล้ว”
“อะไรนะคะ” ชิวไป๋ตกใจ เธอรู้ว่าเรื่องที่อันหรันจะไปร่วมงานกับเวทีระดับนานาชาตินั้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกเสนอขึ้นเร็วขนาดนี้
ชายคนนั้นเล่นซิการ์ในมือ มองเธอพลางพูดอย่างมีเลศนัยว่า“รายการวาไรตี้นั้นเป็นรายการสุดท้ายที่อันหรันจะร่วมแสดงต่อสาธารณะ และลูกสาวคนหนึ่งของผู้บริหารระดับสูงในบริษัทก็สนใจจะเข้าสู่ธุรกิจการแสดง”
ชิวไป๋ไม่ได้โง่ ดูท่าแล้วบริษัทคิดจะใช้โอกาสสุดท้ายที่อันหรันจะร่วมรายการวาไรตี้โชว์เพื่อมาสร้างกระแสให้กับลูกสาวของผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง
คิดไปคิดมา ผู้หญิงที่ได้ขึ้นเวทีร่วมกับเจ้าชายแห่งวงการบันเทิงจะสร้างกระแสได้มากขนาดไหน เธอรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของบริษัทไม่มีทางเปลี่ยนแปลง จึงได้แต่จำยอมจากไป
ภายในห้องโถง หลังจากชิวไป๋มองเห็นติงยียีก็ลังเลเล็กน้อย เธอยังไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร ติงยียีสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการโฆษณาได้ เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะการสนับสนุนจากตระกูลเย่และพลังที่ลึกลับบางอย่าง ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากคุณชายเย่อีกแล้วหรือไม่
“ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว” ติงยียีลากเธอมานั่งข้างหน้าตนเอง ที่ชิวไป๋ทำเพื่อเรียกร้องให้เธอ ทำให้เธอแปลกใจมาก
ชิวไป๋ปลอบใจเธอว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นเธอลองไปคุยกับคุณชายเย่ดู ถ้าเขาออกหน้าต้องไม่มีปัญหาแน่”
ติงยียีส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่นานฉันปฏิเสธเขาไปแล้ว ฉันบอกว่าจะไม่เจอหน้ากันอีก”
ชิวไป๋เข้ามาใกล้เธอด้วยความสงสัย เอาหลังมือแตะบนหน้าผากเธอ พูดอย่างแปลกใจว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ได้เป็นไข้นะ ทำไมเธอทำใจทิ้งคุณชายเย่ได้”
ติงยียีดึงมือที่เย็นยะเยือกของเธอออกอย่างจนปัญญา เธอสามารถพูดได้อย่างสบาย แต่น้ำเสียงกลับไม่สามารถโกหกใครได้ ชิวไป๋ถอนหายใจ “ฉันจะลองโทรไปถามอันหรันดูว่าสถานการณ์เป็นยังไง”
“ตอนนี้อันหรันน่าจะไม่รับโทรศัพท์” ติงยียีพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มที่ ชิวไป๋โทรติด แต่กลับโอนสายไปให้ฝากข้อความเสียง
แม้ว่าข่าวที่อันหรันจะไปฮอลลีวู้ดจะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่นักข่าวก็ต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่นอนผ่านช่องทางนี้ ดังนั้นโทรศัพท์ของเขาจึงโทรติดต่อไม่ได้แน่นอน คิดมาถึงตรงนี้ ชิวไป๋ก็ถอนหายใจแรงๆอีก
“พ่อเธอเป็นยังไงบ้าง” เธอลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ติงยียีก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย พยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว เลือดที่คั่งในสมองค่อยๆหดเล็กลง ขอเพียงก้อนเลือดนั้นหายไปก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
ชิวไป๋พยักหน้า หยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ายัดใส่ในมือเธอ “นี่คือเงินที่ได้จากการเอาเครื่องประดับที่เธอซื้อพวกนั้นไปขาย คิดไม่ถึงเลยว่าเครื่องประดับที่ผู้หญิงคนนั้นออกแบบจะได้รับความนิยมอยู่มากทีเดียว”
ติงยียีรับบัตรมา ยิ้มอย่างไม่แยแสพูดว่า “จริงเหรอ”
ชิวไป๋พยักหน้า “กิจการของเธอถือว่าราบรื่นไปได้สวยเลย ได้ข่าวว่าช่วงนี้นางแบบที่เดินแบบล้วนใส่เครื่องประดับที่เธอเป็นคนออกแบบ ว่ากันว่ามีผู้สนับสนุนลึกลับอยู่เบื้องหลังเธอ ดูเหมือนว่าครอบครัวจะเป็นทายาทรุ่นที่สองของนายพล ส่วนผู้ให้การสนับสนุนนั้นดูเหมือนจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก ”
ชิวไป๋พูดเยอะแยะมากมาย เห็นว่าติงยียีไม่ได้สนใจฟัง คิดว่าเธอไม่พอใจ ถอนหายใจพูดว่า “ก็เหมือนกับเรื่องที่เธอทิ้งดีไซเนอร์จากปารีสในตอนแรก ไม่อย่างนั้นเส้นทางสู่ดวงดาวของเธอก็คงไม่เลวเลย”
ติงยียีหัวเราะใส่เธอ แกล้งทำเป็นบิดขี้เกียจ “ดูท่าแล้วตอนนี้ฉันจะไม่มีงานทำอีกแล้วสินะ งั้นฉันกลับโรงพยาบาลไปเยี่ยมพ่อนะ”
ชิวไป๋มองข้างหลังเธอ สายตามองไปยังผ้าพันคอผืนหนึ่งที่อยู่บนโซฟา นี่เป็นแบรนด์ชื่อดังแบรนด์หนึ่งของอิตาลี เธอรีบคว้าผ้าพันคอตามออกไป ไม่เห็นแม้แต่เงาของติงยียีแล้ว
ยามค่ำคืน เย่เนี่ยนโม่เดินออกมาจากห้องน้ำที่มีไอความร้อนพุ่งออกมา เปิดทีวี เปลี่ยนไปช่องที่เฉพาะเจาะจงไว้เป็นพิเศษ ช่วงสองสามวันนี้เขารอดูตัวอย่างรายการวาไรตี้โชว์รายการหนึ่งเวลาเดิมทุกวัน เพราะในนั้นมีติงยียี
เสียงออกอากาศตรงเวลามาตลอด เขานั่งลงบนตั่งที่ปลายเตียง ดูตัวอย่างรายการที่กำลังออกอากาศแต่กลับขมวดคิ้ว ตำแหน่งเดิมของติงยียีถูกผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งมาแทนที่
ไม่ได้ดูจนจบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ช่วยฉันหาเบอร์โทรศัพท์ผู้จัดการส่วนตัวของติงยียีหน่อย”
ตอนที่ชิวไป๋รับสายของเย่ป๋อเธอกำลังมาสก์หน้าอยู่ เธอตกใจจนลุกขึ้นมานั่ง ดึงแผ่นมาส์กหน้าที่เพิ่งแปะลงบนใบหน้าออกแล้วโยนใส่ถังขยะ
“คุณยุ่งอยู่เหรอ” เสียงเย่ป๋อที่ดังผ่านโทรศัพท์ แฝงด้วยความใจเย็นรวมทั้งสุขุมแบบทหาร
ชิวไป๋ไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่กลับสัมผัสได้ว่าตอนที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่นั้นบนใบหน้ามีรอยยิ้มอยู่ “มีธุระอะไรเหรอ” เสียงแหบที่มีความแปร่งๆทำให้เธอหุบปากทันที นึกถึงภาพที่อีกฝ่ายได้ยินเสียงแหบเป็นเป็ดของตัวเอง เธอรู้สึกว่าขายหน้าหมดแล้ว
เย่ป๋อสัมผัสได้ถึงความร้อนใจของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะลดเสียงให้อ่อนโยนลง “ช่วงนี้คุณยียีเจอปัญหายุ่งยากอะไรอยู่หรือเปล่าครับ”
ชิวไป๋ได้ยินเสียงของเขา ดีใจเล็กน้อย มีความเศร้าโศกเกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจอีกด้วย ดูเหมือนว่าหัวข้อสนทนาของเขาจะวนเวียนอยู่กับเรื่องของติงยียี เธอจมอยู่ในความคิดของตนเอง จนกระทั่งมีเสียงเรียกจากปลายสาย
“คุณไม่เป็นไรนะ”
เธออยากจะบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่มาถึงริมฝีปากแล้วกลับพูดอีกอย่าง “เป็นหวัด ปวดหัวนิดหน่อย” หัวใจเธอเต้นตึกตัก เฝ้ารอคำตอบของเขา
“อ้อ งั้นคุณดื่มน้ำเยอะๆนะครับ” พักใหญ่ จึงมีเสียงปลอบแข็งๆออกมาจากปลายสาย ชิวไป๋โกรธจนวางสายไปเลย
เธอทิ้งตัวลงบนโซฟา ใบหน้าที่อ่อนนุ่มแนบกับเบาะถูไปถูมา ในใจผิดหวังอย่างยิ่ง เมื่อครู่เธอไม่ควรจะไปคาดหวัง ยิ่งกว่านั้นไม่ควรจะโกหก
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เธอชะงัก รีบรับสายอย่างรวดเร็ว “คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าตกลงคุณยียีมีเรื่องอะไรกันแน่”
เสียงของเย่ป๋อแฝงด้วยความไม่เข้าใจ ในใจชิวไป๋ยิ่งหดหู่ ดูท่าเขาจะเห็นตนเองเป็นผู้หญิงที่หาเรื่องโดยไม่มีเหตุผลแล้วสินะ
เธอเล่าสาเหตุคร่าวๆให้เขาฟังด้วยอารมณ์คับข้องใจ อ้างว่าตนเองปวดหัว แล้วรีบวางสายอย่างรวดเร็ว เย่ป๋อได้ยินเสียงสายไม่ว่าง แม้จะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายโกรธเล็กน้อย แต่กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำไมถึงโกรธ
ทิ้งความรู้สึกประหลาดๆที่ผุดขึ้นในใจฉันอย่างกะทันหัน เขาโทรศัพท์ไปหาคุณชายรายงานความคืบหน้า เขากำลังใช้โทรศัพท์อยู่ เขาตัดสาย มองเสื้อคลุมที่อยู่บนชั้น ในใจก็ตัดสินใจเรื่องหนึ่ง
บ้านตระกูลเย่ เย่เนี่ยนโม่วางสายเกี่ยวกับธุรกิจ เย่ชูฉิงเคาะประตู ยิ้มพลางมองเขา ใบหน้าเห็นได้ชัดถึงความสุข “ฉันเข้าไปได้มั้ยคะ”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า เดินมาหน้าตู้เก็บไวน์หยิบไวน์แดงมาหนึ่งขวด พอมีเวลาว่าง เขาก็จะนึกถึงติงยียี ทำได้แค่ใช้แอลกอฮอล์ลดความฟุ้งซ่านในหัว
“พี่กับพี่ยียีเป็นอะไรเหรอคะ” เย่ชูฉิงถามด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย เขารู้ผู้หญิงที่ทำให้พี่ชายอารมณ์แปรปรวนได้มากขนาดนั้นมีเพียงคนเดียวคือติงยียี
เย่เนี่ยนโม่ไม่ตอบ เขายกขวดไวน์ขึ้นอย่างสง่างาม ให้ของเหลวที่สีสันสดใสไหลลงไปตามขอบจนถึงก้นแก้ว“เตรียมจะไปฝรั่งเศสเมื่อไหร่”
เย่ชูฉิงนั่งลงข้างๆเขา “วันมะรืนค่ะ”
เขาพยักหน้า ยื่นมือมาช่วยเธอรวบปลายผมม้วนขึ้นมา “ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกพี่ อย่าเอาเรื่องราวมาเก็บซ่อนไว้ในใจ” เย่ชูฉิงขอบตาแดงเล็กน้อย พยักหน้าอย่างสะอึกสะอื้น จู่ๆในใจก็รู้สึกใจหายเล็กน้อย “พี่ บอกฉันเถอะ พี่กับพี่ยียีเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เย่เนี่ยนโม่ชะงัก ในใจเริ่มขมขื่น เขาก็ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ก็แต่แก้ไขปัญหาอยู่ตลอด จากนั้นก็เกิดปัญหาใหม่ๆไม่หยุด ความสัมพันธ์แบบนี้ยิ่งยื้อยิ่งเหนื่อย แต่เขาไม่อยากยอมแพ้ เขารู้ว่าเธอก็ไม่อยากเหมือนกัน